WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

TRIS7 13ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน’บ.เซ็นทรัลพัฒนา’ ที่ ‘AA’แนวโน้ม ‘Stable’  

     ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘AA’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำของบริษัทในธุรกิจศูนย์การค้าในประเทศไทย ตลอดจนผลงานในการบริหารศูนย์การค้าคุณภาพสูง และกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากรายได้ค่าเช่าและค่าบริการตามสัญญา

     นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงการที่บริษัทเข้าซื้อกิจการของ บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และความต้องการเงินลงทุนจำนวนมากเพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจของบริษัทในช่วงปี 2564-2566 รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ยาวนานซึ่งยังคงส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและอุปสงค์ของพื้นที่ค้าปลีกอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

การซื้อกิจการบริษัทสยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ช่วยเสริมธุรกิจของบริษัท

     ทริสเรทติ้ง มองว่า การซื้อกิจการของบริษัทสยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจพัฒนาศูนย์การค้าของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านบางนาซึ่งศูนย์การค้าเมกา บางนา เป็นศูนย์การค้าที่มีชื่อเสียงและสามารถดึงดูดผู้เช่าหลากหลายประเภท หลังจากซื้อหุ้นในส่วนที่เหลือของบริษัทสยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์แล้วเสร็จเมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคม 2564 บริษัทก็กลายเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 96.24% ในบริษัทดังกล่าว ซึ่ง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 บริษัทกลายเป็นเจ้าของคอมมูนิตี้มอลล์ 17 แห่งและศูนย์การค้าขนาดใหญ่อีก 1 แห่ง รวมพื้นที่ให้เช่าสุทธิ 364,883 ตารางเมตร (ตร..) นอกจากนี้ บริษัทยังได้เป็นหุ้นส่วนในกิจการร่วมค้าของที่ดินรอการพัฒนาในย่านที่มีศักยภาพอีกด้วย

        ณ เดือนกันยายน 2564 อัตราการเช่าโดยเฉลี่ยของคอมมูนิตี้มอลล์ของบริษัทสยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์อยู่ที่ 92% และของศูนย์การค้าเมกา บางนาอยู่ที่เกือบ 100% บริษัทสยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์มีรายได้จากการดำเนินงานรวมอยู่ที่ระดับ 1.1-1.5 พันล้านบาทต่อปีรวมทั้งมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ระดับ 0.7-0.9 พันล้านบาทต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในศูนย์การค้าเมกา บางนาที่ระดับ 0.3-0.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2559-2563

        หลังจากซื้อกิจการของบริษัทสยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์แล้ว บริษัทมีพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าเพิ่มขึ้น 20% คิดเป็น 2.2 ล้าน ตร.. โดยคอมมูนิตี้มอลล์ทั้ง 17 แห่งและศูนย์การค้าขนาดใหญ่อีก 1 แห่งของบริษัทสยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่สถานะความเป็นผู้นำของบริษัทในธุรกิจศูนย์การค้าในประเทศไทยที่ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งนี้ ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทบริหารศูนย์การค้าและคอมมูนิตี้มอลล์รวม 52 แห่ง โดย 32 แห่งอยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ 19 แห่งอยู่ในเขตต่างจังหวัด 1 แห่งอยู่ในประเทศมาเลเซีย

        และบริษัทยังมีพื้นที่ค้าปลีกซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) อีกด้วย บริษัทมีพื้นที่ค้าปลีกรวมทั้งสิ้น 2.2 ล้าน ตร.. ทั้งนี้ สถานะผู้นำของบริษัทเกิดจากการมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่มากถึง 23% ของพื้นที่ค้าปลีกทั่วประเทศและมีอัตราการเช่าที่สูงเกินกว่า 90% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ผลงานที่ได้รับการยอมรับในการบริหารศูนย์การค้าคุณภาพสูง

        ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ดี โดยบริษัทมีศูนย์การค้าสร้างรายได้ที่มีความหลากหลายและตั้งอยู่ในทำเลที่ดีรวมทั้งยังมีฐานผู้เช่าที่หลากหลายและแข็งแกร่ง บริษัทมีการปรับปรุงศูนย์การค้าและปรับเปลี่ยนผู้เช่าอยู่เสมอเพื่อให้ศูนย์การค้ามีความทันสมัยและดึงดูดใจลูกค้า ทั้งนี้ ผู้เช่าหลักที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดลูกค้าให้เข้าศูนย์การค้าของบริษัทประกอบไปด้วยห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน โรงภาพยนตร์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านแบรนด์เนม และห้องโถงเอนกประสงค์ขนาดใหญ่สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ ซึ่งผู้เช่าหลักที่มีความหลากหลายเหล่านี้ยังช่วยดึงดูดผู้เช่าเฉพาะทางรายอื่น ๆ ในขณะที่ศูนย์การค้าที่มีคุณภาพสูงยังช่วยดึงดูดผู้เช่ารายย่อยทั้งที่เป็นแบรนด์ภายในประเทศและจากต่างประเทศได้อีกด้วย

ผลการดำเนินงานในปี 2564 ได้รับผลกระทบจากการปิดศูนย์การค้า

        ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2564 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 หลายระลอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการปิดศูนย์การค้าตามคำสั่งของภาครัฐตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคมจนถึงปลายเดือนสิงหาคม 2564 บริษัทให้ส่วนลดค่าเช่าตามระยะเวลาที่ได้รับผลกระทบตลอดปี 2564 ด้วย

        ทริสเรทติ้ง มองว่า ผลจากการฉีดวัคซีนที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการในศูนย์การค้าให้มากขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 เป็นต้นไป โดยสมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากศูนย์การค้าของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 2 หมื่นล้านบาทในปี 2564 ซึ่งต่ำกว่าในปี 2562 35% ส่วนรายได้จากอาคารสำนักงานให้เช่านั้นอาจลดลง 10% จากระดับก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มาอยู่ 1.5 พันล้านบาทในปี 2564

        ในขณะที่รายได้จากศูนย์อาหารคาดว่าจะลดลงเหลือประมาณ 0.3 พันล้านบาทในปีนี้จากผลของมาตรการปิดศูนย์การค้าและมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคม ส่วนรายได้จากธุรกิจโรงแรมนั้นก็คาดว่าจะลดลงและจะอยู่ในระดับต่ำสุดในปี 2564

        ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะลดลง 30%-35% จากระดับในปี 2562 เป็น 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 2564 ในขณะที่ EBITDA ซึ่งรวมกำไรจากการให้เช่าสินทรัพย์แก่ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (ทรัสต์ฯ) อาจจะลดลง 15% จากระดับก่อนการแพร่ระบาดเหลือ 1.8 หมื่นล้านบาทในปี 2564

ผลการดำเนินงานคาดว่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวในปี 2565-2566  

        ทริสเรทติ้ง เชื่อว่าจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการในศูนย์การค้าจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นภายหลังจากการผ่อนคลายมาตรการ และศูนย์การค้ากลับมาเปิดดำเนินการได้ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าจำนวนผู้เข้ามาใช้บริการศูนย์การค้าตลอดปี 2565 จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 75%-85% ของระดับก่อนการแพร่ระบาด

        อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่น้อยลงและการกลายพันธุ์ของโรคโควิด 19 ทำให้ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงให้ส่วนลดค่าเช่าแก่ผู้เช่าที่ได้รับผลกระทบต่อไปอีกตลอดปี 2565 และคาดว่าค่าเช่าน่าจะสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ 3% ในปี 2566 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเปิดศูนย์การค้าใหม่จำนวน 1-3 แห่งต่อปีตลอดช่วงเวลาประมาณการ

        โดยคาดว่าอัตราการเช่าพื้นที่โดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 90% ทั้งนี้ ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากศูนย์การค้าของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 2.2-2.3 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566 หรือต่ำกว่าปี 2562 ประมาณ 25% ส่วนรายได้จากอาคารสำนักงานให้เช่าคาดว่าจะอยู่ในช่วง 1.3-1.5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2565-2566 ตามการคาดการณ์ว่าอัตราการเช่าพื้นที่จะลดลงเล็กน้อยและอัตราค่าเช่าจะไม่เติบโต

