WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBS-pattera นายกสมาคม บล.มองจำนวนโบรกเกอร์มากเกินไป หวั่นรายเล็กขาดทุน คงเป้าดัชนีฯ 1,650 จุด มองครึ่งปีหลังหุ้นฟื้นตาม ศก.

       นายกสมาคมบล. คงเป้าดัชนีฯปีนี้ที่ 1,650 จุด มองครึ่งปีหลังหุ้นฟื้นตาม ศก. ประเมินวอลุ่มเฉลี่ย 4-5 หมื่นลบ./วัน คาดครึ่งปีหลังโบรกเกอร์จะปรับเพิ่มกำไร บจ.ปีนี้ จากคาดโต 11-12% เหตุได้ประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ-กลุ่มพลังงานมีกำไรสต๊อกน้ำมัน ขณะที่มองว่ามองปัจจุบันจำนวนโบรกเกอร์มีมากเกินไป เทียบกับวอลุ่มการซื้อขาย หวั่นผู้ประกอบรายเล็กขาดทุน พร้อมหนุน ก.ล.ต. ออกมาตรการดูแลหุ้นปั่น แต่แนะไม่ควรกระทบการเก็งกำไร

      นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯ ยังคงเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ที่ 1,650 จุด โดยจะเป็นไปตามเศรษฐกิจในประเทศที่จะฟื้นตัวอย่างชัดเจนในครึ่งปีหลัง ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณตัวเลขทางเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นตามลำดับ เชื่อว่าภาครัฐจะเริ่มดำเนินนโยบายการลงทุนต่างๆ และจะส่งผลบวกต่อการลงทุนของภาคเอกชนรวมไปถึงกำลังซื้อของประชาชนในประเทศ

      ส่วนมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเชื่อว่าทั้งปีจะปรับขึ้นไปที่ 4-5 หมื่นล้านบาทได้ แม้ปัจจุบันจะเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3 หมื่นล้านบาท โดยช่วงนี้เป็นจังหวะเหมาะสมเพื่อเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานดี

     "ตอนนี้หุ้นไทยเหมือนรอจังหวะเพื่อดีดขึ้น เพราะแรงขายก็เริ่มน้อยลง ส่วนเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ก่อนหน้านี้เงินไหลออกจากภูมิภาคเข้าสู่ตลาดหุ้นจีน ฮ่องกง โตเกียว และอินเดีย เป็นจำนวนมาก จนทำให้ตลาดเหล่านั้นเริ่มนิ่งละ ทำให้อาจจะมีแรงขายทำกำไรออกมาและกลับเข้าสู่ภูมิภาคอาเซียนอีกครั้ง ซึ่งตลาดหุ้นไทยมักเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ เสมอ"นางภัทธีรา กล่าว

     ส่วนปัจจัยต่างประเทศเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ เพราะเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในช่วงเริ่มฟื้นตัว ส่วนสถานการณ์ในประเทศกรีซก็เริ่มผ่อนคลาย และคงจะไม่ถูกถอดถอนจาก EU

     ทั้งนี้ เชื่อว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ จะปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จากปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 11-12% เนื่องจากมองว่าหุ้นกลุ่มหลักจะได้ประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ เช่น ธนาคาร รับเหมาก่อสร้าง รวมถึงอุปโภคบริโภค ส่วนกลุ่มพลังงานจะพลิกกลับมามีกำไรจากการสต็อกน้ำมัน จากต้นทุนที่ลดลงตั้งแต่ต้นปีและปัจจุบันปรับขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้กลุ่มท่องเที่ยวก็กลับมาคึกคักอย่างเด่นชัด

    นางภัทธีรา กล่าวต่อว่า จำนวนบริษัทหลักทรัพย์ในปัจจุบันที่มีทั้งหมด 39 แห่ง ถือว่ามากเกินไป หากประเมินจากปริมาณการซื้อที่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท/วัน โดยกังวลว่าผู้ประกอบการรายเล็กจะขาดทุนได้ ขณะที่ในปีหน้าสำนักหักบัญชี (TCH) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การดูแลขอตลาดหลักทรัพย์จะมีการปรับเพิ่มสูตรการวางเงินประกันเงินกองทุนชำระคาซื้อขายหลักทรัพย์ ให้เหมาะสมกับปัจจุบัน เพราะเกณฑ์เดิมใช้มากว่า 30 ปีแล้ว ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของบริษัทฯ หลักทรัพย์เพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นจึงต้องการให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คัดกรองบริษัทหลักทรัพย์รายใหม่ ที่จะเข้าสู่อุตสาหกรรม ให้มีคุณภาพมากขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อนักลงทุน และตลาดทุนโดยรวม

    นอกจากนี้ สมาคมบล. เห็นด้วยกับมาตรการเร่งด่วนของ ก.ล.ต. ที่จะมุ่งเน้นสกัดหุ้นที่มีพฤติกรรมสร้างราคา แต่ไม่ควรออกกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดจนเกินไป จนส่งผลต่อการเก็งกำไรของนักลงทุน เพราะจะส่งผลกระทบการดึงดูดนักลงทุนประเภทระยะสั้น ซึ่งมีอยู่มากพอสมควร

     "เราพูดเสมอว่าหุ้นปั่นกับหุ้นเก็งกำไร คือ หุ้นคนละกลุ่ม หาก ก.ล.ต. จะปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขกฎเกณฑ์ใดๆ ก็ควรมุ่งเน้นปิดช่องโหว่ในเรื่องของการปั่นหุ้น แต่ไม่ควรมีกฎเกณฑ์ที่จะมากระทบต่อนักลงทุนประเภทเก็งกำไร"นางภัทธีรา กล่าว

