- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Sunday, 02 January 2022 08:19
- Hits: 23172
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป’ ที่ ‘BBB-‘ แนวโน้ม’Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘BBB-‘ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความคาดหวังว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทในประเทศเวียดนามจะสร้างผลกำไรที่แน่นอน ตลอดจนสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์และแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษของบริษัท
การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงสภาพคล่องของบริษัทที่เพิ่มขึ้นภายหลังจากการขายเงินลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมออกไปอีกด้วย ในทางกลับกัน อันดับเครดิตถูกลดทอนลงจากแนวโน้มอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ที่ไม่ค่อยดีนัก ตลอดจนความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม และสภาพแวดล้อมที่ท้าทายยิ่งขึ้นของธุรกิจพลังงานหมุนเวียน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
รายได้ที่แน่นอนจากโรงไฟฟ้าพลังงานลม
บริษัทมีชื่อเดิมคือ บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีธุรกิจสิ่งพิมพ์เป็นธุรกิจหลัก ต่อมาบริษัทได้ขยายการดำเนินงานไปสู่ธุรกิจผลิตไฟฟ้าและประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลายโครงการทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น และเวียดนาม เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว ธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัทมีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจอย่างต่อเนื่อง
ภายหลังการขายเงินลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ดำเนินงานแล้วหลายแห่งออกไป รายได้ของบริษัทจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจึงมาจากโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคากลุ่มเล็กๆ ซึ่งมีรายได้เพียง 80-90 ล้านบาทต่อปีเท่านั้น ปัจจุบันบริษัทกำลังก่อสร้างฟาร์มกังหันลมจำนวน 4 แห่งในประเทศเวียดนามซึ่งมีกำลังการผลิตสุทธิประมาณ 126 เมกะวัตต์ ดังนั้น รายได้ในอนาคตของบริษัทจึงขึ้นอยู่กับความสำเร็จของการพัฒนาโครงการนี้เป็นอย่างมาก
เมื่อพิจารณาจากความสำเร็จในการพัฒนาโครงการในอดีตของบริษัทแล้ว ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทจะสามารถพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมได้เสร็จสมบูรณ์ ทั้งนี้ อันดับเครดิตสะท้อนความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าฟาร์มกังหันลมจะสร้างรายได้ในระดับสูงให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่องในปีต่อๆ ไป ในขณะที่ความแน่นอนของกระแสเงินสดนั้นจะขึ้นอยู่กับการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (Power Purchase Agreement -- PPA) กับการไฟฟ้าเวียดนาม (Vietnam Electricity -- EVN) ตลอดจนอัตราค่าไฟฟ้าคงที่ และผลการดำเนินงานที่น่าพอใจของโครงการฟาร์มกังหันลม
โครงการฟาร์มกังหันลมจะช่วยเพิ่มรายได้
ภายใต้ประมาณการพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าบริษัทจะเริ่มเปิดดำเนินการโครงการฟาร์มกังหันลม 3 แห่งแรกในเชิงพาณิชย์ได้ภายในเดือนมีนาคม 2565 ด้วยกำลังการผลิตรวม 100 เมกะวัตต์ ส่วนโครงการที่เหลือซึ่งมีกำลังการผลิต 26 เมกะวัตต์จะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งทุกโครงการจะได้รับอัตราค่าไฟฟ้าคงที่ (Feed-in Tariff -- FiT) ที่ระดับ 8.5 เซนต์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เมื่อฟาร์มกังหันลมทุกโครงการเปิดดำเนินการเต็มกำลังแล้ว
ทริสเรทติ้ง คาดว่า โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมจะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ให้แก่บริษัทที่จำนวน 1 พันล้านบาทต่อปี
โรคระบาดทำให้เกิดความล่าช้าในการก่อสร้าง
