WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

TRIS7 14ทริสเรทติ้ง ลดอันดับเครดิตองค์กร ‘บ.ไทยโพลีคอนส์’ เป็น ‘BBB-‘ จาก ‘BBB’ แนวโน้ม ‘Stable’

      ทริสเรทติ้ง ปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) มาอยู่ที่ระดับ ‘BBB-‘ จากระดับ ‘BBB’ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยการปรับลดอันดับเครดิตดังกล่าวเกิดจากกำไรที่ลดลงอย่างมากรวมถึงสถานะทางการเงินที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญของบริษัทซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอของธุรกิจก่อสร้าง

       อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและกระแสเงินสดที่มั่นคงของธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัท ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากความเป็นวงจรขึ้นลงของธุรกิจก่อสร้างลงได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตลดทอนลงจากความไม่แน่นอนของปริมาณและความผันผวนของราคาวัตถุดิบเชื้อเพลิงที่ใช้ป้อนโรงไฟฟ้าชีวมวล ตลอดจนความท้าทายที่เพิ่มสูงขึ้นในธุรกิจผลิตไฟฟ้า นอกจากนี้ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความสามารถในการแข่งขันที่ไม่สูงนักของบริษัทและการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจก่อสร้างด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ผลการดำเนินงานที่อ่อนแอของธุรกิจก่อสร้าง

      แม้ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะเป็นศูนย์กลางกำไรของบริษัท แต่ธุรกิจก่อสร้างก็ยังสร้างรายได้ประมาณครึ่งหนึ่งของรายได้ของบริษัท ผลการดำเนินงานในภาพรวมของบริษัทจึงยังคงได้รับอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญจากธุรกิจก่อสร้างซึ่งมีอัตรากำไรต่ำ ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 บริษัทมีกำไรลดลงจากผลการดำเนินงานของธุรกิจก่อสร้างที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้มาก

      โดยอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจก่อสร้างลดต่ำลงจนติดลบ 12% เมื่อเทียบกับที่เคยกำไรในระดับ 6%-12% ในอดีต บริษัทประสบปัญหาต้นทุนก่อสร้างสูงกว่าที่คาดในบางโครงการซึ่งเกิดมาจากหลากหลายปัญหา เช่น ราคาเหล็กปรับขึ้นอย่างมาก ผู้รับเหมาช่วงที่บริษัทจ้างมีผลงานที่ไม่ดีนัก และอุปสรรคในการทำงานที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) นอกจากนั้น บริษัทยังเข้าร่วมประมูลงานที่มีการแข่งขันสูงในหลายโครงการอีกด้วย

       ในอนาคต ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจก่อสร้างจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นจากการที่บริษัทสามารถปรับแก้งานที่ผู้รับเหมาช่วงทำไว้ก่อนหน้าได้ รวมถึงการขยายไปสู่งานประเภทที่มีการแข่งขันน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจก่อสร้างจะยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 5%

       โดยอัตรากำไรที่ค่อนข้างบางของงานก่อสร้างที่รอรับรู้รายได้ประกอบกับสภาวะการแข่งขันที่เข้มข้นจะยังคงกดดันผลการดำเนินงานของธุรกิจก่อสร้าง และเมื่อรวมธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่มีกำไรสูง อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทน่าจะอยู่ระหว่าง 10%-20% ในช่วงปี 2564-2566 ลดลงจากระดับที่มากกว่า 20% ในอดีต

ธุรกิจก่อสร้างมีความสามารถในการแข่งขันไม่สูงนัก

      อันดับเครดิตสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันที่ไม่สูงนักของบริษัทในธุรกิจก่อสร้างภายในประเทศ โดยธุรกิจดังกล่าวมีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับผู้รับเหมาก่อสร้างรายอื่นที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตโดยทริสเรทติ้ง มูลค่าสัญญาก่อสร้างของบริษัทอยู่ในระดับไม่เกิน 1 พันล้านบาทต่อสัญญาในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่รายได้จากการก่อสร้างนั้นอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้านบาทต่อปี บริษัทมีขอบเขตงานก่อสร้างที่จำกัดโดยเน้นเฉพาะงานก่อสร้างอาคาร เช่น โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย โรงแรม และศูนย์การค้า

