- Details
- Category: บล.
- Published: Saturday, 21 November 2015 23:31
- Hits: 5884
บล.โกลเบล็กระบุ เม็ดเงินจากกองทุน LTF-RMF หนุนดัชนีตลาดหุ้นไทย แนะจับตา FED ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย มองกรอบดัชนี 1,360-1,370 จุด
กรุงเทพฯ-บล.โกลเบล็กระบุเม็ดเงินกองทุน LTF-RMF ปลายปี หนุนดัชนีตลาดหุ้นไทย จับตาสัปดาห์หน้า FED ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย เหตุความกังวล คาดFond Flow นักลงทุนต่างชาติไหล ให้แนวรับ 1,360 – 1,370 แนะดัชนีอ่อนตัว เป็นจังหวะเข้าซื้อ ชี้รัฐบาลผลักดันปี 59 ปีแห่งการลงทุน-ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านราคาทองคำมีแนวโน้มปรับลง ให้แนวรับ 1,045-1,040 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,090-1095 เหรียญต่อทรอยออนซ์
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS กล่าวว่าแนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยบวกจากภาครัฐบาลจากการที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจชี้ว่า จะผลักดันให้ปี 2559 เป็นปีแห่งการลงทุน ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปีจะผลักดันให้พร้อมประกวดราคารถไฟฟ้าทุกสายและเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดย่อม รอโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมกันนี้ยังมีปัจจัยหนุนจากเม็ดเงินจากการซื้อกองทุน LTF – RMF ที่ช่วยหนุนดัชนีตลาดหุ้นไทย บวกกับค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องหนุนภาคการส่งออกในไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนจากต่างประเทศในการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เตรียมพร้อมจะเพิ่มวงเงิน QE เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน
ส่วนปัจจัยที่มองว่าจะกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้คือ เหตุการณ์ก่อการร้ายของกลุ่ม IS ในปารีสที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทำให้ทั่วโลกกังวลต่อเหตุร้ายทั่วโลกขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังคงปรับลงเนื่องจากภาวะอุปทานล้นตลาด หลังจากมีการคาดการณ์ว่า ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 8 ติดต่อกัน ทำให้เป็นปัจจัยลบกดดันราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน
ด้านนายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัดประเมินกลยุทธ์การลงทุนใน SET ว่าภาวะตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลงทดสอบแนวรับ 1,360 – 1,370 จุด เนื่องจากกระแส Fund Flow นักลงทุนต่างชาติที่ยังคงไหลออกจากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า รวมถึงกลุ่มพลังงานถูกแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ทรุดตัวลงมาที่บริเวณ 40 USD/Barrel อีกครั้ง อย่างไรก็ตามมองว่าการอ่อนตัวลงของดัชนีเป็นจังหวะในการเข้าซื้อเนื่องจากรัฐบาลเร่งออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับเม็ดเงิน LTF- RMF ในช่วงปลายปีที่จะเข้ามาช่วยพยุงดัชนี
ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุน Selective Buy กลุ่มการท่องเที่ยว ซึ่งได้ประโยชน์จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น แนะนำ AOT, CENTEL และ MINT กลุ่มส่งออกอาหารและอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้อานิสงส์ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงล่าสุดแตะ 35.93/95 บาทต่อดอลลาร์ และเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้าคำนวณดัชนี SET50 ได้แก่ TASCO, SUPER, STEC, MTLS, S, GPSC ดัชนี SET100 ได้แก่ TASCO, SUPER, MTLS, GPSC, PTG, EPG, CHG, VNG, PLANB, IFEC, GL, WORK, SAMTEL, SCN
สำหรับ แนวทางการลงทุนในทองคำ นายสุทธิพงษ์ ศรีพรประเสริฐ นักวิเคราะห์การลงทุน บล.โกลเบล็ก จำกัดเปิดเผยว่าราคาทองคำแกว่งตัวอยู่ในแนวโน้มลงต่อเนื่อง แม้มีแรงซื้อเข้ามาบ้างเพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายครั้งรุนแรงในกรุงปารีสประเทศฝรั่งเศส แต่ราคาก็ปรับขึ้นในช่วงสั้น ๆ เท่านั้นก่อนปรับลงทันที เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าเหตุการณ์ก่อการร้ายในกรุงปารีสจะไม่ส่งผลกระทบในระยะยาวต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่ราคาทองยังคงได้รับแรงกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงการประชุมนโยบายการเงินในช่วงวันที่ 15 ถึง 16 ธันวาคมนี้ หลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดหลายรายออกมาแสดงความเห็นสอดคล้องกันโดยการสนับสนุนให้เฟดขึ้นดอกเบี้ย บวกกับ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนตุลาคมปรับตัวขึ้น 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากร่วงลงติดต่อกัน 2 เดือนส่งผลให้เกิดการคาดการณ์มากขึ้นว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้
ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ล่าสุดซึ่งจัดทำโดย CMEGroup'sFedwatch ระบุว่าโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนั้นมีสูงถึง 68% โดยFEDได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับใกล้ 0% นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 จากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อราคาทองคำ
ดังนั้น ประเมินแนวโน้มราคาทองโลกด้านเทคนิค ราคาทองปรับลงมาแกว่งตัวอยู่ใต้แรงกดดันแนวต้านขาลงเส้นค่าเฉลี่ย 5 และ 10 วัน ทำให้ราคากลับมาเคลื่อนไหวตามแนวโน้มขาลงก่อนหน้า ขณะที่การสร้างจุดต่ำใหม่ด้วยการสร้างแนวเรียงตัวขาลงของแท่งเทียนที่เป็นสัญญาณลบ บวกค่าสัญญาณทางเทคนิคที่เป็นลบ ทำให้ราคาแนวโน้มปรับลงต่อ โดยให้แนวรับ1,045-1,040 เหรียญต่อทรอยออนซ์ และแนวต้าน 1,090 –1,095 เหรียญต่อทรอยออนซ์