- Details
- Category: บล.
- Published: Thursday, 23 July 2015 23:43
- Hits: 5100
บล.-บลจ.แลนด์แอนด์เฮาส์ มองดัชนีฯปีนี้ได้เห็น 1,600 จุด แต่ระหว่างทางอาจปรับฐานแตะ 1,200-1,350 จุด
บล.-บลจ.แลนด์แอนด์เฮาส์ มองดัชนีฯปีนี้ได้เห็น 1,600 จุด แต่ระหว่างทางอาจปรับฐานแตะ 1,200-1,350 จุดได้ จากปัจจัยลบรุมเร้า โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และภาคส่งออกที่ยังไม่ฟื้น พร้อมปรับคาดการณ์กำไร บจ.ปีนี้เหลือโต 7-8% จาก 15% ภายใต้สมมติฐานจีดีพีโตไม่ถึง 3% ระบุบาทอ่อนไม่มีประโยชน์ต่อการส่งออก เหตุชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก
นายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้จัดการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริการ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) (LH Securities) ประเมินดัชนีสิ้นปีนี้อยู่ที่ 1,600 จุด แต่มีโอกาสปรับตัวลดลงถึงระดับ 1,200 จุด เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยบวกมาสนับสนุน ประกอบกับ จีดีพีที่คาดว่าจะขยายตัวไม่ถึง 3 % หลังเจอปัญหาภัยแล้งและการส่งออกยังคงติดลบ แม้ว่าค่าเงินบาทจะมีการอ่อนค่ามาหนุนก็ตาม
สำหรับ กำไรของบริษัทจดทะเบียนปีนี้จะเติบโต 7-8 % หลังจากประกาศงบไตรมาส 2/58 ออกมาต่ำกว่าตลาดคาดการณ์หลายบริษัท โดยเฉพาะในส่วนของธนาคารพาณิชย์
นอกจากนี้ ได้ปรับลดปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันปีนี้เหลือ 4 หมื่นล้านบาท จากเดิมคาดที่ 4.8 หมื่นล้านบาทต่อวัน ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะตลาดที่ซบเซาทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุน และ รอดูผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
นายกานต์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีงานเป็นที่ปรึกษาการเงินให้กับบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 4-5 บริษัท โดยคาดว่าจะเห็นบริษัทแรกเข้ามาซื้อขายในตลาด mai ในไตรมาส 2-3/59
"IPO ดีลแรกน่าจะเห็นช่วงไตรมาส 2-3 ปีหน้า แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับทางบริษัทด้วย เพราะในสภาวะตลาดที่ไม่แน่นอนในช่วงนี้ ซึ่งมีความเสี่ยงทำให้เงินที่ต้องการระดมทุนไม่เป็นไปตามแผน" นายกานต์ กล่าว
ในส่วนบัญชีลูกค้าสิ้นปีนี้บริษัทตั้งเป้าเพิ่มเป็น 5 พันบัญชี จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.5 พันบัญชี โดยเป็นบัญชีที่มีการซื้อขาย (active) 583 บัญชี จากไตรมาส 1/58 อยู่ที่ 183 บัญชี ซึ่งการขยายฐานลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่จะมาจากลูกค้าของธนาคาร เพราะจะมีฐานข้อมูลของลูกค้าอยู่แล้ว และ บริษัทได้วางเป้าหมายที่จะมีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) เพิ่มเป็น 3 % ในปี 2561 จากปัจุบันอยู่ที่ 0.5 % แม้ธุรกิจจะมีการแข่งขันสูงมาก โดยสิ้นปีนี้จะมีโบรกเกอร์เข้ามาอีก 1 ราย ซึ่งทางบริษัทจะวางกลยุทธ์มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และ บริการทางการเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมายได้หมายได้อย่างครบวงจร รวมถึงมีแผนจะเปิดให้บริการการยืมหลักทรัพย์(SBL) และ ธุรกิจอนุพันธ์อย่างเต็มรูปแบบเร็วๆนี้
ด้านนายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ (LH Fund) ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่กรอบ 1,380-1,600 จุด โดยปัจจุบันตลาดหุ้นไทยที่มีการปรับฐานลง เพราะมีปัจจัยกดดันอยู่ค่อนข้างมาก เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งมองว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) จะขยายตัวได้ 2.8% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 3% เนื่องจากผลกระทบจากการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยค่าเงินบาทได้อ่อนค่ามาอยู่ที่ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน แต่ประเทศไทยไม่มีสินค้าที่จะส่งออกไปขายให้ต่างชาติ ประกอบกับ เศรษฐกิจทั่วโลกก็ยังมีแนวโน้มที่ชะลอตัวอยู่ทำให้ภาคการส่งออกไทยยังไม่เติบโต โดยการบริโภคในประเทศที่ยังคงชะลอตัวอยู่ส่งผลฉุดการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอีกด้วย
“มองว่าหากแบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ยลงอีกเพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อนมาอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐจากตอนนี้อยู่ที่ 34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐก็ไม่ช่วยให้การส่งออกดีขึ้น เพราะเราไม่มีอะไรที่จะส่งไปแล้ว ยิ่งเศรษฐกิจโลกเป็นแบบนี้ด้วยก็ไม่ช่วยการส่งออกให้ดีขึ้น ซึ่งลดดอกเบี้ยไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร”นายมนรัฐ กล่าว
นอกจากนี้ การที่เศรษฐกิจไทยมีการชะลอตัวนั้นกระทบต่อการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS Growth) ในปีนี้คาดว่าจะต่ำกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ 15% ซึ่งประเมินว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไตรมาส 2/58 นั้นที่เริ่มทยอยออกมาจะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันได้สะท้อนภาพดังกล่าวไปแล้ว และ ราคาหุ้นส่วนใหญ่มีการปรับตัวลงตามผลการดำเนินงานที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ส่งผลต่อการปรับฐานของดัชนีตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม ยังแนะนำในการเลือกลงทุนหุ้น โดยแนะนำให้ลงทุนหุ้นในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งมีปัจจัยบวกจากความคาดหวังของโครงการลงทุนจากภาครัฐ โดยเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มดังกล่าว ซึ่งกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว
สำหรับ ในช่วงครึ่งปีหลัง LH Fund จะมีการออกกองทุนใหม่เพิ่มอีก 2 กอง ได้แก่ กองทริกเกอร์ฟันด์ที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมีการเติบโตที่ดีกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปในปัจจุบัน และ ในระยะยาว โดยกองทุนดังกล่าวจะออกในไตรมาส 3/58 ส่วนอีกหนึ่งกองทุนใหม่เป็นกองทุนเปิดที่ลงทุนในตลาดหุ้นเช่นกัน ซึ่งจะออกในช่วงที่เหลือของปีนี้
ทั้งนี้ ยังคงเป้าตัวเลขมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการ (NAV) ปี 58 อยู่ที่ 6.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 4.1 หมื่นล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกมี NAV แล้วอยู่ที่ 4.35 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่อันดับ 12 ของอุตสาหกรรม
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ตั้งเป้าดันมาร์เก็ตแชร์ 3% ในปี 61 จาก 0.5%
นายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้จัดการและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริการ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์(LH Securities)คาดว่า บริษัทตั้งเป้าจะผลักดันส่วนแบ่งการตลาด(Market Share)ธุรกิจหลักทรัพย์เพิ่มเป็น 3% ในปี 61 จากปัจุบันอยู่ที่ 0.5% แม้ธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์จะมีการแข่งขันสูงมาก และในปลายปีนี้จะมีบริษัทหลักทรัพย์รายใหม่เข้ามาอีก 1 ราย แต่บริษัทวางกลยุทธ์มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างครบวงจร
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดให้บริการการยืมหลักทรัพย์ (SBL) และธุรกิจอนุพันธ์อย่างเต็มรูปแบบเร็วๆนี้ และยังมีแผนที่จะสร้างทีมวิทยากรและนำกลยุทธ์การลงทุนทั้งด้านหลักทรัพย์และอนุพันธ์ ซึ่งทีมดังกล่าวจะให้ความรู้ด้านการลงทุนกับลูกค้า
นอกจากนี้ บริษัทจะพิจารณาความเหมาะสมของพื้นที่และปริมาณธุรกิรรมในแต่ละพื้นที่เป็นหลัก ซึ่งข้อได้เปรียบของบริษัท คือ การมีเครือข่ายสาขาของธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์(LHBANK)กว่า 122 สาขา ทำให้บริษัทไม่ต้องเร่งขยายสาขาเอง โดยบริษัทมีแผนเปิดสาขาเป็น 2 รูปแบบ คือ Cyber Branch ในสาขาของธนาคาร และรูปแบบ Stand alone โดยในปีนี้จะมีไม่น้อยกว่า 2 สาขาในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าสิ้นปีจะมีบัญชีลูกค้าเพิ่มเป็น 5,000 บัญชี จากปัจจุบันมี 2,500 บัญชี โดยมีบัญชีที่เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ(Active)ทั้งหมด 583 บัญชีในปัจจุบัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/58 ที่มีบัญชี Active 183 บัญชี ซึ่งการขยายฐานลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่จะมาจากลูกค้าของธนาคารเพราะจะมีฐานข้อมูลของลูกค้าอยู่แล้ว
ส่วนงานด้านด้านวาณิชธนกิจของบริษัทนั้นปัจจุบันมีดีลการเป็นที่ปรึกาทางการเงินให้กับลูกค้าของธนาคารที่มีความประสงค์จะออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) 4-5 ดีล ซึ่งคาดว่าจะเห็นดีล IPO แรกเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ในไตรมาส 2/59 ถึงไตรมาส 3/59
