- Details
- Category: บล.
- Published: Tuesday, 30 June 2020 23:21
- Hits: 8236
ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร 'บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)' ที่ 'AAA' แนวโน้ม 'Stable'
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ที่ระดับ 'AAA' ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต 'Stable' หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะของบริษัทซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของกลุ่มดีบีเอส (DBS Group) ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจในธุรกิจหลักทรัพย์ในประเทศไทยของบริษัทที่อยู่ในระดับปานกลาง ตลอดจนฐานทุน ภาระหนี้ และความสามารถในการทำกำไรที่อยู่ในระดับเพียงพอ สถานะทางความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง และเงินทุนและสภาพคล่องที่อยู่ในระดับเพียงพอ
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
การเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของกลุ่มดีบีเอส
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่าบริษัทมีสถานะเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของกลุ่มดีบีเอส ทั้งนี้ จากการที่บริษัทเป็นบริษัทลูกที่ถือหุ้นทั้งหมดโดย DBS Vickers Securities Holding Pte. (DBSVH) ซึ่งให้บริการด้านธุรกิจหลักทรัพย์ของกลุ่มดีบีเอสในประเทศสิงคโปร์นั้น บริษัทได้ปฏิบัติตามนโยบายการดำเนินงานและการบริหารความเสี่ยงของกลุ่มอย่างเคร่งครัด อีกทั้งบริษัทยังคงระบบการดำเนินงานที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกลุ่มโดยมีการดำเนินกลยุทธ์และกำหนดเป้าหมายทางการเงินตามแนวทางของกลุ่ม รวมไปถึงมีความร่วมมือกันระหว่างสมาชิกในกลุ่มอีกด้วย บริษัทได้รับประโยชน์จากความแข็งแกร่งในธุรกิจธนบดีธนกิจ (Private Banking) ของกลุ่มมาพัฒนาธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของบริษัท
นอกจากนี้ บริษัทยังคงดำรงสถานะในการให้การบริการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศไทยแก่ลูกค้าในเครือข่ายของกลุ่มดีบีเอสอีกด้วย โดยในปี 2562 มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์จากลูกค้าของกลุ่มดีบีเอสมีสัดส่วนคิดเป็น 87% ของมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์รวมของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับวงเงินสินเชื่อจากกลุ่มซึ่งถือเป็นการสนับสนุนทางการเงินอย่างต่อเนื่องและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทอีกด้วย
สถานะทางธุรกิจอยู่ในระดับปานกลาง
บริษัทมีสถานะทางธุรกิจในธุรกิจหลักทรัพย์ในระดับปานกลางและมีสถานะทางธุรกิจในธุรกิจอื่นๆ ในกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ที่จำกัด ณ เดือนมีนาคม 2563 บริษัทมีส่วนแบ่งรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ระดับ 2.8% หรืออยู่ในอันดับที่ 15 จากผู้ประกอบการ 37 รายในอุตสาหกรรม ในขณะที่ส่วนแบ่งรายได้ค่านายหน้าซื้อขายตราสารอนุพันธ์และธุรกิจวานิชธนกิจยังคงจำกัดอยู่ที่ระดับ 0.9% ในปี 2562 และ 1.0% โดยเฉลี่ย 3 ปี (2560-2562) ตามลำดับ
การพึ่งพารายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เป็นแหล่งรายได้หลักซึ่งมีการกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศในระดับสูงนั้นยังคงเป็นแรงกดดันต่อการประเมินสถานะทางธุรกิจของบริษัท โดยการพึ่งพาดังกล่าวส่งผลให้รายได้ของบริษัทอาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของมูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ ณ เดือนมีนาคม 2563 รายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์มีสัดส่วนคิดเป็น 58% ของรายได้รวมของบริษัทเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 51% ในขณะที่รายได้ค่านายหน้าฯ จากกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศคิดเป็น 47% ของรายได้ค่านายหน้ารวมของบริษัทในปี 2562
