WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

FITCH12 12ฟิทช์ คงอันดับเครดิต บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย ที่ ‘A+(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

      ฟิทช์ เรทติ้งส์ – กรุงเทพฯ – 24 มกราคม 2565: บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวของบริษัท  ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ที่ ‘A+(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ

      ในขณะเดียวกัน ฟิทช์ คงอันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิของบริษัทฯ ที่ ‘A+(tha)’ และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-term Rating) ที่ ‘F1(tha)’

       การคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวและแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพของ SCC สะท้อนถึงสถานะทางเครดิตที่แข็งแกร่งของ SCC ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า แม้ว่าบริษัทฯ จะมีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า ซึ่งน่าจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO net leverage) ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.8 เท่า ในปี 2565 ก่อนที่จะลดลงมาอยู่ต่ำกว่า 3.5 เท่าในปี 2566 หลังจากที่โครงการปิโตรเคมีที่ประเทศเวียดนาม (Long Son  Petrochemicals: LSP)  เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์

ปัจจัยที่มีผลต่ออันดับเครดิต

         EBITDA ที่แข็งแกร่ง – ฟิทช์คาดว่า กำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของ SCC จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 7-8.5 หมื่นล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2564-2566 ปี (2563: 6.3 หมื่นล้านบาท) จาก ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (spreads) ในธุรกิจเคมิคอลส์ที่อยู่ในระดับสูง ในปี 2564

       ฟิทช์ เชื่อว่า อัตราการเติบโตจากการลงทุนขยายธุรกิจแพคเกจจิ้งและการฟื้นตัวของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง รวมถึงการเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ของโครงการ LSP ในปี 2566 จะเป็นปัจจัยสนับสนุน EBITDA ของ SCC ในปี 2565-2566 ซึ่งจะช่วยชดเชย EBITDA ของธุรกิจเคมิคอลส์ที่อาจจะลดลงตามการลดลงของ spreads เนื่องจากกำลังการผลิตในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น

        ค่าใช้จ่ายลงทุนที่เพิ่มขึ้น – ฟิทช์ คาดว่า ค่าใช้จ่ายลงทุนของ SCC จะอยู่ที่ระดับประมาณ 2.1 แสนล้านบาท ในช่วงปี 2564-2566 ซึ่งอาจส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สิน  FFO net leverage ของ SCC เพิ่มขึ้นสูงกว่า 3.5 เท่า ชั่วคราวในปี 2565 ซึ่งระดับดังกล่าวเป็นระดับสูงสุดที่ยังสอดคล้องกับอันดับเครดิต ‘A+(tha)’ ของบริษัทฯ (ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 อยู่ที่ระดับ 2.9 เท่า) ก่อนที่จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.2 เท่าในปี 2566

      โดยการลดลงของอัตราส่วนหนี้สินน่าจะได้รับการสนับสนุนจาก กระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO) ที่แข็งแกร่งประมาณ 6-7 หมื่นล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2564-2566 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายลงทุนส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในโครงการ LSP ในเวียดนาม

      การฟื้นตัวของซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง : ฟิทช์คาดว่ารายได้และ EBITDA ของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างของ SCC จะฟื้นตัวในปี 2565 หลังจากการลดลงในปี 2564 ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา และต้นทุนถ่านหินที่สูงขึ้นอย่างมาก  การฟื้นตัวของธุรกิจเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของความต้องการใช้ซีเมนต์ในประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน

      หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเริ่มผ่อนคลาย และรัฐบาลหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น ประกอบกับต้นทุนถ่านหินที่คาดว่าจะลดลง นอกจากนี้ SCC น่าจะได้รับประโยชน์จากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องไปยังการให้บริการแบบครบวงจรในลักษณะโซลูชั่น และการค้าปลีกสินค้าวัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้าน

     ในขณะเดียวกัน การเพิ่มขึ้นของรายได้จากสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (high-value-added หรือ HVA) และมาตรการลดต้นทุนก็มีส่วนช่วยให้กระแสเงินสดของธุรกิจปรับตัวดีขึ้น