"ตอนนี้เราก็มีการทำดีลไอพีโออยู่ที่ทำเองตอนก่อนเราจะส่งให้หลักทรัพย์อื่นทำ แต่ตอนนี้เรามีความสามารถมากขึ้น แต่ยังคงทำแต่ FA ส่วนพวก M&A ยังไม่ได้ทำ จริงๆ เราก็อยากทำแต่คนไม่พอ ดีล IPO ดีลแรกน่าจะเห็นช่วงไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 3 ปีหน้า ก็ต้องขึ้นอยู่กับทางบริษัทนั้นๆจะพร้อมหรือไม่ ต้องดูภาวะตลาดประกอบไปด้วย หากตลาดไม่ดีก็จะมีความเสี่ยงที่เงินระดมทุนจะได้ไม่เป็นไปตามแผน"นายกานต์ กล่าว
นายกานต์ มองว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET Index)ปีนี้คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,200-1,600 จุด เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยบวกมาสนับสนุน ประกอบภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยอาจจะขยายตัวไม่ถึง 3% หลังจากมีปัญหาภัยแล้งเข้ามากระทบ อีกทั้งการส่งออกยังคงติดลบ แม้ว่าเงินบาทจะอ่อนค่ามาช่วยหนุนแล้วก็ตาม
ส่วนอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในประเทศปีนี้ (EPS Growth) คาดการณ์ไว้ที่ 7-8 % หลังแนวโน้มผลดำเนินงานไตรมาส 2/58 จะออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ นอกจากนี้ จากภาวะที่ตลาดหุ้นไทยตกต่ำลง ทำให้บริษัทปรับลดคาดการณ์ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปีนี้ลดลงเหลือเฉลี่ย 4หมื่นล้านบาทต่อวัน จากเดิมคาดว่าอยู่ที่ 4.8 หมื่นล้านบาทต่อวัน เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการลงทุนรอดูผลประกอบการของบริษัทฯจดทะเบียนประกอบ อีกทั้งทิศทางของกระแสเงินทุนจากต่างชาติระยะสั้นอาจจะยังไม่เห็นการไหลกลับเข้ามาซื้อ ยังหวังพึ่งการลงทุนของภาครัฐรวมไปถึงการเลือกตั้งของคณะรัฐบาล เป็นปัจจัยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
ด้านนายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ (LH Fund) เปิดเผยว่า ภาพรวม SET Index ในปีนี้อยู่ในกรอบ 1,380-1,600 จุด โดยขณะนี้ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงเพราะมีปัจจัยกดดันค่อนข้างมาก เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ โดยมองว่าปีนี้จะขยายตัวได้เพียง 2.8% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 3% เนื่องจากผลกระทบจากการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัว แม้เงินบาทจะอ่อนค่ามาที่ 34.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯแล้วก็ตาม ประกอบกับเศรษฐกิจทั่วโลกก็ยังมีแนวโน้มที่ชะลอตัว ทำให้ภาคการส่งออกไทยไม่เติบโต นอกจากนี้การบริโภคในประเทศที่ยังคงชะลอตัวอยู่ยังส่งผลฉุดภาพรวมเศรษฐกิจอีกด้วย
“ผมมองว่าหากแบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ยลงอีกเพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อนมาอยู่ที่ 35 บาทต่อดอลลาร์ จากตอนนี้อยู่ที่ 34.5 บาทต่อดอลลาร์ ก็ไม่ช่วยให้การส่งออกดีขึ้น เพราะเราไม่มีอะไรที่จะส่งไปแล้ว ยิ่งเศรษฐกิจโลกเป็นแบบนี้ด้วยก้ไม่ช่วยการส่งออกให้ดีขึ้น ซึ่งลดดอกเบี้ยไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร"นายมนรัฐ กล่าว
นอกจากนั้น การที่เศรษฐกิจไทยมีการชะลอตัวนั้นกระทบต่อการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS Growth) ในปีนี้คาดว่าจะต่ำกว่าที่ประมาณการณ์ไว้ 15% ซึ่งประเมินว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในปรนะเทศไตรมาส 2/58 นั้นที่เริ่มทยอยออกมาจะต่ำกวืที่คาดการณ์ไว้ วึ่งตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันได้สะท้อนภาพดังกล่าวไปแล้ว ราคาหุ้นส่วนใหญ่มีการปรับตัวลงตามผลการดำเนินงานที่ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และส่งผลต่อการปรับฐานของดัชนีตลาดหุ้นไทย
สำหรับ คำแนะนำในช่วงนี้ ควรลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งมีปัจจัยบวกจากความคาดหวังโครงการลงทุนภาครัฐ, กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวที่ยังได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทย และการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน และ หุ้นขนาดเล็กที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี รวมทั้งควรเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีการกระจายการลงทุนไปในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อการกระจายความเสี่ยงและเป็นโอกาสที่ดีที่สร้างการเติบโตในอนาคต
อินโฟเควสท์