     ทริสเรทติ้ง ยังคงมีมุมมองในด้านบวกต่อธุรกิจก่อสร้างภายในประเทศในระยะปานกลางเมื่อพิจารณาถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของภาครัฐในการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยทริสเรทติ้งมองว่าการใช้จ่ายโดยรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจจะยังคงมีบทบาทสำคัญต่อการฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งนี้ การก่อสร้างภาครัฐน่าจะมีแนวโน้มที่สดใสกว่าการก่อสร้างภาคเอกชน

       อย่างไรก็ตาม ความล่าช้าอย่างต่อเนื่องของการเปิดประมูลโครงการภาครัฐและการแข่งขันที่เข้มข้นระหว่างผู้รับเหมาด้วยกันนั้นยังคงมีอยู่ โดยโครงการส่วนใหญ่จำเป็นต้องประมูลแข่งขันกันซึ่งจะจำกัดอัตรากำไรของผู้รับเหมา นอกจากนี้ การแพร่ระบาดระลอกใหม่ก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการก่อสร้างอีกด้วย บริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายงานไปสู่งานก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีผลงานที่จำกัดในด้านงานก่อสร้างประเภทนี้และยังต้องแข่งขันกับผู้รับเหมาอีกเป็นจำนวนมากด้วย

กระแสเงินสดที่มั่นคงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้า

     อันดับเครดิตของบริษัทขึ้นอยู่กับกระแสเงินสดที่มั่นคงอย่างมากของธุรกิจผลิตไฟฟ้าเป็นสำคัญ โดยธุรกิจผลิตไฟฟ้าน่าจะยังคงสร้างกำไรในสัดส่วนมากกว่า 90% ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัท ทั้งนี้ กระแสเงินสดที่มั่นคงที่เกิดจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับผู้ผลิตและผู้จ่ายกระแสไฟฟ้าที่เป็นหน่วยงานภาครัฐนั้นช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของกำไรของธุรกิจก่อสร้างได้เป็นอย่างมาก

      ธุรกิจผลิตไฟฟ้าบริหารงานโดย บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยหลักที่สร้างกำไรให้แก่บริษัท ปัจจุบันบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง มีโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ดำเนินการแล้วจำนวน 10 แห่ง โดยมีกำลังการผลิตรวมตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอยู่ที่ 98.5 เมกะวัตต์ และปัจจุบันกำลังทำการเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้นเพื่อขยายขนาดของธุรกิจผลิตไฟฟ้า

       ในการนี้ บริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จะเพิ่มกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอีกจำนวน 13.7 เมกะวัตต์จากโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ที่อยู่ในแผน ซึ่งประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล 2 แห่ง (5.7 เมกะวัตต์) และโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะ 1 แห่ง (8 เมกะวัตต์) โดยทุกโครงการดังกล่าวประสบปัญหาการก่อสร้างล่าช้าจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 แต่งบลงทุนยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม

      โครงการเหล่านี้มีแผนจะเปิดดำเนินการภายใน 1 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 112.2 เมกะวัตต์ นอกเหนือจากกำลังการผลิตที่จะเพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ภายใต้แผนของบริษัทแล้ว ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตใหม่อีกจำนวน 6 เมกะวัตต์ในช่วงประมาณการอีกด้วย

ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของโรงไฟฟ้า

       โรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของโรงไฟฟ้าทุกแห่งรวมกันทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 40%-50% ยกเว้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2564

      ทั้งนี้ บริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง ประสบปัญหาการดำเนินการที่ไม่ราบรื่นของโรงไฟฟ้าใหม่ในช่วงเริ่มต้นโดยมีสาเหตุมาจากความยากลำบากในการบริหารจัดการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จะสามารถปรับปรุงการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าใหม่ดังกล่าวให้นำมาซึ่งกระแสเงินสดที่มีความมั่นคงและมีจำนวนมากพอที่จะชดเชยกับธุรกิจก่อสร้างที่อ่อนแอ