      การกระจายความเสี่ยงที่ดีขึ้น – ฟิทช์ คาดว่า รายได้จากธุรกิจนอกประเทศไทย ทั้งในส่วนของฐานการผลิตในต่างประเทศและการส่งออก จะสูงขึ้นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะเมื่อโครงการ LSP เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในปี 2566  LSP เป็นโครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งแรก และมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม ซึ่งจะรองรับการเติบโตของความต้องการโพลิเมอร์ภายในประเทศ ซึ่งในปัจจุบันยังคงพึ่งพาจากการนำเข้าจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ 

   SCC มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ ทั่วโลกนอกเหนือจากประเทศในกลุ่มอาเซียนอยู่ที่ประมาณร้อยละ 16 ของรายได้รวมในปี 2563 ฟิทช์ คาดว่า การส่งออกไปยังตลาดอื่นๆ นอกเวียดนามจะเพิ่มขึ้นจากสัดส่วนการส่งออกไปเวียดนาม ในปัจจุบันที่จะถูกแทนที่ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ผลิตภายในประเทศเวียดนามเองเมื่อโครงการ LSP เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์

      สถานะความเป็นผู้นำตลาด – SCC มีสถานะเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจหลักของบริษัทฯ ได้แก่ กลุ่มสินค้าปูนซีเมนต์ กระเบื้องเซรามิก ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลาย (โพลีโอเลฟินส์และพีวีซี) และกระดาษบรรจุภัณฑ์  ในประเทศไทยและหลายประเทศในอาเซียน สถานะผู้นำตลาดในแต่ละผลิตภัณฑ์ และประโยชน์ที่ได้รับจากการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงเฉพาะที่อาจเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง

การกำหนดอันดับเครดิตโดยสรุป

      SCC มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกว่าบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) (SCCC, ‘A(tha)’/แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ) ซึ่งอยู่ในธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเช่นเดียวกัน โดย SCC มีส่วนแบ่งทางการตลาดของปูนซีเมนต์ในประเทศที่สูงกว่า รวมถึงมีการกระจายความเสี่ยงทางภูมิศาสตร์และการกระจายความเสี่ยงของกระแสเงินสดจากหลากหลายธุรกิจกว่า อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งทางสถานะทางธุรกิจที่สูงกว่า ได้ถูกลดทอนจากอัตราส่วนหนี้สินของ SCC ที่สูงกว่า SCCC ทำให้ SCC มีอันดับเครดิตที่สูงกว่า SCCC เพียงหนึ่งอันดับ

        เมื่อเปรียบเทียบกับ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC, อันดับเครดิต ‘AA+(tha)’ แนวโน้มเครดิตเป็นลบ, อันดับเครดิตโดยลำพัง ‘aa-(tha)’) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมันครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย   SCC มีการกระจายความเสี่ยงในธุรกิจอื่นที่หลากหลายกว่า ซึ่งทำให้ SCC มีความเสี่ยงต่อความผันผวนของธุรกิจเคมิคอลส์น้อยกว่า  PTTGC มีอัตราส่วนหนี้สินที่ต่ำกว่า จึงมีสถานะเครดิตโดยลำพังที่สูงกว่าอันดับเครดิตชอง SCC หนึ่งอันดับ

       อย่างไรก็ตาม PTTGC มีอัตราส่วนหนี้สินที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาจากการเข้าซื้อกิจการโดยใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืม แนวโน้มเครดิตเป็นลบของ PTTGC สะท้อนถึงความเสี่ยงที่มีต่อความสามารถในการลดอัตราส่วนหนี้สินของ PTTGC

สมมุติฐานที่สำคัญ

สมมุติฐานที่สำคัญของฟิทช์ที่ใช้ในการประมาณการ

-   รายได้เติบโตในอัตราร้อยละ 33 ต่อปีในปี 2564 (ปี 2563 อัตราการเติบโตเป็นลบร้อยละ 8.7 และเก้าเดือนแรกของปี 2564 อัตราการเติบโตร้อยละ 28) เป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจเคมิคอลส์และธุรกิจแพคเกจจิ้ง รวมถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจค้าปลีกสินค้าวัสดุก่อสร้าง; รายได้เติบโตในอัตราร้อยละ 5-10 ต่อปี ในปี 2565-2566 จากการฟื้นตัวของความต้องการซื้อในหลายผลิตภัณฑ์และการขยายกำลังการผลิต

