- Details
- Category: บล.
- Published: Sunday, 15 January 2023 18:59
- Hits: 1516
ตลาดหุ้นไทย ‘ตลาดหุ้นปี 66 จะเป็นกระต่ายหรือเต่า’
สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) ในกลุ่มบริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASPS ประเมินภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นไทยในช่วง 1Q66 ยังได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ การเติบโตของกำไรบริษัทฯ Fund Flow ที่มีแนวโน้มไหลเข้าและความคาดหวังต่อนโยบายเศรษฐกิจใหม่เมื่อใกล้เข้าสู่เลือกตั้ง แต่แนวโน้มดอกเบี้ยฯขาขึ้น ภาษีขายหุ้นและความผันผวนของ DELTA อาจเป็นปัจจัยที่จำกัด Upside ประเมินเป้าหมายดัชนีปีนี้อยู่ที่ 1,667-1,740 จุด
คุณเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่าในช่วง 1Q65 ตลาดหุ้นไทยจะอยู่ในช่วงการปรับขึ้นโดยมี 4 ปัจจัยสนับสนุน 1) ภาพรวมเศรษฐกิจไทยถือว่าเติบโตโดดเด่นกว่าเศรษฐกิจโลก โดยคาด GDP Growth 66F ของไทยขยายตัว 3.8% มากกว่าเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวเพียง 2.6% โดยมีแรงหนุนมาจากภาคการท่องเที่ยวที่มีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วขึ้นหลังจากจีนผ่อนคลายมาตรการควบคุม COVID-19 2) กำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2566 คาดอยู่ที่ 1.27 ล้านล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 99.2 บาท/หุ้น เติบโต 6% โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม non – energy คาดเติบโตได้ถึง 11.7% และ 3) ทิศทาง Fund Flow ที่มีแนวโน้มไหลเข้าจากค่าเงินบาทเสถียรภาพของเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่า ตามดุลบัญชีเดินสะพัดและทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มสูงขึ้น และ 4) ความคาดหวังเชิงบวกต่อนโยบายใหม่ๆ ยามเข้าใกล้ช่วงเลือกตั้ง ซึ่งจากสถิติในอดีตนับจาก 2544-2562 พบว่าก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน SET Index ให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย 3.9%
แต่อย่างไรก็ตามยังมี 4 ปัจจัยที่เป็นตัวจำกัดการขึ้นของ SET Index เริ่มจาก 1) ความเสี่ยงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปที่มีโอกาสสูงที่เข้าสู่ภาวะ Recession สะท้อนจาก Bloomberg Consensus คาดโอกาสในยุโรปมากถึง 80% และสหรัฐฯ 65% ซึ่งสร้าง Sentiment เชิงลบต่อตลาดหุ้นภูมิภาครวมถึงบ้านเรา แม้ไทยโอกาสเกิด Recession อยู่ต่ำเพียง 13% ก็ตาม 2) การขึ้นดอกเบี้ยฯ ของ กนง. ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนในตลาดหุ้นและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรแคบลง โดยฝ่ายวิจัยฯ คาด กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยฯ ในปีนี้ไม่เกิน 2 ครั้งจากปัจจุบันอยู่ที่ 1.25% 3) การเก็บภาษีขายหุ้นที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในช่วงต้น 2Q66 ซึ่งน่าจะกระทบต่อทิศทางตลาดช่วงปรับสมดุลโดยเฉพาะช่วงก่อนเก็บภาษีจริง และ 4) ความผันผวนของ DELTA ที่อาจกลับมาสร้างแรงกดดันต่อตลาดหลังจากปรับขึ้นตั้งแต่ พ.ย.65 ถึงปัจจุบัน 45% จนระดับ PER 66F ขึ้นมาสูงถึง 64 เท่า (เทียบกับกลุ่มที่ PER66F เฉลี่ยอยู่ที่ 16 เท่า) ถือเป็นระดับที่ยากจะอธิบายในมุมปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งทุกๆ การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น DELTA 1% กระทบ SET Index 0.85 จุด
ภายใต้ปัจจัยแวดล้อมข้างต้นทำให้ SET Index ในช่วง 1Q66 ปรับขึ้นได้โดยประเมินเป้าหมายดัชนี บนสมมติฐาน Market Earning Yield Gap ที่ 4.2%, EPS ที่ 99.2 บาท/หุ้น และคาดดอกเบี้ยฯ ปีนี้อยู่ที่ระดับ 1.50% - 1.75% จะทำให้เป้าหมาย SET Index อยู่ที่ 1,677-1,740 จุด แต่อย่างไรก็ตามการขึ้นเกินระดับดังกล่าวต้องระวังขายทำกำไร โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นกำไรมีแนวโน้มเติบโตที่กระจายบน 3 Theme การลงทุน 1) Domestic Consumption: STEC, COM7, GULF 2). China Play: AOT 3). Dividend Play: AP, ASK
กลยุทธ์การลงทุนหุ้นต่างประเทศ “เงินเฟ้อเลยจุดสูงสุดไปแล้ว แต่จะอยู่ไปอีกสักพัก”
ทีมกลยุทธ์ต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) ประเมินว่ายังมีความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วแต่จะทรงตัวในระดับสูงอีกระยะ อีกทั้งเรื่องเศรษฐกิจถดถอยในช่วงไตรมาสแรกนี้ แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวก็สะท้อนไปในราคาแล้วบางส่วน
ทีมกลยุทธ์ต่างประเทศ ยังคงมองว่าเศรษฐกิจจีนเห็นสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ การยกเลิกมาตการ Zero Covid เร็วกว่าที่คาด ทำให้ IMF และนักวิเคราะห์ ต่างปรับประมาณการณ์จีน GDP จีนอยู่ที่ 4.9% และ 5.3% ในปี 2023 และ 2024 อีกทั้งมาตการช่วยเหลือกลุ่มอสังหาฯ ที่เป็นเหมือนฟองสบู่ลูกใหญ่ในจีน รวมไปถึงความโปร่งใสที่ดีขึ้นจากการตรวจสอบบัญชี จากผู้ตรวจสอบนอกประเทศจีน ทำให้หุ้นที่อยู่ในธีมเปิดเมือง กลุ่มอสังหาฯ และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีผลตอบแทนที่โดดเด่นและน่าลงทุนที่สุดในไตรมาสนี้
ในส่วนของสหรัฐถึงแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วแต่ก็ยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายของ FED ที่ 2% อยู่มาก ซึ่งยังคงต้องจับตาดูตัวเลขเศรษฐกิจที่จะกระทบเงินเฟ้ออย่างตัวเลขการจ้างงานและค่าแรง โดยมองตราสารหนี้โดดเด่น ตามด้วยกลุ่ม Defensive อย่าง Utilities, Consumer Staples โดยเฉพาะ กลุ่ม Healthcare
A1270