- Details
- Category: ธปท.
- Published: Friday, 20 March 2015 21:27
- Hits: 3360
ธปท.แนะปฏิรูปรัฐวิสาหกิจคุมเข้มสหกรณ์
แนวหน้า : นายสมชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)ได้เชิญนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าชี้แจงต่อที่ประชุมว่ารัฐวิสาหกิจในภาพรวมมีงบประมาณรายจ่าย 4.8 ล้านล้านบาท หรือมีสัดส่วน 44% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) มีมูลค่าทรัพย์สิน 11.9 ล้านล้านบาท นับว่ามีขนาดใหญ่มาก แต่การบริหารงานของรัฐวิสาหกิจหลายแห่งกลับขาดทุนหรือแข่งขันไม่ได้ เพราะมีการแทรกแซงจากการเมือง มีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่ายทำให้ขาดศักยภาพในการแข่งขัน
เนื่องจากกฎหมายเปิดทางให้ฝ่ายบริหารโดยรัฐบาล ให้รัฐวิสาหกิจกู้เงินได้ถึง 20% ของเงินงบประมาณ หรือประมาณ 5 แสนล้านบาท จึงมีทั้งการหาเงินกู้นอกงบประมาณมาใช้จำนำข้าว หรือการให้แบงก์รัฐดำเนินนโยบายต่างๆ ได้ คณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือซุบเปอร์บอร์ด จึงเสนอให้กำหนดการใช้จ่ายเงินแผ่นดินต้องทำผ่านวิธีงบประมาณที่พิจารณาจากสภา และหากให้รัฐวิสาหกิจสนองนโยบายแล้วต้องจัดสรรงบประมาณชดเชยคืนโดยเร็ว
รวมทั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ที่มีปัญหาอยู่ในปัจจุบันก็เติบโตรวดเร็ว มียอดเงินกู้ 1.1 ล้านล้านบาท กระจายทั่วประเทศ 1,400 แห่ง มีสมาชิก 2.7 ล้านคน นับเป็นกลไกด้านการเงินที่สำคัญมากในระบบฐานราก แต่เพราะสหกรณ์ออมทรัพย์มีเสน่ห์ในการดูแลสมาชิก ทั้งการพิจารณาปล่อยกู้ การติดตามและดูแลเพราะเป็นบุคคลที่อยู่ในองค์กรเดียวกัน และยังตัดบัญชีเงินเดือนเพื่อนำมาชำระหนี้ แต่เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับสหกรณ์ ธปท. จึงต้องเข้าไปวางระบบตรวจสอบ และเสนอให้หน่วยงานภาครัฐทบทวนหน่วยงานกำกับดูแล ขณะที่สปช. เสนอให้สนับสนุนสหกรณ์ที่เข้มแข็ง ก้าวไปสู่การถือหุ้นในแบงก์รัฐเช่นธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) และการตั้งเป็นธนาคารสหกรณ์ออมทรัพย์ เพื่อมีระบบกำกับดูแลที่ดี
นายประสารกล่าวถึงการส่งสัญญาณเรื่องอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในการปรับขึ้นลงอัตราดอกเบี้ย เพื่อคาดคะเนแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตนั้นนับเป็นเรื่องที่ยากและมีความเสี่ยง แม้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะพยายามส่งสัญญาณก็คงหนักใจเหมือนกัน เพราะหากระดับการจ้างงานต่ำกว่าระดับปกติ ตลาดการเงินอาจไม่ฟังโดยคำนวณภาพรวมเองและปรับดอกเบี้ยขึ้นลงโดยไม่ฟังเสียงเฟด
ขณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ของไทยจะส่งสัญญาณเพียงบางครั้ง เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ยังต้องการให้อัตราดอกเบี้ยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ การตัดสินใจลดดอกเบี้ยในครั้งที่ผ่านมาเพราะเศรษฐกิจขยายตัวไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จึงต้องใช้นโยบายดอกเบี้ยเข้าไปช่วย การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจจำเป็นต้องทำให้เกิดความสมดุล เครื่องมือด้านต่างๆ ต้องมีความยืดหยุ่นเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์แต่ละช่วง