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

 

 

สมาคม บล.คาด H2/58 ปรับเพิ่มประมาณการ EPS รับแรงหนุนกลุ่มพลังงานโดดเด่น

     นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานกรรมการ และนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าในช่วงครึ่งปีหลัง สมาคมจะมีการปรับประมาณการเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียน (EPS)เพิ่มขึ้นจากที่คาดว่าจะเติบโตราว 11-12% เนื่องจากมีปัจจัยหนุนจากกลุ่มธุรกิจพลังงานที่จะมีผลประกอบการเติบโตโดดเด่น ตอบรับผลดีท่ทิศทางราคาน้ำมันฟื้นตัวจากปลายปีก่อน ทำให้บริษัทจดทะเบียนเหล่านี้กลับมามีกำไรจากสต็อกน้ำมัน และต้นทุนการดำเนินการลดลง หลังจากปิดงบปี 57 มีฐานต่ำจากราคาน้ำมันปรับลงมาก

    นอกจากนี้ ทางสมาคมฯ ยังมองว่าภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงครี่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจไทยมีทิศทางฟื้นตัวดีขึ้นจากครึ่งปีแรกที่ชะลอตัว เนื่องจากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะออกมาในครึ่งปีหลัง และความชัดเจนการเกิดของโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของภาครัฐ จะทำให้มีเม็ดเงินเข้ามากระตุ้นระบบเศรษฐกิจในภาพรวม และจะช่วยส่งผลดีต่อการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งการบริโภคภายในประเทศจะเห็นการฟื้นตัวกลับมา

    นางภัทธีรา มองว่า เม็ดเงินที่เคยไหลออกจากภูมิภาคอาเซียนไปสู่ตลาดหุ้นจีน ฮ่องกง โตเกียว อินเดีย จะเริ่มทยอยกลับมาในครึ่งปีหลัง และ นักลงทุนมองว่าตลาดหุ้นในเออีซียังมีโอกาสทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีอยู่

     "ในส่วนตลาดหุ้นไทยจะดีหรือไม่ดีในครึ่งปีหลังขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจของเรา ซึ่งตอนนี้นักลงทุนต่างก็รอดูสถานการณ์อยู่ ว่าเศรษฐกิจเราจะเป็นอย่างไร  ณ เวลานี้ แนะนำให้นักลงทุนทยอยเข้าสะสมไปก่อน เพราะตลาดหุ้นบ้านเรายังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก ราคาจะแพงหรือไม่แพงก็ดูที่ Earning ของบริษัทจดทะเบียนประกอบ แต่มองว่า ณ ราคา พี/อี ที่ 16-17 เท่า ดัชนี 1,500 จุด เป็นระดับที่เหมาะสมเข้ามาลงทุน" นางภัทธีรา กล่าว

   ส่วนปัจจัยต่างประเทศ ขณะนี้นักลงทุนคลายกังวลที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด เพราะเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่เห็นการเติบโตอย่างโดดเด่น ส่วนการปัญหาการชำระหนี้ของกรีซก็คงต้องรอว่าจะเจรจาสำเร็จหรือไม่ ซึ่งความคืบหน้าของการเจรจาระหว่างกรีซและเจ้าหนี้ยังไปได้ด้วยดี แต่ก็ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะมีความไม่แน่นอนอยู่

   อย่างไรก็ดี ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันอยู่ระดับต่ำที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท/วัน เนื่องจากนักลงทุนรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังว่าจะออกมาเป็นอย่างไรทำให้ปริมาณการซื้อขายไม่ได้สูง แต่คาดว่าทั้งปีมูลค่าซื้อขายอยู่ไม่ต่ำกว่าเฉลี่ย 4-5 หมื่นล้านบาท/วัน

     "ตอนนี้ปริมาณการซื้อขายน้อย กังวลว่าต่อนี้ไปหากปริมาณซื้อขายไม่ได้เพิ่มไปกว่านี้หรืออยู่ระดับต่ำอย่างนี้ไปเป็นปี เรากังวลโบรกฯรายใหม่ที่เพิ่งเข้ามาจะมีปัญหา เพราะยังมีส่วนต่างมาร์เก็ตแชร์ที่น้อย ตรงนี้เราก็อยากให้ ก.ล.ต.ข่วยคัดกรองโบรกฯรายใหม่เข้ามาให้มากขึ้น อยากได้คนที่จะสร้างประโยชน์และนำสิ่งใหม่ๆที่ดีให้ตลาดทุนไทย"

    อีกทั้ง ในปีหน้า สำนักหักบัญชี (TCH) ของตลาดหลักทรัพย์จะมีการปรับเพิ่มเงินกองทุนซื้อขายหลักทรัพย์โดยเก็บเพิ่มจากบริษัทหลักทรัพย์ จุดนี้จะทำให้ต้นทุนของบริษัทหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้น จึงกังวลว่าบริษัทหลักทรัพย์รายใหม่จะไม่มีความสามารถในการจ่ายได้มาก หรืออาจมีปัญหา เพราะที่ผ่านมา30 ปีไม่เคยปรับหรือเปลี่ยนแปลงใดๆ

     นางภัทธีรากล่าวว่า สำหรับมาตรการสกัดหุ้นร้อน อยากให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)แยกแยะระหว่างหุ้นเก็งกำไรกับหุ้นปั่นให้ถูกต้อง เพราะหาก ก.ล.ต.สร้างกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมากขึ้น จะส่งผลทำให้ตลาดหุ้นไทยซบเซาลง เนื่องจากไม่มีใครกล้าเข้ามาลงทุน

                อินโฟเควสท์ 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!