WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

AECS รณกฤต สารนวงศAECS ลุ้นหุ้นไทยปีนี้มีโอกาสทดสอบ 1,953 จุด จับตามเลื่อนเลือกตั้ง-ความตึงเครียดคาบสมุทรเกาหลี-เฟดขึ้นดอกเบี้ยกดดันความเชื่อมั่น

    บล.เออีซี (AECS)ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยปี2561 ลุ้นทดสอบระดับ 1,953 จุด จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศ แนะจับตาการเลื่อนเลือกตั้งในประเทศ และปัญหาความตึงเครียดคาบสมุทรเกาหลี บวกกับเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้อีก 3 ครั้งสู่ระดับ 2.25% กดดันความเชื่อมั่นนักลงทุน แนะกลยุทธ์เลือกหุ้นที่มีแนวโน้วกำไรปี 61 โต ชู ANAN-BCH- HARN-JWD-MALEE-MINT-MONO-SEAFCO-SKN เด่น

      นายรณกฤต สารินวงศ์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในปี 2561 คาดว่ามีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบระดับ 1,953 จุด ภายใต้การประเมินของ Bloomberg consensus ว่าตัวเลข EPS ของ SET ในปี 2561 อยู่ที่ระดับ 111.60 บาทต่อหุ้น และให้ค่า PER ที่ 17.5 เท่า เนื่องจากมองว่าตัวเลข GDP Growth ในปี 2561 มีการเติบโตต่อเนื่อง ตามการคาดการณ์ของสภาพัฒน์ และธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินการเติบโตของ GDP จะขยายตัวอีก 4%YoY

       ส่วนปัจจัยลบในประเทศที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย คือ การเลือก กกต.  ที่ยังไม่ได้ข้อสรุป  จึงคาดว่ามีการเลื่อนเลือกตั้งออกไปก่อน ซึ่งประเมินว่าจะกระทบต่อทิศทางตลาดหุ้น จึงคงต้องจับตากันต่อ

      ขณะที่ปัจจัยลบจากต่างประเทศ อาทิ ปัญหาความความตึงเครียดของคาบสมุทรเกาหลีนั้น ซึ่งมองว่าการทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีที่ยิงข้ามประเทศญี่ปุ่น หากเกิดข้อผิดพลาด หรือเกิดความเข้าใจผิดอาจจะเกิดการปะทะกันได้ ซึ่งเป็นที่หลายฝ่ายกังวล และน่าจับตาในปีนี้เช่นกัน

      รวมทั้งการขึ้นดอกเบี้ยเฟด เป็น 1.50% ในเดือนธันวาคม 2560 และได้ส่งสัญญาณในปี 2561 จะขยับขึ้นอีก 3 ครั้ง หรือสู่ระดับ 2.25% สูงกว่าดอกเบี้ย RP ของไทยที่ยังไม่ขยับจากระดับ 1.50% มาเป็นเวลานาน  ในเมื่อเป้าหมาย Fed ชัดเจน จะมีผลให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนจากต่างชาติเข้าไทยน้อยลง  นอกจากนี้ การลดหรือถอนขนาดวงเงิน QE อาจมีผลให้นักลงทุนต่างชาติหันไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ มากขึ้น  เช่น การซื้อดอลล่าร์มากขึ้น             

      นอกจากนี้ นักวิชาการในสหรัฐได้เริ่มออกมาเตือนให้ระวังความผันผวนของตลาดหุ้นและกังวลว่าในปี 2561 อาจอ่อนไหวรุนแรง จากการปรับตัวสูงสุดต่อเนื่องในปี 2560 ซึ่งดัชนีดาวโจนส์ทะลุระดับ 24,500 จุด และเดินหน้า All Time High ท่ามกลางปัจจัยลบมากมาย ทั้งสถานะรัฐบาลทรัมป์  การขึ้นดอกเบี้ย  การลดขนาด QE และภาระหนี้ของประเทศ  

       ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยรองรับ แนะนำ ANAN กำไรปกติโตต่อ 22.8%YoY ในปี 2561 ด้วย Backlog ในมือกว่า 5.44 หมื่นล้านบาท  แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.60 บาท รองลงมา หุ้น BCH  มีกำไร  14.3%YoY ในปี 2561  เด่นสุดในกลุ่ม รพ.  แนะนำ “ซื้อ”  ราคาเป้าหมาย 18.60 บาท  หุ้น HARN กำไรสุทธิโตต่อ 9.8%YoY ในปี 2561 จากผลแห่ง Synergy ด้วยการขยายฐานลูกค้าจากการแลกเปลี่ยนฐานข้อมูลลูกค้าระหว่างกัน และลดค่าใช้จ่ายบางส่วนจากใช้ทรัพยากรร่วมกัน แนะนำ “ซื้อ”      ราคาเป้าหมาย 4.14 บาท

       หุ้น JWD ในปี 2561 คาดกำไรโต 20.5%YoY จากรายได้ค่าบริการของธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์ที่โตต่อเนื่อง ตามภาวะอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัว แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13.60 บาท หุ้น MALEE กำไรกลับมาโตสดใสถึง 49.0%YoY ในปี 2561 จากธุรกิจใหม่ๆ ที่คาดจะเกิดขึ้นในปีนี้ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 53 บาท      หุ้น MINT  กำไรปี 61 โตต่อ 11.1%YoY จากทั้ง organic และ Inorganic Growth ในทุกกลุ่มธุรกิจหลังกำลังซื้อและ ศก. ทั่วโลกฟื้นตัว แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 50 บาท  หุ้น MONO คาดกำไรโตเด่น 121.8%YoY ในปี 2561 หลังเม็ดเงินโฆษณาฟื้นตัวขึ้น พร้อมกับเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจออนไลน์ SEEME  แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.80 บาท หุ้น SEAFCO  คาดกำไรโตต่อ 34.6%YoY ในปี  แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10 บาท และหุ้น SKN  แนวโน้มกำไรปี 2561 ฟื้นตัวจากปัจจัยรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 9 บาท

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!