- Details
- Category: ธปท.
- Published: Friday, 10 April 2015 22:22
- Hits: 1870
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ คาด ศก.ไทยทั้งปีนี้โต 3.7% ตามการฟื้นตัวการบริโภค หลังรับอานิสงค์ราคาพลังงานปรับลดลง
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานว่า เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2558 คณะกรรมการบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ExecutiveBoard of the International Monetary Fund) ได้ประชุมสรุปการประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยประจำปี 2558โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นบ้างหลังจากที่หดตัวในไตรมาสแรกของป & 63234; 2557 ส่งผลให้ทั้งปีเศรษฐกิจขยายตัวได้ที่ร้อยละ 0.7 สำหรับอัตราเงินเฟ้อปรับลดลงมากในช่วงครึ่งหลังของปี 2557 และเริ่มติดลบในเดือนมกราคม 2558 จากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงมาก ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัวที่ประมาณร้อยละ1.7 ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา แม้อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยรวมในปี 2557 มีเสถียรภาพแต่ดัชนีค่าเงินบาท (nominal effective exchange rate) และดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง (real effectiveexchange rate) ปรับแข็งขึ้น โดยดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 3.8 ต่อ GDP ปรับดีขึ้นจากปีก่อนที่ติดลบร้อยละ 0.6 ต่อ GDP เป็นผลจากราคาน้ำมันที่ลดลงมากและการนำเข้าที่ลดลงตามอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2558 และคาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ที่ร้อยละ 3.7 ตามการฟื้นตัวของการบริโภคที่ได้รับอานิสงค์จากราคาพลังงานที่ปรับลดลง และการลงทุนของภาคเอกชนที่จะเพิ่มขึ้นหลังจากที่ทางการได้อนุมัติโครงการลงทุนต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ นโยบายการเงินที่ผ่อนปรนจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี การขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนยังมีข้อจำกัดจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่อยู่ในระดับต่ำ อุปสงค์จากต่างประเทศที่ยังชะลอตัว และความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมือง ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนยังมีข้อจำกัดจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น อีกทั้งการลงทุนของภาครัฐทำได้ล่าช้ากว่าที่คาด ขณะเดียวกัน ความต้องการสินค้าไทยในตลาดโลกยังอ่อนแอ
อย่างไรก็ตาม ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะปรับดีขึ้นจากราคาน้ำมันที่โดยเฉลี่ยต่ำกว่าปี 2557 เป็นอย่างมาก สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่า จะอยู่ในระดับต่ำ โดยจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นได้บ้างในช่วงปลายปีมองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวได้ต่ำกว่าคาด โดยปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศ ได้แก่ความล่าช้าของนโยบายภาครัฐ อุปสงค์ภาคเอกชนที่อ่อนแอกว่าคาด และความไม่แน่นอนทางการเมืองในขณะที่ความเสี่ยงจากภายนอกประเทศ ได้แก่ ความผันผวนของตลาดการเงินโลก และการชะลอลงของเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วและเศรษฐกิจประเทศตลาดเกิดใหม่ อย่างไรก็ดี ปจั จัยด้านบวกจะมาจากการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกที่อาจได้รับผลดีมากกว่าที่คาดไว้จากราคาน้ำมันที่ลดลงมาก
ทั้งนี้ ทางการมีความตั้งใจที่จะดำเนินการปฏิรูปในด้านต่างๆ เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอาทิ การปฏิรูปราคาพลังงาน การทดแทนนโยบายจำนำข้าวด้วยมาตรการให้เงินช่วยเหลือชาวนารายย่อย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ และการขยายบทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย ในการกำกับดูแลสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) นอกจากนี้ ทางการได้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone: SEZ) บริเวณชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ในขณะที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(Board of Investment) ประกาศแผนกลยุทธ์สนับสนุนการลงทุนใหม่ เพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของไทย ผลการประเมินของคณะกรรมการบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (คณะกรรมการฯ) เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวหลังจากเผชิญปัจจัยลบ (adverse shocks) ในช่วงที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคอย่างรอบคอบ (prudentmacroeconomic management)
อย่างไรก็ดี ช่องว่างระหว่างผลผลิตเมื่อเทียบกับศักยภาพ (output gap) ยังทยอยลดลงอย่างช้าๆ และแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะใกล้ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ขยายตัวได้ต่ำกว่าคาด ดังนั้น นโยบายการคลังและนโยบายการเงินจึงยังคงมีความจำเป็นในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจระยะต่อไป ในขณะที่การปฏิรูปเชิงโครงสร้างและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างเข้มแข็งและกระจายการเติบโตไปได้อย่างทั่วถึง (inclusive growth) ในระยะยาว คณะกรรมการฯ เห็นด้วยกับมาตรการด้านการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายใต้กรอบนโยบายการรักษาความยั่งยืนทางการคลังในระยะปานกลาง อีกทั้งเห็นด้วยกับการปฏิรูปมาตรการอุดหนุนต่างๆโดยเน้นให้ความช่วยเหลือเฉพาะประชาชนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรง (targeted and means-testedsupport) แทนการอุดหนุนในวงกว้างในช่วงที่ผ่านมา เช่นในกรณีโครงการรับจำนำข้าว และการอุดหนุนราคาพลังงาน นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังสนับสนุนการจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยความรับผิดชอบด้านการคลัง(fiscal responsibility law) ซึ่งเป็นการกำหนดกรอบวินัยทางการคลังในระยะปานกลาง การทบทวนแผนกลยุทธ์ในการบริหารระบบรัฐวิสาหกิจ รวมถึงการจัดทำแผนการลงทุนระยะยาวในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ
คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินในปัจจุบันมีความเหมาะสม และอาจสามารถพิจารณาผ่อนคลายเพิ่มเติมได้หากเศรษฐกิจฟื้นตัวล่าช้ากว่าที่คาด โดยต้องคำนึงถึงผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อเสถียรภาพการเงินด้วย นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ สนับสนุนการเปลี่ยนเป้าหมายเงินเฟ้อไปใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (headline inflation) โดยเห็นว่าในปัจจุบันเงินเฟ้อคาดการณ์อยู่ในระดับใกล้เคียงกับเป้าหมายและการเคลื่อนไหวของระดับราคาล่าสุดยังไม่สะท้อนว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเงินฝืดทั้งนี้ ความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายจากความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลกเป็นความท้าทาย สำคัญต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในระยะข้างหน้า คณะกรรมการฯ เห็นด้วยว่าไทยยังคงมีเครื่องมือต่างๆ ทสี่ ามารถจะนำมาใช้เพื่อดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจ อาทิ ทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีจำนวนมากและนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่น ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือรองรับความผันผวนในตลาดการเงินได้เป็นอย่างดี
คณะกรรมการฯ ยินดีกับความคืบหน้าในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเสถียรภาพการเงินโดยเฉพาะการให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยในการกำกับดูแล SFIs อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯ เห็นว่าทางการไทยควรเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลสถาบันการเงินอื่นที่ไม่ใช่ธนาคาร (nonbank financialinstitutions) เช่น สหกรณ์ที่ดำเนินธุรกิจให้สินเชื่อด้วย
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย