- Details
- Category: ธปท.
- Published: Monday, 08 August 2016 15:37
- Hits: 2650
ผู้ว่าธปท. ชี้หุ้นไทยพุ่งรับร่างรธน. จับตาเงินนอกไหลเข้าทำบาทแข็ง เตือนอย่าหลงเชื่อเพจลงทุนหุ้นการันตีผลตอบแทนในระดับสูง
ผู้ว่าธปท.ชี้หุ้นไทยพุ่ง สะท้อนความมั่นใจนักลงทุนทั้งใน-ตปท.หลังผลประชามติรับร่างรธน. ชี้จะทำเงินนอกไหลเข้าต่อเนื่อง กดดันเงินบาทแข็งค่าในระยะสั้น แถมมีเงินดอลล์แข็งค่ารับตัวเลขจ้างงานสหรัฐฯ สดใสช่วยกดดันอีกแรง พร้อมเตือนปชช.อย่าหลงกลเพจปลอมชวนลงทุนผลิตภัณฑ์การันตีผลตอบแทนในระดับสูง
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. เปิดเผยถึงผลการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า ภายหลังผลการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญมีความชัดเจนแล้ว ทำให้ความไม่แน่นอนต่อภาวะเศรษฐกิจหายไป และเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอนาคต สะท้อนจากดัชนีตลาดหุ้นไทยในเช้าวันนี้ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนทั้งในและต่างประเทศคลายความกังวลจากปัญหาการเมือง และเชื่อว่าการดำเนินการจะเป็นไปตามโรดแมปเพื่อเข้าสู่การเลือกตั้งต่อไป
“ผลสำคัญต่อเศรษฐกิจ คือ ความไม่แน่นอนได้หายไป จากที่มีความไม่แน่นอนทางภาคการเมือง ตอนนี้ก็หมดลง ซึ่งจากความคลายกังวลจะทำให้ความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศมีมากขึ้น อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลการลงประชามติที่มีความแตกต่างระหว่างรับร่างและไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของแต่ละภูมิภาคนั้น สะท้อนมุมมองปัญหาของประชาชนที่มีความขัดแข้งว่ายังมีอยู่ในสังคมไทย ซึ่งยืนยันว่า ไม่ใช่เรื่องใหม่ ดังนั้นไทยจะต้องเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการปฏิรูปแบบครบวงจร”นายวิรไท กล่าว
นายวิรไท กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงประชามตินั้นอาจส่งผลให้มีเงินไหลเข้าจำนวนมาก ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นในช่วงระยะสั้น แต่ทั้งนี้ ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามอง เห็นได้จาก เมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา สหรัฐได้ประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลอื่นๆ ดังนั้นนักลงทุนไม่ควรชะล่าใจ เพราะจากปัจจัยดังกล่าวอาจทำให้ค่าเงินผันผวนได้
“ผลการลงประชามติจะส่งผลให้ธปท.ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ปีนี้ลงหรือไม่นั้น คงไม่สามารถตอบได้ เพราะยังต้องมีปัจจัยอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศที่เอามาประเมินภาพรวมด้วย”นายวิรไท กล่าว
นายวิรไท กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสบริษัทต่างๆที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน ชักชวนให้ประชาชนลงทุนในการร่วมหุ้นกับบริษัท และการันตีผลตอบแทนนั้น มองว่า ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ส่งผลให้ประชาชนหรือนักลงทุนบางกลุ่ม เริ่มมองหาผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งกรณีที่มีการเชิญชวนไปลงทุนที่ไม่ใช่จากสถาบันการเงิน ให้ไปลงทุนตราสารแปลกใหม่ หรือ การเข้าไปร่วมหุ้นกับบริษัทนั้นๆ ที่ผ่านมา ธปท. ได้เตือนมาอย่างต่อเนื่องว่าให้ประชาชนระมัดระวัง ว่าอาจเป็นการลงทุนที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้การลงทุนดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
“เราพยายามเตือนหลายครั้งเพราะอาจเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย หรือเข้าข่ายในกรณีของแชร์ลูกโซ่ได้ นอกจากนี้เวลาลงทุนเราจะต้องดูว่าผลิตภัณฑ์คืออะไร และปัจจัยเสี่ยงที่เราต้องรับคืออะไร หลายครั้งที่นักลงทุนคำนึงถึงเพียงผลตอบแทนมากกว่าความเสี่ยงที่จะได้รับ ดังนั้นหากประชาชนมีข้อสงสัย อยากให้โทรมาสอบถามได้ที่ศูนย์คุ้มครองทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ ส่วนเรื่องดังกล่าวนั้น ธปท.เองก็ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากเป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมายก็จะดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายต่อไป”นายวิรไท กล่าว
นายวิรไท กล่าวถึงโมเดลเศรษฐกิจใหม่เพิ่มเติมว่า ในระยะต่อไประบบเศรษฐกิจไทยจะต้องเร่งปฏิรูปทั้งระบบ เนื่องจากพบว่า ที่ผ่านมาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี ที่เคยเติบโตได้ในอัตรา 6-7% นั้น หลังวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 พบว่า อัตราการขยายตัวปรับลดลงมาอยู่ที่ 3-4% และติดกับดักรายได้ปานกลางเป็นเวลานาน ดังนั้นหากไม่มีการปฏิรูประบบดังกล่าว จะทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่สามารถขยายตัวได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ในเรื่องของโมเดลเศรษฐกิจใหม่นั้น จะต้องคำนึงในหลายมิติ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ การแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง การศึกษา การจัดสรรทรัพยากร รวมไปถึงปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การเพิ่มประสิทธิภาพของแรงงาน รวมไปถึงการเพิ่มทักษะต่างๆ ซึ่งหากไม่เร่งดำเนินการนั้น การที่อัตราการขยายตัวอยู่ในระดับต่ำที่ 3-4% นั้น จะเป็นเครื่องชี้ว่า รายได้ต่อหัวของประชาชนจะอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นทุกหน่วยงานจะต้องเร่งวางแผนและร่วมมือกันทุกภาคส่วน เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