การเติบโตขับเคลื่อนโดยธุรกิจผลิตไฟฟ้า

        ทริสเรทติ้ง คาดว่า ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะยังคงขับเคลื่อนการเติบโตให้แก่บริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยทริสเรทติ้งมีสมมติฐานประมาณการพื้นฐานว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับ 5.7 พันล้านบาทในปี 2566 จาก 4.4 พันล้านบาทในปี 2564 โดยรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.6 พันล้านบาทในปี 2566 จาก 2.7 พันล้านบาทในปี 2564

       ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากธุรกิจก่อสร้างของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 1.7-2.1 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566 โดยอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่าบริษัทจะได้รับงานก่อสร้างมูลค่าปีละ 1-1.5 พันล้านบาท ทั้งนี้ ณ เดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีงานที่รอรับรู้รายได้มูลค่า 2.7 พันล้านบาทซึ่งจะช่วยประกันรายได้ในช่วงปีประมาณการได้ส่วนหนึ่ง

      ทริสเรทติ้ง ยังคาดการณ์ด้วยว่า รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 ล้านบาทต่อปีในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยบริษัทมีจำนวนสินค้าที่อยู่อาศัยเหลือขายอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2564 ทริสเรทติ้งไม่คิดว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มตลาดที่ค่อนข้างอ่อนแอ บริษัทวางแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2565 แต่แผนการเปิดตัวจะขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด

      ในภาพรวมนั้น ทริสเรทติ้ง คาดว่า อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทจะอยู่ในช่วง 10%-20% ในช่วงปี 2564-2566 ซึ่งจะทำให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายน่าจะอยู่ที่ระดับ 0.5-1.1 พันล้านบาทต่อปีและเงินทุนจากการดำเนินงานน่าจะอยู่ที่ระดับ 300-800 ล้านบาทต่อปี

ความเสี่ยงจากปริมาณและราคาของวัตถุดิบเชื้อเพลิง

        บริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง ยังคงต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากขาดแคลนวัตถุดิบและความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงชีวมวล โดยวัตถุดิบหลักของโรงไฟฟ้าชีวมวลนั้นได้มาจากเศษวัสดุทางการเกษตรที่เหลือทิ้ง เช่น ไม้สับ แกลบ กะลามะพร้าว และพืชอื่นๆ ที่เติบโตเร็ว ความเพียงพอของปริมาณวัตถุดิบนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ฤดูกาล การใช้ชีวมวลในอุตสาหกรรมอื่น

        และการเพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าชีวมวล ผู้ผลิตไฟฟ้าชีวมวลที่ไม่มีวัสดุเหลือทิ้งจากไร่นาเป็นของตนเองจำเป็นจะต้องแย่งชิงวัตถุดิบเชื้อเพลิงกับผู้ประกอบการรายอื่น นอกจากนี้ ราคาของวัตถุดิบเชื้อเพลิงชีวมวลนั้นยังเคลื่อนไหวขึ้นและลงได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังแปรเปลี่ยนไปตามความชื้นและค่าความร้อนอีกด้วย

      บริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง ได้จัดจ้างผู้รับเหมาเพื่อให้บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษา แต่จะเป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารจัดการวัตถุดิบของโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่เอง ส่งผลให้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านวัตถุดิบ เนื่องจากบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง ไม่มีวัสดุเหลือทิ้งจากไร่นาเป็นของตนเอง บริษัทได้ทำสัญญาซื้อขายวัตถุดิบระยะยาวกับผู้จำหน่ายท้องถิ่นเพื่อให้มั่นใจว่าจะมีวัตถุดิบที่เพียงพอ

       อย่างไรก็ตาม การบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญายังเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ บริษัทจึงลดความเสี่ยงดังกล่าวด้วยการให้ผู้จำหน่ายวัตถุดิบเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในโครงการของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังได้พัฒนาปลูกพืชที่ใช้เป็นวัตถุดิบเชื้อเพลิงของตนเองอีกด้วย

