- Details
- Category: บล.
- Published: Thursday, 15 January 2015 22:53
- Hits: 4093
ส.นักวิเคราะห์ มองเป้า SET Index ปีนี้ 1,670 จุด GDP โต 3.8% ลดลงจากครั้งก่อน
นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการ ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเชีย พลัส ในฐานะอุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ประเมิน SET Index สิ้นปี 58 อยู่ที่ 1,670 จุด ลดลงเล็กน้อยจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่รคะดับ 1,698 จุด หรือลดลงราว 1.6%
สำหรับ ปัจจัยเสี่ยงที่นักวิเคราะห์ให้ความสำคัญ คือปัจจัยต่างประเทศโดยเฉพาะการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ มองว่าเศรษฐกิจโลกยังขยายตัวต่ำกว่าที่คาด ทำให้ภาคการส่งออกไทยได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ส่วนปัจจัยบวก ยังเป็นเรื่องของมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลและการขยายตัวของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางยุโรปที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา
กลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ นักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ 25 แห่งแนะนำให้ลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 46% ของเงินลงทุนรวม เพิ่มขึ้นจาก 40% จากการสำรวจครั้งก่อนหน้า และได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้และกองทุนตราสารหนี้จาก 20% เหลือ 14% และปรับลดเงินสดและเงินฝากเหลือ 11% จาก 13% ในครั้งก่อน ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศยังคงใกล้เคียงกับประมาณการครั้งก่อนคือ 20.5% และทองคำ รวมถึง Gold Futures อยู่ที่ 6.5%
ขณะที่ผลสำรวจหุ้นเด่นปีนี้ ได้แก่ ADVANC,CK,INTUCH,KBANK,SPALI สมาคมฯ ได้ประเมินกำไรสุทธิต่อหุ้นของตลาด (EPS) ปี 58 เฉลี่ยอยู่ที่ 15% หรือ 107.0 บาทต่อหุ้น ใกล้เคียงกับที่ประมาณการณ์ครั้งก่อนที่ 14.1% หรือ 111.2 บาทต่อหุ้น จากฐานที่ต่ำในปีก่อน ขณะที่ปี 57 กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดน่าจะอยู่ที่ 93.2 บาทต่อหุ้น โดยลดลง 4.1% จากประมาณการครั้งก่อนที่อยู่ในรดับ 97.2 บาทต่อหุ้น
ด้านภภาวะเศรษฐกิจในปีนี้จะมีอัตราการขยายตัว(GDP Growth)อยู่ที่ 3.8% จากเดิมที่คาดไว้ 4.3% และในปี 57 คาดว่าเติบโต 0.9% จากเดิมที่คาดไว้ 1.6% หลังจากเศรษฐกิจในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด และแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายคงยืนอยู่ที่ 2% ตลอดปี 58 อีกทั้งราคาน้ำมันดิบโลกที่ลดลงกว่า 50% ส่งผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียนบางกลุ่ม
โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี กำไรสุทธิคงลดลงจากประมาณการครั้งก่อน 3.9 หมื่นล้านบาทในปี 58 และในปี 57 พบว่ากำไรสุทธิลดลง 1.5 หมื่นล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มปิโตรเคมีคาดว่ากำไรสุทธิจะลดลงจากประมาณการครั้งก่อนเฉลี่ย 7.9 พันล้านบาทในปี 57 และลดลงอีก 4.9 พันล้านบาทในปี 58
ขณะที่กลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันต่ำจะสะท้อนผลกำไรที่ดีขึ้นในปีนี้คือ กลุ่มค้าส่งค้าปลีก (อุปโภคบริโภค) ซึ่งคาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนเฉลี่ย 904 ล้านบาท และกลุ่มขนส่งที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 868 ล้านบาท และสถาบันการเงินรายย่อยจะอยู่ที่ 491 ล้านบาท
