- Details
- Category: ธปท.
- Published: Tuesday, 23 September 2014 22:02
- Hits: 3503
แบงก์ชาติ ถกคลังหนุน ศก.เศรษฐกิจปี 57 ฟื้นอ่อนแรงต้องโด๊ปด้วยมาตรการคลัง
บ้านเมือง : แบงก์ชาติ ส่งสัญญาณเศรษฐกิจไทยปีนี้โตใกล้เคียง 1.5% ส่งออกไม่ถึงเป้า 3% เตรียมหารือทิศทางนโยบายการเงินกับรัฐมนตรีคลัง ปลายสัปดาห์นี้มองแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินจากนี้ไปอาจมีความจำเป็นน้อยกว่านโยบายการคลัง เพราะมีความผ่อนคลายและเพียงพอในการเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแล้ว
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 57 มีโอกาสเติบโตใกล้เคียงกับที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1.5% ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มจะเติบโตได้น้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ที่ 3% โดยจะมีการแถลงตัวเลขคาดการณ์ใหม่อย่างเป็นทางการในการแถลงรายงานนโยบายการเงินที่จะมีขึ้นวันที่ 26 ก.ย.นี้
อย่างไรก็ตาม จากมุมมองเศรษฐกิจที่คาดว่าจะมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น จึงเชื่อว่าการใช้นโยบายการเงินในปีนี้อาจมีความจำเป็นน้อยลงกว่าปีก่อน เนื่องจากขณะนี้มีรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ ประกอบกับมีงบประมาณเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทำให้มีนโยบายด้านการคลังเข้ามาทำหน้าที่แทน ซึ่งนโยบายการคลังมีผลทางตรงมากกว่านโยบายการเงิน ขณะที่ปัจจุบันนโยบายการเงินถือว่ามีความผ่อนคลายและเพียงพอในการเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจแล้ว
นายประสาร กล่าวว่า ในช่วงปลายสัปดาห์นี้จะมีการนัดหารือร่วมกับนายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง ถึงกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินในปี 58 รวมถึงการหารือในเรื่องอื่นๆ ในด้านเศรษฐกิจด้วย สำหรับนโยบายการปรับโครงสร้างราคาพลังงานนั้น ธปท.ก็ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง แต่เชื่อว่าภาพรวมราคาพลังงานในตลาดโลกไม่มีแรงกดดันไปในทางที่สูงมาก ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วง Low Growth
"เชื่อว่ายังเอาอยู่ เรามองว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนกรอบและทิศทางในการดำเนินนโยบายการเงินอย่างมีนัยสำคัญ"
ส่วนผลจากการปรับโครงสร้างภาษีนั้น ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่ากระทรวงการคลังจะปรับอัตราภาษีในตัวใดบ้าง ซึ่งท้ายสุดจะต้องรอความชัดเจนทั้งแพ็กเกจก่อน รวมถึงทิศทางในการปรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้
นายประสาร กล่าวถึงมาตรการที่ญี่ปุ่นปรับขึ้นภาษี VAT ว่า มีผลต่อการบริโภคอุปโภค ดังนั้นเรื่องของจังหวะเวลาเป็นเรื่องสำคัญ ขณะเดียวกันต้องพิจารณาความสัมพันธ์กับมาตรการอื่นๆ ด้วยว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ด้านการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะหมดวาระในเดือน ก.ย.นี้ คาดว่าในสัปดาห์หน้าจะมีการจะหมดวาระในเดือน ก.ย.นี้ คาดว่าในสัปดาห์หน้าจะมีการเสนอชื่อผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 8 คน และจากนั้นจะคัดเหลือเพียง 4 คน เพื่อมาทดแทนกรรมการ กนง. 4 คน ที่กำลังจะหมดวาระ
นายประสาร ยังกล่าวถึงกรณีที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงอย่างต่อเนื่องว่า การลดลงของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศยังไม่ถือว่าเป็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งยอมรับว่าในปีที่ผ่านมาการลดลงดังกล่าวมาจากความกังวลกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐจะทยอยลด QE และจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จึงทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นหรือขายพันธบัตรที่เคยซื้อไว้ในก่อนหน้านี้เพื่อทำกำไร หรือเป็นการปรับพอร์ต ในขณะที่ปีนี้มองว่า Capital Flow ยังมีทั้งการไหลเข้าและไหลออกในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ไม่ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมากกว่า
ส่วนผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยและเงินทุนเคลื่อนย้ายในไทย จากกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วหรือช้ากว่ากำหนดนั้น เรื่องนี้ธนาคารกลางสหรัฐพยายามจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการเซอร์ไพรส์ตลาด ซึ่งตลาดการเงินที่มีศักยภาพก็จะค่อยๆ ปรับตัวได้ และไม่ได้รับผลกระทบมาก ซึ่งในส่วนของไทยเองเป็นประเทศเศรษฐกิจระดับกลาง และเป็นตลาดเปิด คงจะต้องมีการป้องกันตัวเองโดยวิธีที่ดีที่สุดคือการดูแลเศรษฐกิจในมิติที่สำคัญให้อยู่ในภาวะที่แข็งแรง สมดุล และไม่บิดเบือนตลาด โดยเชื่อว่าหากสหรัฐไม่ทำอะไรที่เป็นการเซอร์ไพรส์ตลาด ก็ไม่น่าจะมีผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยและ
ผู้ว่าฯ ธปท.ยังกล่าวถึงการเข้าร่วมประชุมผู้ว่าการธนาคารกลางโลกด้วยว่า ที่ประชุมได้มีการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งที่ประชุมมองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าเฟดจะมีการทยอยลด QE ไปจนถึงเดือน ต.ค.นี้ และอาจจะมีการตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ในช่วงกลางปี 5 ซึ่งการจะขึ้นปรับดอกเบี้ยเร็วหรือช้านั้น ต้องขึ้นกับตัวเลขเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือภาคแรงงานของสหรัฐ ซึ่งหากตัวเลขออกมาดี ก็มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด