- Details
- Category: บริษัทจดทะเบียน
- Published: Tuesday, 24 August 2021 21:48
- Hits: 15157
PTTGC ไตรมาส 2/64 รายได้รวม 111,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% Stock Gain กำไรรวม 1,447 ล้านบาท
PTTGC คงเป้าหมายรายได้ปี 2564 เติบโต 8-10% จากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง-กำลังการผลิตใหม่เข้ามาเสริม พร้อมวางงบลงทุนปีนี้ 1.8 แสนล้าน ซื้อหุ้น allnex-ทำเทนเดอร์หุ้น VNT หนุนการเติบโตในอนาคต โควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาน้ำมัน และราคาผลิตภัณฑ์ต่างๆ มีความผันผวน
นางสาวภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) PTTGC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2/2564 บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) มีรายได้จากการขายรวม 111,793 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากไตรมาส 1/2564 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 61 จากไตรมาส 2/2563 ในขณะที่รายได้จากการขายรวม 6 เดือน ปรับเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน เป็นผลมาจากราคาขายของทุกผลิตภัณฑ์ที่ปรับขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟิ นส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง
รวมทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์และฟีนอล จากอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ตามสภาพเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น และราคาน้ามันดิบดูไบที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมทั้งบริษัทฯ มีปริมาณการขายในภาพรวมเมื่อเทียบครึ่งปีก่อนที่เพิ่มขึ้น จากการเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงงานใหม่ และแผนการปิดซ่อมบ ารุงตามแผนที่น้อยกว่า ทำให้บริษัทฯ มีกำไรจากการด าเนินงานปกติ (ไม่รวมผลกำไรจากสต๊อกน้ามันและการขาดทุนจากรายการมูลค่าสุทธิที่จะได้รับของสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง และรายการพิเศษอื่นๆ) ในไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 10,459 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2564 ร้อยละ 19
โดยบริษัทฯ มี Adjusted EBITDA ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 15,363 ล้านบาท ซึ่งเมื่อพิจารณารวมถึงผลจากการที่บริษัทฯ รับรู้ผลกำไรจากสต๊อกน้ามันและการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ (Stock Gain Net NRV) เป็นกำไรรวม 1,447 ล้านบาท ผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยง 1,000 ล้านบาท ผลขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน 574 ล้านบาท และรายการพิเศษจากการขายหุ้นสามัญของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) และได้มีการจัดประเภทเงินลงทุนส่วนที่เหลือเป็นเงินลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินไม่หมุนเวียน ซึ่งมีก าไรจากการวัดมูลค่ายุติธรรมใหม่ ณ วันเปลี่ยนประเภทเงินลงทุน รวมทั้งยังมีการรับรู้การด้อยค่าของเงินลงทุนในบริษัทร่วมค้า ส่งผลให้ในไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 25,035 ล้านบาท (5.58 บาท/หุ้น) ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2564 ร้อยละ 158
ในไตรมาสนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีผลประกอบการที่ดีขึ้นเล็กน้อย สาเหตุจากราคาผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีน (PE) เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ 2 และสูงกว่าไตรมาส 2/2563 ร้อยละ 65 ส่งผลให้กลุ่มผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมี Adjusted EBITDA Margin ในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 26 ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2563 ในส่วนของธุรกิจโรงกลั่น การควบคุมการแพร่ระบาดในหลายประเทศส่งผลให้ความต้องการในการใช้น้ามันปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ
โดยบริษัทฯ ยังคงการปรับรูปแบบการผลิตโดยปรับลดปริมาณการผลิตน้ามันอากาศยานและเปลี่ยนไปผลิตเป็นน้ามันดีเซลตามภาวะความต้องการน้ามันอากาศยานที่ลดลงตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แต่เนื่องจากส่วนต่างราคาน้ามันเตากำมะถันต่ำ (Low Sulfur Fuel Oil: LSFO) กับน้ามันดิบดูไบปรับตัวลดลง จากแรงกดดันหลักจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งต้นทุนของน้ามันดิบที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นสำคัญ ส่งผลให้ธุรกิจโรงกลั่นมีค่าการกลั่น (GRM) อยู่ที่ 2.03 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าและไตรมาส 2/2563
