- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Saturday, 25 September 2021 21:52
- Hits: 18131
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ‘บ.อินโดรามาเวนเจอร์ส’ ที่ ‘AA-‘
หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ที่ ‘A’ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 6 พันล้านบาท และหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม 4 พันล้านบาท ที่ ‘AA-‘
และเปลี่ยนแนวโน้ม เป็น ‘Stable’ จาก ‘Negative’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท อินโดรามาเวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘AA-‘ และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนของบริษัทที่ระดับ ‘A’ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6 พันล้านบาทและหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe) ในวงเงินไม่เกิน 4 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ ‘AA-‘ ด้วย ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ จาก ‘Negative’ หรือ ‘ลบ’ อีกด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอนุพันธ์ (Petrochemicals and Derivatives Industry) ตลอดจนผลการดำเนินงานและความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นของบริษัท
ในขณะที่อันดับเครดิต ‘AA-‘ ยังคงสะท้อนถึงสถานะผู้นำในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ของบริษัท ตลอดจนความได้เปรียบในการแข่งขันจากการมีระบบการผลิตที่ครบวงจร (Vertical Integration) การมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมทั้งการมีฐานการผลิตและฐานลูกค้าที่กระจายตัวอยู่ใน 6 ทวีปทั่วโลก นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความสามารถและประสบการณ์ของคณะผู้บริหารของบริษัท รวมทั้งการที่บริษัทสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีสำคัญในอุตสาหกรรมอีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีด้วยเช่นกัน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ผลการดำเนินงานดีขึ้นในปี 2564
ผลการดำเนินงานของบริษัทฟื้นตัวอย่างมากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 โดยอุปสงค์ด้านผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีทุกประเภทที่ฟื้นตัวอย่างมากนั้นเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วผนวกกับการขาดแคลนวัตถุดิบและข้อจำกัดในการขนส่ง บริษัทได้รับประโยชน์จากกลยุทธ์การกระจายการผลิตในหลายภูมิภาค ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถจัดหาสินค้าให้แก่ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องในแต่ละภูมิภาค ความไม่สมดุลของอุปทานและอุปสงค์ดังกล่าวทำให้กำไรของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากและสร้างประโยชน์ให้แก่ธุรกิจทุกประเภทของบริษัท
นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจออกไซด์บูรณาการและอนุพันธ์ (Integrated Oxide and Derivative Products -- IOD ) ของบริษัทก็เริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจากกิจการของ Spindletop ที่บริษัทซื้อมาเมื่อเดือนมกราคม 2563 นั้นเพิ่มขึ้นเป็น 124 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 จาก 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 จากสาเหตุหลัก คืออุปสงค์ที่แข็งแกร่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ขั้นปลาย (Downstream) เช่น สารลดแรงตึงผิว ซึ่งใช้ในผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว (Personal Care Product) ตลอดจนผลิตภัณฑ์ดูแลบ้าน (Home Care Product) ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร (Crop Solutions) และผลิตภัณฑ์เพื่อการขุดเจาะน้ำมัน (Oilfield Products) นอกจากนี้ การกลับมาบริโภคน้ำมันเบนซินตามปกติหลังจากการผ่อนปรนมาตรการปิดเมือง (Lockdown) ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ยังช่วยเพิ่มอุปสงค์ของสาร MTBE (Methyl Tertiary Butyl Ether) ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักของ Spindletop
สำหรับ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทเพิ่มขึ้นถึง 157% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มเป็น 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งรวมกำไรจากสินค้าคงคลังจำนวน 6 พันล้านบาทด้วย การบริหารเงินทุนหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้บริษัทสามารถดำรงหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วให้อยู่ที่ประมาณ 2.2 แสนล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2564 ในขณะที่ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.7 เท่า (ปรับปรุงเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) ณ เดือนมิถุนายน 2564 จากระดับ 7.5 เท่า ณ เดือนธันวาคม 2563
ทริสเรทติ้ง ประมาณการว่า อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับราวๆ 3.5-4 เท่า ณ สิ้นปี 2564 ซึ่งเป็นระดับที่ดีกว่าที่ทริสเรทติ้งเคยประมาณการไว้ที่ 4-5 เท่าในช่วงปี 2564-2565 อย่างมีนัยสำคัญ
ซื้อกิจการ Oxiteno เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มธุรกิจ IOD