-  อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้  (EBITDA  Margin) ลดลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 15 ในปี 2564 (ปี 2563 ร้อยละ 15.8 และเก้าเดือนแรกของปี 2564 ร้อยละ 15.5) และร้อยละ 13-14 ในปี 2565-2566 จากประมาณการ spreads ในธุรกิจเคมิคอลส์ที่ลดลง 

-  ค่าใช้จ่ายลงทุน ประมาณ 2.1 แสนล้านบาท ในช่วงปี 2564-2566

- อัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิ (Dividend Payout) ที่ระดับร้อยละ 40-50 ในปี 2564-2566

ปัจจัยที่อาจมีผลกับอันดับเครดิตในอนาคต

ปัจจัยบวก: 

- ฟิทช์ ไม่คาดว่า จะมีการปรับเพิ่มอันดับเครดิต เว้นแต่จะมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการขยายธุรกิจเคมิคอลส์ในต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น การเปิดดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบของโครงการ LSP ในประเทศเวียดนาม

ปัจจัยลบ:

FFO net leverage อยู่ในระดับสูงกว่า 3.5 เท่า อย่างต่อเนื่อง

สภาพคล่อง

        สภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ที่ดี: SCC มีหนี้สินที่ครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้านับถึงสิ้นเดือนกันยายน 2565 จำนวน 9.2 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะสั้นสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 3.3 หมื่นล้านบาท เงินกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดชำระประมาณ 4 พันล้านบาท และหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนประมาณ 5.5 หมื่นล้านบาท สภาพคล่องของ SCC ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดและเงินลงทุนที่มีสภาพคล่องเทียบเท่าเงินสด (ตามการปรับปรุงตัวเลขโดยฟิทช์) จำนวนประมาณ 6.5 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 กระแสเงินสดจากการดำเนินงานประมาณ 6.0 หมื่นล้านบาทต่อปี  และความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ผ่านตลาดตราสารหนี้ในประเทศ รวมถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงิน 

       ฟิทช์ คาดว่า สภาพคล่องของ SCC ในช่วงสองปีข้างหน้ายังต้องพึ่งพิงแหล่งเงินทุนจากภายนอก เนื่องจากแผนค่าใช้จ่ายลงทุนที่สูง อย่างไรก็ตาม SCC ได้รับการสนับสนุนวงเงินกู้จากสถาบันการเงินสำหรับโครงการลงทุนหลักแล้ว โดย SCC มีวงเงินสินเชื่อระยะยาวจากสถาบันการเงิน ที่คงเหลือใช้ได้ ณ  สิ้นเดือนธันวาคม 2563 จำนวน 9.0 หมื่นล้านบาท  ในจำนวนนี้เป็นวงเงินกู้สำหรับโครงการ LSP จำนวน 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ  (ประมาณ 8.6 หมื่นล้านบาท)   

ข้อมูลบริษัท

       SCC เป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มี EBITDA อยู่ที่ระดับ 7.6 หมื่นล้านบาทในช่วง 12 เดือนล่าสุดนับจนถึงสิ้นเดือนเดือนกันยายน 2564 SCC มีการกระจายความเสี่ยงในสามธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจเคมิคอลส์ และธุรกิจแพคเกจจิ้ง โดย SCC มีกำลังการผลิตและส่วนแบ่งการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและในหลายประเทศในอาเซียน

ติดต่อ

Primary Analyst

ณิชยา สีมานนทปริญญา

Director

+662 108 0161

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด

ชั้น 17, อาคารปาร์คเวนเชอร์, เลขที่ 57 ถนนวิทยุ, แขวงลุมพินี, เขตปทุมวัน

กรุงเทพฯ 10330

Secondary Analyst

สมฤดี ไชยวรรัตน์

Director

+662 108 0160

Committee Chairperson

Hasira De Silva, CFA

Senior Director

+65 6796 7240

ข้อมูลเพิ่มเติมหาได้ที่ www.fitchratings.com

 Click Donate Support Web

 

EXIM One 720x90 C JGC 720x100TU720x100sme 720x100

BANPU 720x100QIC 720x100

viriya 580x400

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!