สำหรับ ธุรกิจอะโรเมติกส์มีส่วนต่างผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ (BTX P2F) อยู่ที่ 181 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าและไตรมาส 2/2563 ตามทิศทางความต้องการการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ รวมทั้งผลประกอบการของกลุ่ม Performance Materials and Chemicals (PC) ที่ยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีปรับเพิ่มขึ้นจากทั้งไตรมาส 1/2564 และไตรมาส 2/2563 จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ฟีนอล กลุ่มผลิตภัณฑ์โพรพิลีนออกไซด์ (Propylene Oxide: PO) และกลุ่มผลิตภัณฑ์โพลีออลส์ (Polyols) ที่ความต้องการของตลาดยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง
รวมทั้งการรับรู้ผลประกอบการของ PO/Polyols จากการด าเนินการผลิตตั้งแต่สิ้นปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่บริษัทฯ รับรู้ จำนวน 2,325 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นจากทั้งไตรมาส 1/2564 และไตรมาส 2/2563 เป็นผลจากผลประกอบการในทุกบริษัทร่วมค้าและบริษัทร่วมดีขึ้น โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 581,115 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 จำนวน 91,732 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด และเงินลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินหมุนเวียนเพิ่มขึ้น รวมถึงเงินสดได้รับมาจากการออกหุ้นกู้สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ ชุดใหม่ เงินสดรับจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม (GPSC)
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีหนี้สินรวมทั้งสิ้น 260,902 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน จำนวน 60,514 ล้านบาท จากหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากการออกหุ้นกู้สกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ ดังกล่าวและเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินสุทธิเพิ่มขึ้น รวมทั้งเจ้าหนี้การค้าที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณซื้อวัตถุดิบและราคาวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีส่วนของผู้ถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 320,212 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน จำนวน 31,218 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากกำไรสุทธิสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564
ด้านนายจิตตศักดิ์ สุนทรพันธุ์ ผู้จัดการฝ่ายหน่วยงานการเงินองค์กร และนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล(PTTGC เผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้ จะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น สะท้อนได้จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ต่างๆ แต่หากเทียบกับครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เบื้องต้นเดือน ก.ค.มีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องมาจากไตรมาส 2/64 โดยยังต้องรอดูไตรมาสที่เหลือของปีว่าจะเป็นอย่างไร
ขณะที่ทั้งปียังคงเป้าหมายรายได้เติบโต 8-10% จากราคาน้ำมัน และราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้น รวมถึงกำลังการผลิตใหม่ๆ ที่จะเข้ามาจากกำลังการผลิตของโรงงานแนฟทาแครกเกอร์ (ORP) ที่เพิ่มขึ้น และโครงการผลิตสารโพรพิลีนออกไซด์และโครงการผลิตสารโพลีออลส์ที่เริ่มเปิดดำเนินการผลิตตั้งแต่ช่วงต้นปี รวมถึงตัว PTA และ PET ที่มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น
แผนงานในช่วง 5 ปีข้างหน้า (64-68) บริษัทยังคงวางงบลงทุนไว้ที่ 5,681 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะใช้สำหรับการลงทุนในปีนี้เป็นหลัก 5,344 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็น จำนวน 25 ล้านเหรียญสหรัฐใช้ในโครงการพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (Recycle Plant) โดยบริษัทลงทุนผ่านการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน คือ บริษัท เอ็นวิค โค จำกัด (ENVICCO) ถือหุ้นในสัดส่วน 70% ร่วมกับ ALPHA ถือหุ้น 30% มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลกำลังการผลิต 45,000 ตันต่อปี แบ่งเป็น rPET 30,000 ตันต่อปี และ rHPDE 15,000 ตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4/64
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