- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Sunday, 26 December 2021 21:53
- Hits: 8942
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ‘บ.เบทาโกร’ ที่ ‘A-‘เแนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘A-‘ พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร ตลอดจนปัจจัยเสี่ยงด้านอุตสาหกรรมอีกหลายประการ เช่น วงจรของสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท ความผันผวนของราคาวัตถุดิบ โรคระบาดในสัตว์ และการกีดกันทางการค้า
อย่างไรก็ตาม การดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตลอดจนกลยุทธ์ที่เน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มซึ่งจำหน่ายภายใต้ตราสินค้าของบริษัทเองก็ช่วยลดความกังวลดังกล่าวลงไปได้บางส่วน นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงข้อกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจอันเกิดจากการกลายพันธุ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โรคโควิด 19) อีกด้วย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าคาด
บริษัทมีผลการดำเนินงานอ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งเคยคาดการณ์ไว้อันเนื่องมาจากผลการดำเนินงานที่ตกต่ำอย่างมากของบริษัทในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 จากสถานการณ์โรคโควิด 19 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นตลอดจนมาตรการปิดเมือง (Lockdown) ประกอบกับราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ปรับตัวขึ้นสูงเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานจากผลกระทบของโรคโควิด 19 ที่ระบาดในโรงงานแปรรูปอาหารหลายแห่งและอุปสงค์ที่ลดลงของผู้บริโภคก็เป็นสาเหตุที่ส่งผลให้ราคาสัตว์บกลดลงอย่างมาก
นอกจากนี้ บริษัทยังมีค่าใช้จ่ายพิเศษจำนวนมากจากมาตรการป้องกันโรคระบาดและการปิดโรงงานในไตรมาสดังกล่าวอีกด้วย จึงส่งผลทำให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลง 37.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 3.5 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ในขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ก็ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5.6% ในช่วงเดียวกันจากระดับ 8.9% ในปี 2563
ทริสเรทติ้ง คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะค่อยๆ ฟื้นตัวในปี 2565 แม้ว่ายังคงมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความท้าทายในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของราคาสัตว์บกที่อาจเป็นไปอย่างเชื่องช้า ตลอดจนราคาวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูง ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ รวมทั้งการกลายพันธุ์ของโรคโควิด 19
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ที่บริษัทมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ตลอดจนแผนการขยายตลาด การออกสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม และแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวภายหลังจากสถานการณ์โรคโควิด 19 นั้นน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถรักษาผลการดำเนินงานที่มีความมั่นคงต่อไปได้ในช่วงเวลา 2-3 ปีข้างหน้า
ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่า รายได้จากการดำเนินงานของบริษัทจะเติบโตที่ระดับ 8.4-9.7 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566 อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับประมาณ 5.2%-6.6% และกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับ 4.4-6.4 พันล้านบาทในช่วงเวลาเดียวกัน
ภาระหนี้จะยังคงอยู่ในระดับสูงจากแผนการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นและการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานส่งผลให้ความต้องการเงินทุนหมุนเวียนและระดับหนี้ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นในปี 2564 โดยระดับหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.8 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 จาก 2.3 หมื่นล้านบาทในปี 2563
ทริสเรทติ้ง คาดว่า ระดับหนี้สินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากบริษัทมีการวางแผนงบประมาณสำหรับการลงทุนไว้ที่จำนวน 5-6 พันล้านบาทต่อปีเพื่อให้เป็นไปตามแผนกลยุทธ์การเติบโต โดยทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 60%-61% ในช่วงปี 2564-2566 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจะอยู่ที่ระดับ 4.2-5.7 เท่า
เป็นผู้นำในธุรกิจภาคเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของไทย
บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจภาคเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของไทยมานานกว่า 50 ปี โดยบริษัทเป็นผู้แปรรูปไก่รายใหญ่ลำดับที่ 3 ในตลาดภายในประเทศโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 11% ในปี 2563 (อันดับที่ 1 คือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (21%) และอันดับที่ 2 คือ บริษัท สหฟาร์ม จำกัด (13%))
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออกไทยระบุว่าส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดไก่ส่งออกของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 7% ในปี 2563 นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้ผลิตเนื้อสุกรคุณภาพสูงระดับแนวหน้าในประเทศไทยอีกด้วยโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ระดับ 10% ของการผลิตเนื้อสุกรภายในประเทศ
บริษัทดำเนินธุรกิจไก่และสุกรแบบครบวงจรอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่การผลิตอาหารสัตว์ไปจนถึงการขยายพันธุ์ การเลี้ยง และการแปรรูป ทั้งนี้บริษัทดำเนินกิจการทั้งการเลี้ยงสัตว์บกในฟาร์มของบริษัทเองและผ่านวิธีการเกษตรแบบพันธะสัญญา ซึ่งการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรดังกล่าวทำให้บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพและต้นทุนในการผลิตได้
บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายซึ่งครอบคลุมทั้งอาหารสัตว์ ไก่ สุกร และผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งความหลากหลายดังกล่าวช่วยลดความเสี่ยงในการดำเนินงานของบริษัทลงได้บางส่วน ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจอาหารสัตว์และฟาร์ม รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารคิดเป็นสัดส่วน 28% 58% และ 12% ของยอดขายรวมตามลำดับ
มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มและมีตราสินค้า
กลยุทธ์สำคัญของบริษัทคือการมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม และมีตราสินค้าของบริษัทเองซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มผลกำไรและลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์จากฟาร์มซึ่งมีลักษณะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ได้บางส่วน
บริษัทมีกลยุทธ์ที่จะยกระดับผลิตภัณฑ์ที่เป็นเพียงสินค้าจากปศุสัตว์สู่การเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังได้ตั้งศูนย์นวัตกรรมอาหารขึ้นเพื่อดำเนินงานด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 บริษัทมียอดขายผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าเพิ่มคิดเป็นสัดส่วน 12% ของยอดขายรวม ทั้งนี้ บริษัทมีแผนในการออกผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มใหม่ๆ ให้มากขึ้นในอนาคต
ความพยายามในการส่งเสริมการขายเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่มีตราสินค้าของบริษัท ความตระหนักในตราสินค้าสร้างความได้เปรียบให้แก่บริษัทเนื่องจากลูกค้ามักจะเลือกตราสินค้าที่ไว้วางใจได้ สำหรับตลาดภายในประเทศนั้นบริษัทมีตราสินค้า 2 ตราคือ ‘เอสเพียว’ (S-Pure) และ’เบทาโกร’ (Betagro) โดยเอสเพียวเป็นตราสินค้าสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ในขณะที่เบทาโกรเป็นตราสินค้าสำหรับผลิตภัณฑ์มาตรฐาน
มีสภาพคล่องที่เพียงพอ
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า บริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยในช่วงดังกล่าวบริษัทมีความต้องการเงินทุนสำหรับใช้ชำระหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนจำนวน 3 พันล้านบาทและใช้เป็นงบเพื่อการลงทุนอีกจำนวน 3 พันล้านบาท ส่วนแหล่งเงินทุนในเบื้องต้นนั้นคาดว่าจะมาจากเงินทุนจากการดำเนินงานจำนวน 3.7-5.2 พันล้านบาทต่อปี ในขณะที่สภาพคล่องนั้นมาจากเงินสดสำรองจำนวน 0.5 พันล้านบาทที่มี ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 รวมทั้งวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากสถาบันการเงินหลายแห่งอีกประมาณ 3.4 หมื่นล้านบาท
ตามข้อกำหนดทางการเงินของตราสารหนี้ที่ระบุให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนให้ต่ำกว่า 2 เท่านั้น ณ เดือนกันยายน 2564 บริษัทมีอัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.7 เท่า ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทน่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินดังกล่าวได้ตลอดช่วงระยะเวลาประมาณการระหว่างปี 2564-2566
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- รายได้จากการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้น 4%-8% ในระหว่างปี 2564-2566
- อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ในช่วงระหว่าง 14%-15% ในขณะที่อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะทรงตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 5.2%-6.6%
- ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ระดับ 2.4 พันล้านบาทในปี 2564 และ 5-6 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2566
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนมุมมองของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจภาคเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของไทยเอาไว้ได้ต่อไป ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการลงทุนจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันตลอดจนสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทได้ในอนาคตอันใกล้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถปรับปรุงผลการดำเนินงาน ตลอดจนกระแสเงินสด และความสามารถในการชำระหนี้ให้ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากบริษัทมีการลงทุนโดยใช้เงินกู้จำนวนมากจนอาจทำให้งบการเงินและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) (BTG)
อันดับเครดิตองค์กร: |
A- |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
BTG227A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 |
A- |
BTG233A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
A- |
BTG238A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
A- |
BTG247A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
A- |
BTG248A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
A- |
BTG258A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
A- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
|