นางภรณี กล่าวว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบโลกในปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 66.1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งลดลงจากสมมติฐานครั้งก่อนที่อยู่ในระดับ 90.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และในปี 59 คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ 71.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลงจากสมมติฐานเดิมที่ 92.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนแนวโน้มราคาทองคำสิ้นปี 58 จะอยู่ที่บาทละ 18,884 บาท ลดลงจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่บาทละ 19,575 บาท และสิ้นปี 59 คาดว่าจะขึ้นไปอยู่ที่บาทละ 19,883 บาท ใกล้เคียงกับประมาณการครั้งก่อนที่บาทละ 19,844 บาท
จากการสำรวจความเห็ฯในครั้งนี้ นักวิเคราะห์มีข้อเสนอแนะให้กับรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย 3 เรื่อง คือ 1.การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุน โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ให้เป็นไปตามกำหนดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวล่าช้า 2.ดำเนินนโยบายการเงินอย่างเหมาะสม และ 3.แก้ปัญหาคอรัปชั่นอย่างจริงจัง
นางภรณี กล่าวอีกว่า เม็ดเงินต่างชาติมีโอกาสไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้ เชื่อว่าการขายสุทธิจะน้อยลง ปัจจุบันต่างชาติถือครองหุ้นสุทธิอยู่ที่ 34% หลังจากปีที่ผ่านมาขายออกไปจำนวนมากจากความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง จึงคาดว่าจะมีทิศทางการซื้อสุทธิมากขึ้น โดยปัจจัยที่เป็นผลบวกมาจากเรื่องการลงทุนของภาครัฐ และรัฐธรรมนูญใหม่เริ่มเห็นความชัดเจนมากขี้น ประกอบการดอกเบี้ยนโยบาย และอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำ
อินโฟเควสท์
สมาคมนักวิเคราะห์ หั่นเป้า EPS บจ.ปี 57 เหลือ 93.2 บ.ต่อหุ้น และปี 58 เหลือ 107.0 บาทต่อหุ้น พร้อมปรับลดเป้าดัชนีฯปีนี้เหลือ 1670 จุด
สมาคมนักวิเคราะห์ หั่นเป้า EPS บจ.ปี 57 เหลือ 93.2 บ.ต่อหุ้น ส่วนปี 58 ปรับลดเหลือ 107.0 บาทต่อหุ้น จาก 111.2 บาท พร้อมปรับลดเป้าหมายดัชนีฯปีนี้เหลือ 1670 จุด จับตาดอกเบี้ยตปท.- ศก.โลกโตต่ำกว่าคาดกระทบการส่งออก คาดราคาน้ำมันเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ 66.1 เหรียญต่อบาร์เรล ลดลงจากสมมติฐานเดิมที่ 90.5 เหรียญ/บาร์เรล ส่วนปี 59 คาดอยู่ที่ 71.9 เหรียญ/บาร์เรล ระบุราคาน้ำมันที่ลดลงกระทบกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน 1.5 หมื่นลบ.ในปี 57 และ 3.9 หมื่นลบ.ในปี 58 ขณะที่หั่นเป้าจีดีพีไทยปีนี้เหลือ 3.8% จาก 4.3% แนะ นลท.เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นปีนี้เป็น 46% ขณะที่ลดน้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้ เผย ผลสำรวจหุ้นเด่นปีนี้ ADVANC-CK-INTUCH-KBANK-SPALI พร้อมมองเงินทุนต่างชาติ มีโอกาสไหลกลับในช่วงครึ่งหลังปีนี้ หลังเทขายไปมากในปี 56-57 ส่วนราคาทองสิ้นปีนี้ คาดอยู่ที่บาทละ 18884 บ. จากเดิม 19575 บ. ส่วนสิ้นปี 59 คาดอยู่ที่ 19883 บ.