ในเดือนสิงหาคม 2564 บริษัทได้ประกาศว่าจะซื้อกิจการ Oxiteno ซึ่งเป็นผู้ผลิตสารลดแรงตึงผิวและเคมีภัณฑ์ระดับโลกสัญชาติบราซิลด้วยมูลค่า 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย Oxiteno จะเพิ่มกำลังการผลิตในกลุ่มธุรกิจ IOD 1.5 ล้านตันต่อปีให้แก่บริษัทซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 19 ล้านตันต่อปี ในการนี้ บริษัทคาดว่าธุรกรรมการซื้อกิจการ Oxiteno จะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 ซึ่งบริษัทจะต้องชำระเงินจำนวน 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ วันที่ธุรกรรมแล้วเสร็จและจะต้องชำระส่วนที่เหลืออีก 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2567
ทริสเรทติ้ง มองว่า การซื้อกิจการ Oxiteno จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจของบริษัทโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจในกลุ่ม IOD โดยผลิตภัณฑ์ของ Oxiteno นั้นมุ่งเน้นที่กลุ่มเคมีภัณฑ์ขั้นปลายซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าปัจจุบันของบริษัทและยังช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงตลาดในกลุ่มประเทศอเมริกาใต้ได้อีกด้วย ในปี 2563 Oxiteno มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 187 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
บริษัทคาดว่า กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของ Oxiteno จะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 290 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2566 โดยการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการตลาดของกลุ่มธุรกิจ IOD ของบริษัทเพื่อช่วยเพิ่มยอดขายรวมถึงการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานระหว่างกลุ่มธุรกิจเพื่อช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน
ภายใต้ประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่า Oxiteno จะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้แก่บริษัทที่ประมาณ 140-190 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงปี 2565-2567 โดยทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ในระดับเกินกว่า 4 เท่าในปี 2565 ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้นเป็น 3-4 เท่าในปีถัด ๆ ไป
ธุรกิจมีขนาดใหญ่และมีความหลากหลาย
บริษัทเป็นผู้ผลิตพลาสติก PET (Polyethylene Terephthalate) แบบบูรณาการ (Combined PET) รายใหญ่ที่สุดในโลก โดย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้นที่ประมาณ 17.2 ล้านตันต่อปี ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจ Combined PET 72% ธุรกิจ IOD 15% และธุรกิจเส้นใยและด้าย 12% บริษัทมีกลยุทธ์ที่จะขยายกำลังการผลิตในธุรกิจห่วงโซ่โพลีเอสเตอร์ตั้งแต่วัตถุดิบตั้งต้น (ได้แก่ Paraxylene – PX หรือ Purified Terphthalic Acid -- PTA และ Monoethylene Glycol -- MEG) ไปจนถึงผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ (ได้แก่ พลาสติก PET รวมถึงเส้นใยและด้าย เคมีภัณฑ์อื่นๆ และบรรจุภัณฑ์)
ทั้งนี้ หลังจากที่ซื้อกิจการของ Spindletop ในช่วงต้นปี 2563 แล้ว ธุรกิจ IOD ของบริษัทก็ขยายจากการผลิตแค่เพียง MEG และ Purified ethylene oxide (PEO) ไปจนถึงเคมีภัณฑ์อนุพันธ์ขั้นปลาย บริษัทได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ผลิตภัณฑ์ขั้นปลายในกลุ่มธุรกิจ IOD ด้วยการซื้อกิจการของ Oxiteno ซึ่งคาดว่าจะรวมกิจการเข้ามาในกลุ่มบริษัทได้ภายในไตรมาสที่ 1 ของปี 2565 การเป็นผู้ผลิตแบบบูรณาการทำให้บริษัทอยู่ในสถานะที่มีข้อได้เปรียบหลายประการไม่ว่าจะเป็นการมีต้นทุนที่แข่งขันได้ การมีประสิทธิภาพในการผลิต รวมถึงการมีฐานการผลิตในหลากหลายภูมิภาคและการเข้าถึงตลาดที่กว้างขวางยิ่งขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีฐานการผลิตอยู่ใน 33 ประเทศซึ่งครอบคลุม 6 ทวีป ได้แก่ ทวีปเอเชีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป อาฟริกา และออสเตรเลีย
แสวงหาความยั่งยืน
เนื่องจากความยั่งยืนเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของบริษัทในขณะที่พลาสติก PET สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ (รีไซเคิล) ได้เต็ม 100% บริษัทจึงมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยการผลิตพลาสติกครบวงจรแบบยั่งยืน โดยบริษัทได้เข้าสู่ธุรกิจรีไซเคิลมาตั้งแต่ปี 2554 เมื่อครั้งที่บริษัทซื้อกิจการของ Wellman International (Wellman) ในทวีปยุโรป นับจากนั้นมาบริษัทก็ได้ดำเนินการรีไซเคิลขวด PET รวมถึงการผลิตเกล็ด PET รีไซเคิลเพื่อนำไปใช้ในการผลิตเส้นใยและแผ่นพลาสติก รวมถึงยังออกผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมาย
นอกจากนี้ บริษัทยังได้นำองค์ความรู้จาก Wellman มาใช้ในการขยายกำลังการผลิตที่โรงงานของบริษัทในประเทศเม็กซิโก สหรัฐฯ และไทยด้วย ปัจจุบันบริษัทสามารถนำเกล็ด PET รีไซเคิลมาใช้ในกระบวนการ Virgin Polymerization ได้สูงสุดถึง 30% ตามความต้องการของลูกค้า ในการนี้ บริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิต PET รีไซเคิลให้ได้ถึง 750,000 ตันต่อปีภายในปี 2568 จากประมาณ 330,000 ตันต่อปี ณ เดือนมิถุนายน 2564
มุ่งเน้นการปรับปรุงคุณภาพในการทำกำไรให้มากขึ้น
บริษัทได้ดำเนินตามกลยุทธ์การปรับปรุงคุณภาพในการทำกำไรจากสินทรัพย์หลังจากที่บริษัทได้ซื้อกิจการจำนวนมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยกลยุทธ์ดังกล่าวมุ่งเน้นที่จะเพิ่มการใช้กำลังการผลิตและเพิ่มเสถียรภาพในการผลิตของแต่ละโรงงาน ตลอดจนการบริหารจัดการระดับสินค้าคงคลังให้เหมาะสมโดยผ่านการบริหารห่วงโซ่อุปทานไปจนถึงการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รวมถึงใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการตลาดที่มีอยู่ทั่วโลกในการจัดจำหน่าย
ในการนี้ บริษัทมีแผนจะใช้งบลงทุนประมาณ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ เพื่อดำเนินการตามกลยุทธ์ดังกล่าว (โครงการ Olympus) ในระหว่างปี 2563-2566 โดยบริษัทคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนกลับมาที่ประมาณ 610 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีภายในปี 2566 ซึ่งในปี 2563 นั้น บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 92 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากโครงการนี้
กระแสเงินสดจะเพิ่มขึ้นในปี 2565-2566
ทริสเรทติ้ง ประมาณการว่า บริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 5.4-5.6 หมื่นล้านบาทในปี 2564 จากประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาทในปี 2563 ซึ่งสะท้อนถึงกำไรของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Combined PET ที่อยู่ในระดับสูงและกำไรจากสินค้าคงคลังในช่วงครึ่งแรกของปี 2564
ทริสเรทติ้ง มองว่า ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับลดลงกลับคืนสู่ระดับปกติตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2564 เป็นต้นไปซึ่งจะทำให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายหลักต่อตันของการผลิตโดยรวมของบริษัทลดลงมาอยู่ในช่วงประมาณ 106-111 ดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับปี 2564 จาก 116 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะไม่มีผลขาดทุนจากสินค้าคงคลังในช่วงครึ่งหลังของปี 2564
ดังนั้น อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจึงคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับราว ๆ 3.5-4 เท่าภายในสิ้นปี 2564
สำหรับ ในระหว่างปี 2565-2566 นั้น ทริสเรทติ้งเชื่อว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายหลักต่อตันของบริษัทจะลดลงจากระดับที่สูงในปัจจุบัน แต่บริษัทจะได้รับประโยชน์จากการรวมกิจการของ Oxiteno เข้ามาในปี 2565 ทั้งนี้ การรวมกิจการดังกล่าวคาดว่าจะเพิ่มกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้แก่บริษัทที่ประมาณ 140-190 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี โดยทริสเรทติ้งคาดว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายหลักต่อตันของบริษัทจะอยู่ในช่วง 106-111 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรวมสินทรัพย์ของ Oxiteno แล้ว
ในขณะที่ผลผลิตของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 15-17 ล้านตันต่อปีในช่วงปี 2565-2566 จากประมาณ 15 ล้านตันในปี 2564 และเมื่อพิจารณาจากโครงการ Olympus แล้ว ทริสเรทติ้งมีมุมมองที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมว่าบริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้นประมาณ 250-350 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากโครงการนี้ในช่วงปี 2565-2566
ดังนั้น ทริสเรทติ้ง จึงคาดว่า บริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นที่ระดับ 5.8-6.4 หมื่นล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2565-2566 โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นชั่วคราวเกินกว่า 4 เท่าในปี 2565 ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 3-4 เท่าในปีถัดๆ ไป
มีสภาพคล่องที่เพียงพอ
ทริสเรทติ้ง มองว่า บริษัทมีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับการชำระหนี้เงินกู้ที่จะครบกำหนดในระยะ 12 เดือนข้างหน้าซึ่งบริษัทมีเงินกู้ยืมระยะยาวและหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระรวมทั้งสิ้นประมาณ 2 หมื่นล้านบาท บริษัทสามารถชำระคืนหนี้เงินกู้จำนวนนี้ได้โดยใช้เงินสดที่มีอยู่ในมือจำนวน 1.5 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 และเงินทุนจากการดำเนินงานในระยะ 12 เดือนข้างหน้าที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 6.1 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2564 ด้วย
โครงสร้างหนี้
ณ เดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีภาระหนี้รวมที่จำนวน 2.2 แสนล้านบาท (รวมหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน) โดยหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนของบริษัทประกอบด้วยหนี้ที่มีหลักประกันจำนวน 2 หมื่นล้านบาทและหนี้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันอีกจำนวน 5.9 หมื่นล้านบาทซึ่งเป็นหนี้ของบริษัทย่อยของบริษัท ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 36% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
- กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายหลักต่อตันจะอยู่ระหว่าง 106-111 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปี 2564-2566
- ผลประโยชน์ที่จะรับรู้จากโครงการ Olympus จะอยู่ที่ประมาณ 250-350 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปีในช่วงปี 2565-2566
- ผลผลิตรวมจะอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านตันในปี 2564 และจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 15-17 ล้านตันต่อปีในระหว่างปี 2565-2566
- เงินลงทุนซื้อกิจการของ Oxiteno ในไตรมาสที่หนึ่งของปี 2565 จะมีมูลค่าประมาณ 3.5-3.6 หมื่นล้านบาท
- งบลงทุนรวมจะอยู่ที่ประมาณ 8.4 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2564-2566
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถพลิกผลการดำเนินงานกลับมาได้อย่างมีนัยสำคัญในช่วงปี 2564-2565 ตามการฟื้นตัวที่เข้มแข็งของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทจากการกระจายธุรกิจและการบูรณาการ รวมถึงการเพิ่มผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงเข้ามาในผลิตภัณฑ์ของบริษัท คาดว่าจะช่วยให้บริษัทสามารถรับมือกับความผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและอนุพันธ์ไปได้ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะยังคงรักษาระดับอยู่ในช่วง 3-4 เท่าได้ในระยะปานกลาง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นนั้นยังมีจำกัดในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้าอันเนื่องมาจากการลงทุนขนาดใหญ่ที่จะเกิดขึ้น ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้อย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจเกิดจากการมีกำไรที่น้อยกว่าที่คาดไว้หรือการซื้อกิจการมูลค่าสูงด้วยการก่อหนี้ที่มากกว่าที่คาดการณ์
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid Securities), 28 มิถุนายน 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 26 กรกฎาคม 2562
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) (IVL)
อันดับเครดิตองค์กร: |
AA- |
|
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
||
IVL21OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 37 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 |
AA- |
|
IVL21OB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,163 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 |
AA- |
|
IVL21OC: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2564 |
AA- |
|
IVL224A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,250.5 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 |
AA- |
|
IVL224B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,649.5 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 |
AA- |
|
IVL225A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 |
AA- |
|
IVL22DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,645 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565 |
AA- |
|
IVL236A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
AA- |
|
IVL236B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
AA- |
|
IVL243A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
AA- |
|
IVL245A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
AA- |
|
IVL24NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
AA- |
|
IVL24DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,475 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
AA- |
|
IVL256A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
AA- |
|
IVL25NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
AA- |
|
IVL25DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,150 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
AA- |
|
IVL26OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
AA- |
|
IVL275A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
AA- |
|
IVL27NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
AA- |
|
IVL27NB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,990 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
AA- |
|
IVL286A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 |
AA- |
|
IVL28OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 |
AA- |
|
IVL295A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 |
AA- |
|
IVL306A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 |
AA- |
|
IVL30NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,010 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 |
AA- |
|
IVL31OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 |
AA- |
|
IVL32NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 |
AA- |
|
IVL336A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2576 |
AA- |
|
IVL19PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 15,000 ล้านบาท |
A |
|
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท และหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Greenshoe) ในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 12 ปี |
AA- |
|
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
|
|
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