        ส่วนรายได้จากศูนย์อาหารนั้น คาดว่าจะฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับ 0.6-0.7 พันล้านบาทต่อปี ในขณะที่รายได้จากธุรกิจโรงแรมน่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50% ของปี 2562 ได้ภายในปี 2565 และที่ระดับ 70% ภายในปี 2566    

เนื่องจากการแพร่ระบาดที่ยาวนานและการกลายพันธุ์ของโรคโควิด 19 ผลการดำเนินงานของบริษัทจึงฟื้นตัวช้ากว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้

        อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้ง คาดว่า รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจากทุกธุรกิจจะอยู่ในระดับ 2.8-3.0 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566 โดยคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน

        นอกจากนี้ ทริสเรทติ้ง ยังคาดว่า EBITDA ซึ่งรวมกำไรจากการให้เช่าสินทรัพย์แก่ทรัสต์ฯ ของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 1.9 หมื่นล้านบาทในปี 2565 และ 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 2566 โดยอัตรากำไรสุทธิของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 27% ของรายได้จากการดำเนินงานรวมตลอดช่วงเวลาประมาณการ

แผนการลดหนี้เงินกู้โดยการจำหน่ายและให้เช่าสินทรัพย์แก่ทรัสต์ฯ

        บริษัทใช้เงินกู้ในการซื้อกิจการของบริษัทสยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ ซึ่งทำให้ภาระหนี้เงินกู้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 2.36 หมื่นล้านบาท รวมถึงภาระหนี้ของบริษัทสยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์อีกจำนวน 6 พันล้านบาท ทั้งนี้ ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาทในปีนี้ (ไม่รวมเงินลงทุนในการเข้าซื้อกิจการ) และอีกจำนวน 2 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566

        ทั้งนี้ เงินลงทุนดังกล่าวรวมเงินลงทุนในการพัฒนาศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานแห่งใหม่ตลอดจนการปรับปรุงศูนย์การค้าที่มีอยู่ในปัจจุบันจำนวน 9 พันล้านบาทถึง 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีด้วย ทริสเรทติ้งประมาณการงบประมาณในการซื้อที่ดินและค่าก่อสร้างของโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยของบริษัทที่จำนวน 2-3 พันล้านบาทต่อปีและเงินลงทุนในการพัฒนาโรงแรมแห่งใหม่ที่จำนวนประมาณ 2 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566

        โดยได้รวมเงินลงทุนของบริษัทและของบริษัทแกรนด์ คาแนล แลนด์ รวมทั้งโครงการร่วมทุนอื่นๆ ตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทไว้ในประมาณการแล้ว

        แม้ว่า การซื้อกิจการของบริษัทสยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์จะใช้แหล่งเงินทุนจากเงินกู้ทั้งจำนวน แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะสามารถลดหนี้ได้ตามแผน โดยสมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถจำหน่ายศูนย์การค้าทั้ง 2 แห่งของบริษัทให้แก่ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPNREIT) ในช่วงปลายปี 2565 และให้เช่าสินทรัพย์แก่ทรัสต์ฯ เพิ่มเติมอีกในช่วงปลายปี 2566 ซึ่งเงินที่ได้รับจากการจำหน่ายและให้เช่าสินทรัพย์ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่า 2.0-2.5 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2564-2566 นั้นน่าจะช่วยลดภาระหนี้เงินกู้ของบริษัทลงได้บางส่วน

        ทริสเรทติ้ง ยังคาดด้วยว่า บริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิ (ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 4.5 เท่าตลอดช่วงประมาณการและรักษาอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายให้อยู่ที่ระดับประมาณ 8 เท่าเอาไว้ได้

มีสภาพคล่องที่เพียงพอ

        ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทจะมีเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดย ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทมีภาระหนี้สินทางการเงินที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 2.9 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหนี้ระยะสั้นจำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท เงินกู้ระยะยาวจำนวน 6 พันล้านบาท หุ้นกู้จำนวน 5.8 พันล้านบาท และหนี้สินตามสัญญาเช่าจำนวน 2.8 พันล้านบาท

        โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้งบลงทุนจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และ 2 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566 ทั้งนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลที่อัตราประมาณ 33%-40% ของกำไรสุทธิอีกด้วย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดจำนวน 4.5 พันล้านบาทและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 3.5 พันล้านบาท

        นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่สามารถยกเลิกได้อีกจำนวน 1.32 หมื่นล้านบาท ในขณะที่กระแสเงินสดจากการดำเนินงานก็คาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทในปี 2565 นอกจากนี้ บริษัทยังมีสินทรัพย์ที่ปลอดภาระค้ำประกันซึ่งมีมูลค่าตามบัญชีจำนวนประมาณ 1.65 แสนล้านบาทที่สามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันเพื่อขอเงินกู้จากธนาคารในกรณีที่จำเป็นได้อีกด้วย

        บริษัทยังคงปฎิบัติตามเงื่อนไขทางการเงินของหุ้นกู้ได้ โดยเงื่อนไขของหุ้นกู้กำหนดให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ให้ต่ำกว่า 1.75 เท่าและอัตราส่วนสินทรัพย์หลังจากหักภาระผูกพันต่อเงินกู้ยืมที่ไม่มีหลักประกันให้สูงกว่า 1.5 เท่า ซึ่ง ณ เดือนกันยายน 2564 อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 0.7 เท่าและอัตราส่วนสินทรัพย์หลังจากหักภาระผูกพันต่อเงินกู้ยืมที่ไม่มีหลักประกันอยู่ที่ระดับ 4 เท่า

        ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 บริษัทมีหนี้ที่มีหลักประกันจำนวน 3.8 พันล้านบาท ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้ที่มีหลักประกันต่อมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ของบริษัทอยู่ที่ระดับเพียง 2% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 35% ตาม ‘เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า’ ของทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งจึงพิจารณาว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทไม่มีความเสียเปรียบอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใดเมื่อพิจารณาจากลำดับชั้นในการได้รับคืนเมื่อเปรียบเทียบกับสินทรัพย์ของบริษัท

สมมติฐานพื้นฐาน

        สมมติฐานกรณีพื้นฐานที่สำคัญ ๆ ของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2564-2566 มีดังนี้

  • รายได้ค่าเช่าและค่าบริการจากศูนย์การค้าในปี 2564 จะอยู่ที่ระดับ 65% ของปี 2562 และจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 2.2-2.3 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566
  • บริษัทจะเปิดศูนย์การค้าใหม่จำนวน 1-3 แห่งต่อปีในช่วงปี 2564-2566 ด้วยอัตราการเช่าโดยรวมประมาณ 90%
  • งบลงทุนสำหรับทุกธุรกิจรวมกันจะอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และ 2 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566
  • รายได้จากการดำเนินงานรวมจะอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาทในปี 2564 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 2.8-3.0 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566
  • บริษัทจะจำหน่ายและให้เช่าสินทรัพย์แก่ CPNREIT ในปี 2565-2566

แนวโน้มอันดับเครดิต

        แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ’คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้ง ว่า บริษัทจะมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามประมาณการแม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ แม้ว่าบริษัทจะขยายธุรกิจเชิงรุกมากขึ้น แต่ก็คาดว่า บริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิ (ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 4.5 เท่าตลอดช่วงเวลาประมาณการ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

        อันดับเครดิตของบริษัทอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นในขณะที่ยังคงรักษาสถานะความเป็นผู้นำทางธุรกิจเอาไว้ได้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับลดลงหากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้ หรืออัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิ (ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 4.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า, 15 กรกฎาคม 2564

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN)

อันดับเครดิตองค์กร:

AA

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

  CPN221A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565

AA

  CPN225A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565

AA

  CPN235A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566

AA

  CPN241A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567

AA

  CPN242A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567

AA

  CPN248A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567

AA

  CPN258A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568

AA

  CPN261A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,250 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569

AA

  CPN261B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 750 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569

AA

CPN268A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569

AA

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 15 ปี

AA

แนวโน้มอันดับเครดิต:

Stable

 

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com  

ติดต่อ [email protected]  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500

        © บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้

        ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

 Click Donate Support Web

 

EXIM One 720x90 C JGC 720x100TU720x100sme 720x100

BANPU 720x100QIC 720x100

ais 720x100NHA720x100

เจนเนอราลี่

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!