ผู้พัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมหลายรายในประเทศเวียดนามต่างก็ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ซึ่งส่งผลทำให้การผลิตและการขนส่งกังหันลมมีความล่าช้า ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงการและการติดตั้งอุปกรณ์ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากมาตรการจำกัดการเดินทางและมาตรการปิดเมือง (Lockdown) ความล่าช้าในลักษณะเดียวกันก็เกิดกับโครงการฟาร์มกังหันลมของบริษัทในประเทศเวียดนามที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างด้วยเช่นกัน
โดยในช่วงกลางเดือนธันวาคม 2564 ความคืบหน้าในการก่อสร้างฟาร์มกังหันลม 2 แห่งของบริษัทในจังหวัดกว๋างตรี (76.6 เมกะวัตต์) อยู่ที่ประมาณ 80%-90% ในขณะที่อีก 2 แห่งในจังหวัดเกียลาย (49.5 เมกะวัตต์) มีความคืบหน้าน้อยกว่า ส่งผลให้รายได้ของบริษัทจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าในปี 2564 และปี 2565 น้อยกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้
ความเสี่ยงที่อัตราค่าไฟฟ้าจะถูกปรับลดลง
รัฐบาลเวียดนามได้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าแบบคงที่เป็นระยะเวลา 20 ปีที่ราคา 8.5 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมติดตั้งบนบกที่สามารถเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งโครงการที่ไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ภายในเวลาที่กำหนดนั้นมีความเสี่ยงที่อัตราค่าไฟฟ้าจะถูกปรับลดลง เนื่องจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมของบริษัทไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ตามเวลาที่กำหนดจึงมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับอัตราค่าไฟฟ้าในราคาเดิมอีกต่อไป
ปัจจุบันผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมหลายรายได้ร้องขอให้รัฐบาลเวียดนามขยายกำหนดเวลาออกไป แม้ว่าการตัดสินใจของรัฐบาลจะอยู่ในระหว่างขั้นตอนการพิจารณา แต่ในประมาณการของทริสเรทติ้งก็ได้ตั้งสมมุติฐานว่าบริษัทจะยังคงได้รับอัตราค่าไฟฟ้าอัตราเดิมต่อไปเอาไว้ด้วย อย่างไรก็ตาม หากการก่อสร้างยังมีความล่าช้าออกไปอีกก็จะส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดที่คาดไว้ได้
นอกเหนือจากความเสี่ยงในการก่อสร้างแล้ว โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมก็มักมีความเสี่ยงในการปฏิบัติการที่สูงกว่า เช่น ความเสียหายทางด้านกลไกและด้านไฟฟ้า ความสำเร็จของการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความพร้อมและความเร็วของลม ความผันแปรเล็กน้อยของความเร็วลมในช่วงระยะเวลาหนึ่งอาจทำให้จำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้มีการเบี่ยงเบนอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น โครงการฟาร์มกังหันลมแห่งแรกของบริษัทจึงยังจะต้องมีการพิสูจน์ผลสำเร็จในการดำเนินงานต่อไป
สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจสิ่งพิมพ์
สำหรับ ธุรกิจสิ่งพิมพ์นั้น บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในฐานะผู้ให้บริการการพิมพ์ระดับแนวหน้าโดยได้รับแรงหนุนจากขนาดและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ บริษัทรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าโดยมีจุดแข็งจากการมีประวัติผลงานที่ยาวนาน แม้ว่าอุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์และการพิมพ์จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะแวดล้อมทางธุรกิจอย่างรุนแรงก็ตาม แต่ธุรกิจการพิมพ์ของบริษัทก็ยังคงสร้างผลกำไร โดยภาพรวมบริษัทยังมีอัตรากำไรขั้นต้นในธุรกิจการพิมพ์อยู่ที่ประมาณ 15%-20%
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมสิ่งพิมพ์ได้ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของการใช้อินเทอร์เน็ตและสื่อดิจิทัล รายได้จากธุรกิจสิ่งพิมพ์ของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 393 ล้านบาทในปี 2563 โดยลดลงจากระดับ 410-560 ล้านบาทในช่วงปีก่อนๆ ในขณะที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ยืดเยื้อได้เพิ่มแรงกดดันต่ออุปสงค์ด้านสิ่งพิมพ์ให้มีมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 รายได้จากธุรกิจสิ่งพิมพ์ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 285 ล้านบาท ลดลง 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกจากนี้ อัตรากำไรจากสิ่งพิมพ์ยังลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากต้นทุนกระดาษที่สูงขึ้นซึ่งมีสาเหตุมาจากปัญหาความติดขัดของอุปทานซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19