ตลาดไฟฟ้ามีความท้าทายมากขึ้น

          ทริสเรทติ้ง ยังคงมีมุมมองว่าการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนภายในประเทศมีความท้าทายเพิ่มมากขึ้นเมื่อพิจารณาจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่ลดลงและการประมูลแข่งขันที่รุนแรง การประมูลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนที่เพิ่งแล้วเสร็จไปมีการแข่งขันที่รุนแรงโดยมีราคารับซื้อไฟฟ้าเฉลี่ยสำหรับเชื้อเพลิงชีวมวลที่ 2.7972 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง

        นอกจากนี้ กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศที่อยู่ในระดับสูงและความต้องการไฟฟ้าที่ลดลงจากผลกระทบของโรคโควิด 19 ยังเป็นปัจจัยด้านลบต่อการเติบโตของธุรกิจไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ จึงเป็นไปได้ยาก ดังนั้นแนวโน้มของอุตสาหกรรมจึงน่าจะเป็นการควบรวมกิจการหรือการขายกิจการโครงการโรงไฟฟ้าที่มีอยู่

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จะมีอัตรากำไรลดลงในระยะยาว โดยโรงไฟฟ้าบางแห่งของบริษัทประกอบด้วย TPCH 1 TPCH 2 และ TPCH 5 นั้นอยู่ภายใต้ระบบการประมูลแข่งขันซึ่งทำให้ราคาจำหน่ายไฟฟ้าลดต่ำลง บริษัทจึงจำเป็นจะต้องเพิ่มความรัดกุมในการควบคุมต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้ การลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ทั้งที่ต้องเริ่มใหม่ (Green-field Projects) หรือโครงการที่มีอยู่แล้ว (Brown-field Projects) อาจให้ผลตอบแทนลดต่ำลงอันเนื่องมาจากราคาจำหน่ายไฟฟ้าที่ต่ำหรือต้นทุนในการซื้อโครงการที่สูง

สถานะทางการเงินอ่อนแอลง

       บริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง ให้การค้ำประกันหนี้ของกิจการร่วมค้าตามสัดส่วนการถือหุ้นในกิจการร่วมค้านั้นๆ ดังนั้น ในการพิจารณาสถานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท ทริสเรทติ้งจึงได้รวมเอาสินทรัพย์ หนี้สิน และผลการดำเนินงานของกิจการร่วมค้าเข้ามารวมกับงบการเงินรวมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง ในกิจการร่วมค้าแต่ละแห่งด้วย

       เมื่อเทียบกับคาดการณ์ก่อนหน้าของทริสเรทติ้ง สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมากจากระดับการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้นและกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับภาระหนี้สินที่ลดลง ในอนาคตทริสเรทติ้งไม่คิดว่าบริษัทจะขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้ามากจนเกินไป ดังนั้นกระแสเงินสดจากโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วจะใช้สนับสนุนการขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติมได้

     ทริสเรทติ้ง ยังคาดว่า บริษัทจะบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนสำหรับธุรกิจก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มขึ้นของระดับการก่อหนี้ โดยคาดว่าเงินลงทุนต่อปีน่าจะอยู่ที่ 1-1.6 พันล้านบาทในช่วงปี 2564-2566

       จากสมมติฐานพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ประมาณ 10 เท่าในปี 2564 จาก 6.7 เท่าในปี 2563 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินน่าจะลดลงเหลือเพียง 5.5% ในปี 2564 จาก 12.5% ในปีก่อนหน้า

       หลังจากนั้นแล้วอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายน่าจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 6 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินน่าจะปรับตัวดีขึ้นเป็น 11%-12% ได้ในช่วงปี 2565-2566 ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นและทรงตัวอยู่ในระดับประมาณ 60% ในช่วงปี 2564-2566 จาก 51% ในปี 2563

โครงสร้างหนี้

        ในการวิเคราะห์ระดับหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) ทริสเรทติ้งไม่ได้รวมหนี้ของกิจการร่วมค้าที่บริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง ให้การค้ำประกัน ทั้งนี้ หนี้เงินกู้รวมของบริษัทมีจำนวนทั้งสิ้น 4.6 พันล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2564 ซึ่งเกือบทั้งหมดถือเป็นหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน ประกอบด้วยหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทและหนี้ทั้งหมดของบริษัทย่อย

       ทำให้อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 99% ซึ่งส่งผลให้เจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันมีความด้อยสิทธิ์กว่าเจ้าหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาจากสิทธิ์เรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัท

สภาพคล่องสามารถจัดการได้ 

         บริษัทมีหนี้ระยะสั้นและหนี้ระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้ารวมกันทั้งสิ้นจำนวน 1.6 พันล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2564 โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถจัดการหนี้ระยะสั้นซึ่งใช้สำหรับกิจกรรมก่อสร้างเป็นหลักได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ บริษัทมีวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้รวมทั้งเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาดรวมกันจำนวน 468 ล้านบาท เงินทุนจากการดำเนินงานคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท ขณะที่บริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง เพิ่งออกหุ้นกู้ชุดใหม่มูลค่า 1.5 พันล้านบาทในเดือนกันยายน 2564 ทริสเรทติ้งจึงเชื่อว่าสภาพคล่องของบริษัทน่าจะบริหารจัดการได้

      บริษัทไม่มีข้อกำหนดทางการเงินสำหรับวงเงินกู้ที่มีกับธนาคาร อย่างไรก็ตาม บริษัทย่อยและกิจการร่วมค้าของบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง มีข้อกำหนดในการดำรงอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ไว้ไม่น้อยกว่า 1.1 เท่าหรือ 1.2 เท่าและต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ไม่เกิน 1.2 เท่า 1.5 เท่า หรือ 2.5 เท่า

      นอกจากนี้ หุ้นกู้ชุดใหม่ของบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง ยังมีข้อกำหนดในการดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อทุนไม่เกิน 2.5 เท่าอีกด้วย ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง รวมถึงบริษัทย่อยและกิจการร่วมค้าของบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าวตลอดช่วง 12 ถึง 18 เดือนข้างหน้าได้ 

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

  • กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญาของโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการแล้วของบริษัททีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จะเพิ่มขึ้นเป็น 118 เมกะวัตต์ในอีก 3 ปีข้างหน้า
  • มูลค่าสัญญางานก่อสร้างใหม่จะอยู่ที่ 1-1.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2564-2566
  • อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจก่อสร้างจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 5%
  • อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะอยู่ในช่วง 10%-20%
  • เงินลงทุนรวมจะอยู่ในช่วง 1-1.6 พันล้านบาทต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต

      แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่า ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจะยังคงเป็นธุรกิจหลักที่สร้างกระแสเงินสด รวมถึงสามารถฟื้นตัวและสร้างกระแสเงินสดจำนวนมากให้แก่บริษัทได้ตามที่วางแผนไว้ นอกจากนี้ บริษัทน่าจะสามารถเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจก่อสร้างและบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีระดับการก่อหนี้และกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับภาระหนี้สินอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับประมาณการของทริสเรทติ้ง

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

       การปรับเพิ่มอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของธุรกิจก่อสร้างและ/หรือธุรกิจผลิตไฟฟ้าปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของธุรกิจก่อสร้างและ/หรือธุรกิจผลิตไฟฟ้าต่ำกว่าประมาณการเป็นอย่างมาก หรือโครงสร้างเงินทุนของบริษัทด้อยลงจากการลงทุนด้วยการก่อหนี้จำนวนมาก

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 13 มกราคม 2564

- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป,  26 กรกฎาคม 2562

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561

บริษัท ไทยโพลีคอนส์  จำกัด (TPOLY)

อันดับเครดิตองค์กร:

BBB-

แนวโน้มอันดับเครดิต:

Stable

 

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com  

ติดต่อ [email protected]  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500

     © บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2564 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง

      ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

COREHOON

******************************************

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

 

EXIM One 720x90 C J

BITKUB Ad

SAM720x100px bgGC 790x90

smed banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!