ส่วนปัจจัยในด้านบวกนั้น บริษัทมีฐานรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการในทิศทางที่เพิ่มขึ้นจากความพยายามในการขยายธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management Business) อย่างต่อเนื่องโดยให้ความสำคัญกับฐานลูกค้าในกลุ่มชนชั้นกลางระดับสูงผ่านทางแอปพลิเคชั่นสำหรับการบริหารจัดการเงินลงทุนในกองทุน “Wealth Box” อีกทั้งบริษัทยังได้เริ่มความร่วมมือด้านธุรกิจธนบดีธนกิจกับธนาคารดีบีเอสเพื่อขยายผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายเพื่อดึงดูดลูกค้าในกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งมากขึ้น ทริสเรทติ้งคาดว่าสัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการต่อรายได้รวมของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลบวกต่อการประเมินความหลากหลายทางธุรกิจของบริษัท ทั้งนี้ ในปี 2562 บริษัทมีสัดส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการคิดเป็น 26% ของรายได้รวม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสัดส่วน 14% ในปี 2561
มีฐานทุนที่แข็งแกร่งแต่มีความสามารถในการทำกำไรในระดับปานกลาง
ทริสเรทติ้ง คาดว่าการประเมินฐานทุนและภาระหนี้ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งด้วยอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงที่ระดับประมาณ 15%-17% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงมุ่งเน้นธุรกิจที่ไม่ใช้ฐานเงินทุนจำนวนมากเพื่อที่จะดำรงฐานเงินทุนให้แข็งแกร่งแม้ว่าความสามารถในการทำกำไรจะอยู่ในระดับปานกลางก็ตาม ณ เดือนธันวาคม 2562 บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 14.0% และมีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิต่อหนี้สินทั่วไปอยู่ที่ระดับ 36.9% ณ เดือนมีนาคม 2563 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ทางการกำหนดที่ระดับ 7% อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าผลกำไรของบริษัทจะยังคงอ่อนแอโดยจะมีอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยที่ระดับประมาณ 0%-1% ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าหลังจากการมีผลขาดทุนสุทธิจำนวนมากในปี 2562
บริษัทรายงานผลขาดทุนสุทธิจำนวน 141 ล้านบาทในปี 2562 เทียบกับกำไรสุทธิที่ 95 ล้านบาทในปี 2561 โดยผลขาดทุนดังกล่าวเกิดจากผลขาดทุนสุทธิจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 83 ล้านบาทเป็นหลักซึ่งเป็นผลที่เกิดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกรรมซื้อขายหลักทรัพย์ขนาดใหญ่มาก โดยเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้บริษัทจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินเพื่อให้ธุรกรรมแล้วเสร็จสมบูรณ์ ในขณะเดียวกัน บริษัทก็ได้รับการสนับสนุนทางการเงินสำหรับธุรกรรมดังกล่าวจากกลุ่มดีบีเอส สิงคโปร์ ในรูปเงินกู้สกุลเงินตราต่างประเทศระยะสั้นซึ่งส่งผลให้เกิดการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน จากเหตุการณ์ดังกล่าว บริษัทจึงได้เพิ่มความระมัดระวังในการดำเนินธุรกิจกับลูกค้าบางรายซึ่งมีส่วนทำให้รายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทลดลง 28% ในปี 2562 ในการนี้ บริษัทจึงได้พัฒนานโยบายการบริหารความเสี่ยงในการดำเนินงานและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อป้องกันประเด็นปัญหาการซื้อขายและการดำเนินธุรกรรมซื้อขายหลักทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ในส่วนของต้นทุนนั้น ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมจากการมีค่าใช้จ่ายพนักงานที่สูงกว่าเนื่องจากบริษัทมุ่งเน้นธุรกิจการบริหารความมั่งคั่งซึ่งต้องให้การบริการที่ใส่ใจลูกค้าเป็นอย่างมาก อีกทั้งค่าใช้จ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศยังคาดว่าจะทำให้ค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ณ เดือนธันวาคม 2562 บริษัทมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิที่ระดับ 81.3% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสหากรรมที่ระดับ 65.1% ในระยะยาวทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีความสามารถในการทำกำไรในระดับปานกลางเนื่องจากบริษัทมีเป้าหมายหลักเพื่อเป็นตัวแทนของกลุ่มดีบีเอสในประเทศไทยในการให้บริการแก่ฐานลูกค้าของกลุ่มและเพื่อให้การดำเนินงานและกลยุทธ์ของกลุ่มในภูมิภาคบรรลุเป้าหมาย
สถานะความเสี่ยงที่แข็งแกร่งจากนโยบายของกลุ่ม
ทริสเรทติ้ง คาดว่าบริษัทจะยังคงดำรงสถานะความเสี่ยงที่เข้มแข็งได้ต่อไป โดยทริสเรทติ้งเชื่อว่าการที่บริษัทปฏิบัติตามนโยบายการบริหารความเสี่ยงจากกลุ่มนั้นจะช่วยจำกัดความเสี่ยงด้านเครดิตและความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงราคาหลักทรัพย์เนื่องจากทางกลุ่มมีนโยบายการบริหารจัดการความเสี่ยงในธุรกิจให้เงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Lending Business) และธุรกิจลงทุนด้วยบัญชีของบริษัท (Proprietary Trading Business) ที่รัดกุม นอกจากนี้ สถานะความเสี่ยงที่แข็งแกร่งของบริษัทยังได้รับการสนับสนุนจากความเสี่ยงที่ยอมรับได้ในระดับต่ำเนื่องจากบริษัทมุ่งเน้นในการขยายฐานรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่สม่ำเสมอจากการขยายธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง ในขณะเดียวกัน ผลขาดทุนที่เกิดขึ้นในปี 2562 ยังผลักดันให้บริษัทปรับปรุงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์ รวมทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของฝ่ายงานสนับสนุนและการตรวจจับธุรกรรมการซื้อขายที่ผิดปกติให้ดียิ่งขึ้น สิ่งดังกล่าวน่าจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลขาดทุนจากความเสี่ยงด้านการดำเนินงานที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้
สถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องที่เพียงพอ
บริษัทมีสถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องอยู่ในระดับเพียงพอแม้ว่าอัตราส่วนแหล่งเงินทุนที่มีเสถียรภาพจะอยู่ในระดับปานกลางที่ประมาณ 79.2% และอัตราส่วนความครอบคลุมของสภาพคล่องในระดับอ่อนแอที่ประมาณ 0.4 เท่าโดยเฉลี่ย 5 ปี (2561-2565) ตามเกณฑ์ของทริสเรทติ้งก็ตาม โดยสถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทเข้มแข็งยิ่งขึ้นจากการได้รับวงเงินสินเชื่อจากบริษัทแม่ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัท อีกทั้งบริษัทยังมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินในประเทศหลายแห่งเป็นแหล่งสภาพคล่องเพิ่มเติมอีกด้วย ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2563 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อจำนวน 35 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์จาก DBSVH และวงเงินสินเชื่ออีกจำนวน 3.6 พันล้านบาทจากสถาบันการเงินในประเทศ
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2563-2565 มีดังนี้
- • ส่วนแบ่งทางการตลาดในด้านมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์จะอยู่ที่ระดับประมาณ 3%-4%
- • อัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับประมาณ 0.04%-0.05%
- • อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิจะอยู่ที่ระดับประมาณ 80%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต 'Stable' หรือ 'คงที่'สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสถานะในการเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของกลุ่มดีบีเอสและจะยังคงดำเนินงานโดยเป็นส่วนที่สำคัญในธุรกิจหลักทรัพย์ของกลุ่มดีบีเอสในภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่องต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอยู่ในอันดับสูงที่สุดที่ระดับ 'AAA' พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต 'Stable' หรือ 'คงที่' ทั้งนี้ อันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากอันดับเครดิตของธนาคารดีบีเอสปรับลดลงหลายขั้น ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เกิดกับโครงโครงสร้างและนโยบายของกลุ่มที่ทำให้สถานะในการเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในระดับสูงของบริษัทที่มีต่อกลุ่มดีบีเอสเปลี่ยนแปลงไปก็อาจส่งผลในทางลบต่ออันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทได้ด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- Securities Company Rating Methodology, 9 เมษายน 2563
- Group Rating Methodology, 10 กรกฎาคม 2558
บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (DBSVT)
อันดับเครดิตองค์กร: AAA
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2563 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