บรรจุภัณฑ์กระดาษมีศักยภาพในการเติบโต
เพื่อแก้ปัญหาอุปสงค์ด้านการพิมพ์ที่ลดลง บริษัทได้หันมาผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยบริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์กระดาษหลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นถุงกระดาษ กล่องพิซซ่า กล่องหูช้าง และลังกระดาษ เป็นต้น ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจบรรจุภัณฑ์อยู่ที่ 180 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 254% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
บริษัทวางแผนจะขยายฐานลูกค้าไปยังลูกค้ารายย่อยผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และดิสเค้าท์สโตร์ ดังนั้น ยอดขายบรรจุภัณฑ์กระดาษจึงคาดว่าจะเติบโตควบคู่ไปกับอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ โดยรวมแล้ว บริษัทมีกำไรขั้นต้นจากธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์อยู่ที่ระดับ 14% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564
การขายเงินลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม
ในเดือนธันวาคม 2564 บริษัทได้ขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยคือ บริษัท อีสเทอร์น โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (Eastern Cogeneration Co., Ltd. -- E-COGEN) ให้แก่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ บีจีพี จำกัด (Univentures BGP Co., Ltd. -- UVBGP) ซึ่งเป็นกิจการร่วมค้าระหว่าง บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) (Univentures PLC -- UV) และ บริษัท บี. กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (B. Grimm Power PLC -- BGRIM) โดย E-COGEN ถือหุ้นใน บริษัท พีพีทีซี จำกัด (PPTC Co., Ltd. -- PPTC) และ บริษัท เอสเอสยูที จำกัด (SSUT Co., Ltd. -- SSUT)
ซึ่งเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 3 แห่งภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) โรงไฟฟ้าความร้อนร่วมมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว 25 ปีกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และสัญญาระยะยาวกับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม การขายเงินลงทุนทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าของบริษัทลดลงไปประมาณครึ่งหนึ่งเหลือ 132.5 เมกะวัตต์เมื่อวัดตามสัดส่วนของความเป็นเจ้าของ
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าการขายกิจการไม่ได้ส่งผลกระทบต่อ EBITDA ของบริษัทแต่อย่างใดเนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมไม่ได้จ่ายเงินปันผลจากการมีปัญหาข้อพิพาทที่ยาวนานกับผู้รับเหมาด้านวิศวกรรม การจัดซื้อจัดจ้าง และการก่อสร้าง (Engineering, Procurement, and Construction -- EPC)
สภาพคล่องเพิ่มขึ้น
ธุรกรรมการขายเงินลงทุนจะช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่บริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับเงินสดจำนวน 1.09 หมื่นล้านบาท สุทธิจากสำรองอนุญาโตตุลาการและจะรับรู้กำไรจำนวน 2.2 พันล้านบาทจากการขายเงินลงทุน ทั้งนี้ ภายใต้ประมาณการของทริสเรทติ้งคาดว่า บริษัทจะใช้เงินประมาณ 6.3 พันล้านบาทสำหรับชำระหนี้ระยะสั้นและจะมีเงินสดคงเหลือในมือจำนวน 4.5 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2564
โดยบริษัทวางแผนจะจ่ายต้นทุนการก่อสร้างที่เหลืออยู่ของโครงการฟาร์มกังหันลมด้วยเงินสดเนื่องจากโครงการไม่ได้ใช้เงินทุนจากผู้รับเหมาอีกต่อไป ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะจ่ายค่าใช้จ่ายที่เหลือของโครงการฟาร์มกังหันลมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 2.1 พันล้านบาทในปี 2565 ซึ่งเงินสดที่มีอยู่จากการขายเงินลงทุนสามารถรองรับภาระดังกล่าวได้ทั้งหมด ดังนั้น ความเสี่ยงจากการก่อสร้างฟาร์มกังหันลมจึงลดลงไปบางส่วน
กระแสเงินสดดีขึ้นเมื่อเทียบกับหนี้สิน
โดยรวมแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะลดลงเหลือประมาณ 615 ล้านบาทในปี 2564 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.7 พันล้านบาทในปี 2565 จากนั้นจะเพิ่มสูงถึง 2.1 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567 ในขณะเดียวกัน EBITDA ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 0.8 พันล้านบาทในปี 2565 และ 1.1 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2567
ภายใต้ประมาณการพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อ EBITDA ของบริษัทจะดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 3-5 เท่าภายในปี 2566 เมื่อเทียบกับระดับ 6-13 เท่าในช่วงที่ผ่านมา ทริสเรทติ้งคาดว่าเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 500 ล้านบาทในปี 2565 และที่ประมาณ 700 ล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2567 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 10% ในปี 2565 และจะสูงถึงระดับ 20% ในปี 2566
นอกจากนี้ ทริสเรทติ้ง ยังประมาณการว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะลดลงมาอยู่ที่ 25.4% ในปี 2564 จากระดับ 30.8% ในปี 2563 อีกด้วย โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้อยู่ที่ระดับประมาณ 40% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 60%-70% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเอาไว้ได้
สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ท้าทายยิ่งขึ้น
ทริสเรทติ้ง ยังคงมีมุมมองว่าธุรกิจผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยมีความท้าทายมากยิ่งขึ้น โดยการแข่งขันเริ่มตึงเครียดมากยิ่งขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากนโยบายเปิดเสรีของภาครัฐเพื่อจำกัดโอกาสในการเพิ่มต้นทุนค่าไฟฟ้า ส่งผลให้บริษัทเอกชนต่างๆ ตั้งแต่ผู้ประกอบการขนาดเล็กมากไปจนถึงขนาดใหญ่ต่างก็ขยายกิจการเข้าสู่ธุรกิจผลิตไฟฟ้า
ในขณะที่อุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากผลของการแพร่ระบาด ประเทศไทยก็กำลังประสบกับปัญหากำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองส่วนเกินจำนวนมาก บริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าไทยหันไปลงทุนในต่างประเทศกันมากขึ้นจากผลของการมีแรงจูงใจด้านอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่ลดลง ตลอดจนการแข่งขันประมูลโครงการที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ความล่าช้าที่เกิดขึ้นต่อเนื่องของโครงการภาครัฐ และผลตอบแทนจากการลงทุนที่ลดต่ำลง
อย่างไรก็ตาม การขยายธุรกิจไปในบางประเทศก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่าอันเนื่องมาจากความโปร่งใสและความต่อเนื่องของกฎระเบียบของประเทศที่ไปลงทุน ตลอดจนความน่าเชื่อถือของผู้ซื้อไฟฟ้า และความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม
การเปิดรับความเสี่ยงในประเทศเวียดนามเป็นอย่างมาก
บริษัทมีการเปิดรับความเสี่ยงในประเทศเวียดนามเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าของบริษัทในประเทศเวียดนามจะมีสัดส่วนคิดเป็นเกือบ 100% ของกำลังการผลิตทั้งหมดเมื่อโครงการฟาร์มกังหันลมของบริษัททุกแห่งเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2565 สำหรับการดำเนินงานเต็ม 1 ปีนั้น โครงการฟาร์มกังหันลมจะมีผลการดำเนินงานคิดเป็นประมาณ 90% ของ EBITDA ทั้งหมดของบริษัท
นอกจากนี้ บริษัทยังคงมองหาโอกาสเพิ่มเติมในประเทศเวียดนามด้วยจำนวนเงินลงทุนที่มากขึ้นอีกด้วย แม้ว่าอุปสงค์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทริสเรทติ้งก็มองว่าการลงทุนในประเทศเวียดนามมีความเสี่ยงอยู่หลายประการ เช่น การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ การบังคับใช้สัญญา โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอ และความล่าช้าในการก่อสร้าง
นอกจากนี้ ความเสี่ยงของคู่สัญญาก็มีสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทริสเรทติ้งมองว่าสถานะเครดิตของ EVN นั้นไม่แข็งแกร่งเท่ากับผู้ซื้อไฟฟ้าไทยที่มีรัฐบาลเป็นเจ้าของ นอกจากนี้ การลงทุนโดยการก่อหนี้จำนวนมากก็จะส่งผลกระทบในเชิงลบต่ออันดับเครดิตด้วยเช่นกัน
โครงสร้างเงินทุน
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 บริษัทมีหนี้สินจำนวน 9.7 พันล้านบาท โดยหนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ของบริษัทย่อยซึ่งถือเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน ทำให้อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้ทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 69% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 50% ทริสเรทติ้งจึงมองว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทมีความเสียเปรียบอย่างมีนัยสำคัญในแง่ของลำดับในการเรียกร้องต่อทรัพย์สินของบริษัท
ทั้งนี้ หลังจากการขายเงินลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมออกไป ทริสเรทติ้งก็คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะลดลงชั่วคราวมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 50% หรือประมาณ 34% อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้ง คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะกลับมาอยู่ในระดับมากกว่า 50% เมื่อโครงการฟาร์มกังหันลมได้รับอนุมัติเงินกู้โครงการ
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- รายได้จากธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์กระดาษคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 580-840 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2567 และจะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับประมาณ 14%-16%
- อัตราความสามารถในการผลิตไฟฟ้าของโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาจะอยู่ที่ระดับประมาณ 13%
- โครงการฟาร์มกังหันลมในประเทศเวียดนามจะใช้ประมาณการ P90 (สามารถผลิตไฟฟ้าได้ในระดับความน่าจะเป็นที่ 90%)
- รายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะอยู่ที่ระดับ 900 ล้านบาทในปี 2565 และจะเพิ่มเป็น 1.3 พันล้านบาทต่อปีในปี 2566
- อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะเท่ากับ 45% ในปี 2565 และจะเพิ่มขึ้นสูงกว่า 50% ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป
- ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนโดยรวมจะอยู่ที่จำนวน 8 พันล้านบาทในช่วงปี 2564-2567
- บริษัทจะได้รับเงินกู้โครงการจำนวน 5.5 พันล้านบาทในปี 2565 สำหรับโครงการฟาร์มกังหันลมทุกโครงการในประเทศเวียดนาม
- เงินปันผลจ่ายจะอยู่ที่ราว ๆ 46 ถึง 300 ล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2567
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าโครงการฟาร์มกังหันลมของบริษัทจะเปิดดำเนินการได้ตามที่ประมาณการไว้และจะมีผลการดำเนินงานตามที่คาดไว้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษจะมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจและจะช่วยชดเชยรายได้ที่ลดลงของธุรกิจสิ่งพิมพ์ได้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะบริหารจัดการสภาพคล่องอย่างระมัดระวังในช่วงที่มีการก่อสร้างโครงการฟาร์มกังหันลมแห่งใหม่อีกด้วย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทสามารถสร้างกระแสเงินสดได้มากกว่าคาดอย่างต่อเนื่องและจะทำให้ระดับกระแสเงินสดเมื่อเปรียบเทียบกับระดับหนี้สินปรับตัวดีขึ้น ในทางกลับกัน อันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้อย่างมากซึ่งอาจเป็นผลมาจากการเปิดดำเนินการที่ล่าช้าอีกของโครงการฟาร์มกังหันลม หรือจากอัตราค่าไฟฟ้าที่ลดลง หรือผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าคาดอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ อันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากบริษัทมีการลงทุนขนาดใหญ่เพิ่มเติมจนเป็นผลทำให้เกิดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องหรือความเสี่ยงด้านการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BBB- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
|