WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

TRINITYณฐชาตทรีนีตี้ คาดผลประชามติร่างรัฐธรรมนูญไม่กระทบฟันด์โฟลว์ แนะจับตาปัจจัยภายนอกกระทบมากกว่า

     'ทรีนีตี้' คาดการณ์ผลการลงประชามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 7 สิงหาคมนี้ แค่เชิงจิตวิทยา ไม่มีผลกระทบต่อฟันด์โฟลว์ จับตาการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด ซึ่งคาดว่าจะเป็นตัวแปรกำหนดทิศทางเงินไหลเข้าออกในระยะสั้น

    นายณัฐชาต เมฆาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวถึงปัจจัยด้านการลงทุนที่หลายคนให้น้ำหนัก คือการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบไหน ประเมินว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อกระแสเงินทุนต่างชาติอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าเม็ดเงินต่างชาตินี้จะเคลื่อนไหวไปตามปัจจัยภายนอกมากกว่า ส่วนปัจจัยการเมืองคาดส่งผลกระทบเพียงเชิงจิตวิทยาต่อนักลงทุนในประเทศเท่านั้น

    สำหรับ ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในระยะสั้นได้แก่ การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในวันที่ 4 สิงหาคม ซึ่งหาก BoE มีมติขยายวงเงินเป้าหมายโครงการ QE จากเดิมที่ระดับ 3.75 แสนล้านปอนด์ มองจะเป็นปัจจัยบวกต่อสภาพคล่องทั่วโลกได้ อย่างไรก็ดีหลังจากผ่านพ้นการประชุม BoE รอบนี้ไป คาดว่าปัจจัยผลักดันทางด้านสภาพคล่องจะเริ่มลดลงเนื่องจากไม่น่าจะได้เห็นการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมของธนาคารกลางหลักอื่นๆอีก (Fed, ECB, BoJ) จนกระทั่งช่วงปลายเดือนกันยายนซึ่งจะมีการประชุม BoJ ครั้งถัดไป

      ในส่วนปัจจัยอื่นที่สำคัญได้แก่การรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯในวันที่ 5 สิงหาคม ต่อด้วยรายงานการประชุม FOMC รอบที่ผ่านมาในวันที่ 17 สิงหาคม และการปรับตัวของราคาน้ำมันดิบ ซึ่งคาดว่าทั้ง 3 ปัจจัยนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ รวมถึงกระแสเงินทุนต่างชาติในท้ายที่สุด

      ประเมินการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50% นั้นถือเป็นผลบวกในแง่ของฟันด์โฟลว์ เนื่องจากจะทำให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของไทยกับประเทศพัฒนาแล้วมีความน่าดึงดูด เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคที่มีการลดดอกเบี้ยในช่วงหลัง และน่าจะทำให้แนวโน้มฟันด์โฟลว์ในตลาดทุนไทยแข็งแกร่งกว่าต่อไป

    ในระยะสั้นคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหว Sideways ในกรอบดัชนี 1470 – 1550 จุด แนะนำกลยุทธ์ขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบดังกล่าว โดยอาจเลือกโฟกัสไปยังพอร์ทหุ้นแนะนำประจำไตรมาสที่ 3 ซึ่งล่าสุดให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 14% เทียบกับSET Index ที่ 7%นอกจากนั้นอาจเลือกลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ราคายังคง Laggard อาทิ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ขนส่งฯ และชิ้นส่วนยานยนต์ โดยมีหุ้นแนะนำได้แก่ AP, ANAN, BA, SAT

      สำหรับ ภาพการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังคงยืนยันมุมมองที่ว่าบรรยากาศการลงทุนโดยรวมในไตรมาสที่ 3 น่าจะดีกว่าไตรมาสที่ 4 เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงทั้งหลายจะไปกองอยู่ในช่วงปลายปีทั้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯและความเป็นไปได้ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯกลับมาแข็งค่า และทำให้ Fund flow ไหลออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง

 

BSP

 

adsoptimal100

paidtoclick copy

  

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!