นางภรณี ทองเย็น อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยว่า สมาคมฯ ปรับลดกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดในปี 2557 อยู่ที่ 93.2 บาทต่อหุ้น โดยลดลง 4.1% จากประมาณการครั้งก่อนที่อยู่ 97.2 บาทต่อหุ้น
ส่วนปี 2558 ปรับลด EPS เหลือ 107.0 บาทต่อหุ้น โดยลดลง 3.8% จากที่ประมาณการไว้ 111.2 บาทต่อหุ้น
จึงทำให้นักวิเคราะห์ประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะอยู่ที่ 1,670 จุด โดยลดลงเล็กน้อยจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 1,698 จุด หรือลดลงราว 1.6%
ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงที่นักวิเคราะห์ให้ความสำคัญ คือปัจจัยต่างประเทศโดยเฉพาะการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯและอังกฤษ มองว่าเศรษฐกิจโลกยังขยายตัวต่ำกว่าที่คาด ซึ่งภาคการส่งออกไทยก็ยังได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวดังกล่าว
ส่วนปัจจัยบวกที่ยังคงให้น้ำหนัก คือในเรื่องมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลและการขยายตัวของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และมีปัจจัยใหม่ที่เข้ามาเพิ่มคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางยุโรปที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้สมาคมฯ คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปีนี้จะเฉลี่ยอยู่ที่ 66.1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งลดลงจากสมมติฐานครั้งก่อนที่อยู่ 90.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และในปี 2559 คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ 71.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลงจากสมมติฐานเดิมที่ 92.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
โดยผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนและผลกระทบจากราคาน้ำมันในปี 2558 และ 2559 โดยพบว่าราคาน้ำมันดิบโลกที่ลดลงกว่า 50% ส่งผลกระทบต่อกำไรบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ซึ่งพบว่ากำไรสุทธิจะลดลง 3.9 หมื่นล้านบาทในปี 2558 และในปี 57 พบว่ากำไรสุทธิลดลง 1.5 หมื่นล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มปิโตรเคมีคาดว่ากำไรสุทธิจะลดลงจากประมาณการครั้งก่อนเฉลี่ย 7.9 พันล้านบาทในปี 2557 และลดลงอีก 4.9 พันล้านบาทในปี 2558
ขณะที่กลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลบวกจะสะท้อนผลกำไรที่ดีขึ้นในปี 2558 คือกลุ่มค้าส่งค้าปลีก (อุปโภคบริโภค) ซึ่งคาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนเฉลี่ย 904 ล้านบาท และกลุ่มขนส่งที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 868 ล้านบาท และสถาบันการเงินรายย่อยจะอยู่ที่ 491 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ สมาคมฯ ปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth ในปี 2558 เหลือ 3.8% จากเดิม 4.3% ส่วนในปี 2557 ปรับลดลงเหลือ 0.9% จากเดิม 1.6% โดยเป็นจากเศรษฐกิจในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด และแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายคาดว่าจะยืนอยู่ที่ 2% ตลอดปี 2558 จากการประเมินการเทียบกับครั้งก่อนเฉลี่ย 2.2% นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังมีข้อเสนอแนะให้กับรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย 3 เรื่อง คือ1. การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการลงทุน โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ให้เป็นไปตามกำหนดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวล่าช้า 2. ดำเนินนโยบายการเงินอย่างเหมาะสม และ 3. แก้ปัญหาคอรัปชั่นอย่างจริงจัง
อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยถึงกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ สมานักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 46% ของเงินลงทุนรวม ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 40% จากการสำรวจครั้งก่อนหน้า และได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้และกองทุนตราสารหนี้จาก 20% เหลือ 14% และปรับลดเงินสดและเงินฝากเหลือ 11% จาก 13% ในครั้งก่อน
ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศยังคงใกล้เคียงกับประมาณการครั้งก่อนคือ 20.5% และทองคำ รวมถึง Gold Futures อยู่ที่ 6.5%
นอกจากนี้ จากผลสำรวจบริษัทหลักทรัพย์ 25 แห่ง โดยมีผลสำรวจหุ้นเด่นปีนี้ ได้แก่ ADVANC-CK-INTUCH-KBANK-SPALI
พร้อมกับประเมินว่าเม็ดเงินต่างชาติมีโอกาสไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ โดยมองการขายสุทธิจะน้อยลง หลังจากเมื่อปี 2556 และ 2557 ที่ผ่านมามีการขายหุ้นออกจำนวนมาก จากความกังวลต่อปัญหาเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมัน จึงคาดว่าจะทำให้มีการขายสุทธิน้อยลง และจะมีทิศทางการซื้อสุทธิมากขึ้น
สมาคมฯ ยังได้คาดการณ์แนวโน้มราคาทองคำสิ้นปี 2558 จะอยู่ที่บาทละ 18,884 บาท ซึ่งปรับลดลงจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่บาทละ 19,575 บาท และสิ้นปี 2559 คาดว่าราคาทองคำจะอยู่ที่บาทละ 19,883 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับประมาณการครั้งก่อนที่บาทละ 19,844 บาท
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย