- Details
- Category: แบงก์พาณิชย์
- Published: Thursday, 17 August 2017 14:41
- Hits: 2556
สินเชื่อเอสเอ็มอีกสิกรไทยยังเจ๋งครึ่งปีแรกโต 3% ครองส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อ 28% เป็นอันดับ 1
สินเชื่อเอสเอ็มอีกสิกรไทยยังโตต่อเนื่อง ครึ่งปีแรก 60 ยอดสินเชื่อ 679,000 ล้านบาทโต 3% คาดทั้งปีจะโตตามเป้า 4-6% เผยอุตสาหกรรมเด่น ก่อสร้าง ท่องเที่ยว โลจิสติกส์และดาวรุ่งดวงใหม่อีคอมเมอร์ส ชี้เอสเอ็มอีอยู่ในช่วงท้าทาย เตรียมหนุน 4 เรื่อง การเงิน เครือข่ายเอสเอ็มอี ดิจิทัลแบงกิ้ง และองค์ความรู้ มั่นใจเป็นผู้นำอันดับ 1 ครองส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อ 28% และมีเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในไทย
นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของสายงานธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการหรือเอสเอ็มอี ในช่วงครึ่งแรกปี 2560 ของธนาคารกสิกรไทย มียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 679,000 ล้านบาท เติบโต 3% จากสิ้นปี 2559 จากเป้าหมายทั้งปีที่คาดว่าจะโต 4-6% มีรายได้รวมที่ 21,500 ล้านบาท ทั้งนี้เอสเอ็มอีอยู่ในช่วงที่ท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของกระแสเศรษฐกิจและรูปแบบการดำเนินธุรกิจของโลกที่จะมีคู่แข่งหน้าใหม่ๆ ที่มีความพร้อมด้านเทคโลโลยีและเงินทุนเข้ามาแข่งขัน จึงต้องมีการปรับตัวเพื่อให้สามารถแข่งขันทางธุรกิจได้ สำหรับอุตสาหกรรมที่โดดเด่นในครึ่งปีแรก ได้แก่ รับเหมาก่อสร้างและค้าวัสดุก่อสร้าง ท่องเที่ยวและสุขภาพ โลจิสติกส์ และอีคอมเมอร์ส ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนจากภาครัฐ และเป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
ในครึ่งหลังปี 2560 ธนาคารกสิกรไทยวางกลยุทธ์สนับสนุนลูกค้าใน 4 ด้าน คือ ด้านการสนับสนุนทางการเงิน ธนาคารยังคงมุ่งเน้นการดูแลลูกค้าในทุกห่วงโซ่ธุรกิจ (Value Chain) ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยเฉพาะใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ การบริโภคและบริการ อุตสาหกรรมหนักและการส่งออก และโครงสร้างพื้นฐาน/พลังงานและการขนส่ง เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจเอสเอ็มอีที่อยู่ห่วงโซ่ธุรกิจมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อ และได้รับความสะดวกในการบริหารจัดการด้านการเงินทั้งขารับและขาจ่าย โดยในครึ่งแรกปี 2560 ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างของ Value Chain อยู่ที่ 61,300 ล้านบาท จากลูกค้าที่เป็นเครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลางกว่า 1,500 กลุ่ม นอกจากนี้ยังสนับสนุนเอสเอ็มอีให้เข้าถึงสินเชื่อภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน ของ บสย. โดยธนาคารจะรับภาระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันแทนลูกค้าอัตรา 1.75% ใน 4 ปีแรก ซึ่งจากการเปิดโครงการไปเพียง 1 สัปดาห์ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่สนใจขอสินเชื่อมาแล้วถึง 1,000 ล้านบาท
ด้านเครือข่ายเอสเอ็มอี การเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นสิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยมีกลุ่มผู้ประกอบการสมาชิก K SME Care กว่า 13,000 คน ได้แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ สร้างสัมพันธ์ และเกิดการซื้อขายกันระหว่างนักธุรกิจทุกภูมิภาค โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 1,500 ล้านบาท พร้อมทั้งร่วมกับกลุ่มพันธมิตรของธนาคารทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึงกลุ่มเครือข่ายของธนาคารที่อยู่ในท้องถิ่นทั่วประเทศอีกกว่า 200 หน่วยงาน ร่วมกันสนับสนุนและส่งเสริมในการต่อยอดทางธุรกิจ สร้างโอกาสขยายตลาด และเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี
ด้านดิจิทัลแบงกิ้ง พัฒนานวัตกรรมการเงินที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจเอสเอ็มอี ได้แก่ Food Solution ระบบบริหารจัดการร้านอาหารที่เชื่อมต่อระบบการจ่ายเงินและระบบบัญชี K PLUS SME ธนาคารบนมือถือเพื่อธุรกิจเอสเอ็มอี และบริการหนังสือค้ำประกันบนอินเตอร์เน็ต (K CONNECT-LG) เป็นบริการที่ครอบคลุมทุกเรื่องเกี่ยวกับ LG ผ่านออนไลน์ ซึ่งบริการต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้เอสเอ็มอีสามารถบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างคล่องตัวในยุคไทยแลนด์ 4.0 และในครึ่งปีหลังธนาคารมีแผนที่จะพัฒนาเครื่องมือการเงินใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ในแต่ละธุรกิจมากขึ้น
และด้านองค์ความรู้ พัฒนาและปรับเปลี่ยนรูปแบบในการสนับสนุนด้านองค์ความรู้ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอยู่เสมอ ทั้งการจัดงานสัมมนาเพื่อให้เรียนรู้ตลาดใหม่ๆ และการพัฒนาธุรกิจให้ทันยุค 4.0 การให้คำปรึกษาธุรกิจแบบ 1 on 1 รวมถึงการให้ความรู้ผ่านสื่อดิจิทัลเพื่อให้ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป
นายสุรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในครึ่งหลังปี 2560 เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว โดยธุรกิจที่น่าจับตามอง คือ ธุรกิจส่งออก ที่ขยายตัวตามเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนความต้องการสินค้าไทย ธุรกิจก่อสร้าง ที่ได้รับอานิสงค์จากการใช้จ่ายภาครัฐที่จะเร่งการเบิกจ่ายก่อนปิดปีงบประมาณในเดือน ก.ย.นี้ และธุรกิจท่องเที่ยว ที่ปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวเกือบทุกสัญชาติที่กลับมาขยายตัวได้ดี และยังคงตั้งเป้าเป็นผู้นำอันดับ 1 ครองส่วนแบ่งตลอดสินเชื่อเอสเอ็มอี 28% และมีเครือข่ายธุรกิจเอสเอ็มอีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
KBANK มั่นใจสินเชื่อเอสเอ็มอีปีนี้โตเข้าเป้า 4-6% หลังครึ่งปีแรกโตแล้ว 3% พร้อมคุม NPL สิ้นปีนี้ไม่เกิน 5.3%
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KBANK มั่นใจสินเชื่อเอสเอ็มอีปีนี้เติบโตตามเป้าหมายที่ 4-6% หลังครึ่งปีแรกเติบโตแล้ว 3% มองเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัมีสัญญาณฟื้นตัว โดยธุรกิจส่งออก-ก่อสร้าง-ท่องเที่ยวยังเติบโตโดดเด่น ส่วนปีหน้า คาดสินเชื่อเอสเอ็มอีเติบโตกว่าปีนี้ พร้อมตั้งเป้าคุม NPL กลุ่มเอสเอ็มอีสิ้นปีนี้ไม่เกินจากระดับปัจจุบันที่ 5.3%
นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของสายงานธุรกิจลูกค้าผู้ประกอบการหรือ เอสเอ็มอีในช่วงครึ่งแรกปี 60 มียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 679,000 ล้านบาท เติบโต 3% จากสิ้นปี 59 จากเป้าหมายทั้งปีที่คาดว่าจะเติบโต 4-6% และ มีรายได้รวมที่ 21,500 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างของ Value Chain อยู่ที่ 61,300 ล้านบาท จากลูกค้าที่เป็นเครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลางกว่า 1,500 กลุ่ม
ทั้งนี้ เอสเอ็มอีอยู่ในช่วงที่ท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงของกระแสเศรษฐกิจ และ รูปแบบการดำเนินธุรกิจของโลกที่จะมีคู่แข่งหน้าใหม่ๆ ที่มีความพร้อมด้านเทคโลโลยีและ เงินทุนเข้ามาแข่งขันจึงต้องมีการปรับตัวเพื่อให้สามารถแข่งขันทางธุรกิจได้
สำหรับ อุตสาหกรรมที่โดดเด่นในครึ่งปีแรก ได้แก่ รับเหมาก่อสร้าง และ ค้าวัสดุก่อสร้าง ท่องเที่ยว และ สุขภาพ โลจิสติกส์ และ อีคอมเมอร์ส ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งเสริม และ สนับสนุนการลงทุนจากภาครัฐ และ เป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
ในครึ่งหลังปี 60 ธนาคารวางกลยุทธ์สนับสนุนลูกค้าใน 4 ด้าน คือ ด้านการสนับสนุนทางการเงิน ธนาคารยังคงมุ่งเน้นการดูแลลูกค้าในทุกห่วงโซ่ธุรกิจ (Value Chain) ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยเฉพาะใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ การบริโภคและ บริการ อุตสาหกรรมหนัก และ การส่งออก และ โครงสร้างพื้นฐาน/พลังงาน และการขนส่งเพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจเอสเอ็มอีที่อยู่ห่วงโซ่ธุรกิจมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อ และได้รับความสะดวกในการบริหารจัดการด้านการเงินทั้งขารับและขาจ่าย
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนเอสเอ็มอีให้เข้าถึงสินเชื่อภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุนของ บสย. โดยธนาคารจะรับภาระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันแทนลูกค้าอัตรา 1.75% ใน 4 ปีแรก ซึ่งจากการเปิดโครงการไปเพียง 1 สัปดาห์ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่สนใจขอสินเชื่อมาแล้วถึง 1,000 ล้านบาท
ทางด้านเครือข่ายเอสเอ็มอี การเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นสิ่งที่ธนาคารให้ความสำคัญมาโดยตลอด โดยมีกลุ่มผู้ประกอบการสมาชิก K SME Care กว่า 13,000 คน ได้แลกเปลี่ยนการเรียนรู้ สร้างสัมพันธ์ และ เกิดการซื้อขายกันระหว่างนักธุรกิจทุกภูมิภาค โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 1,500 ล้านบาท พร้อมทั้งร่วมกับกลุ่มพันธมิตรของธนาคารทั้งภาครัฐ เอกชน รวมถึงกลุ่มเครือข่ายของธนาคารที่อยู่ในท้องถิ่นทั่วประเทศอีกกว่า 200 หน่วยงานร่วมกันสนับสนุนและส่งเสริมในการต่อยอดทางธุรกิจ สร้างโอกาสขยายตลาด และ เพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจเอสเอ็มอี
ด้านดิจิทัลแบงกิ้ง พัฒนานวัตกรรมการเงินที่สนับสนุนการดำเนินธุรกิจเอสเอ็มอี ได้แก่ Food Solution ระบบบริหารจัดการร้านอาหารที่เชื่อมต่อระบบการจ่ายเงินและระบบบัญชี K PLUS SME ธนาคารบนมือถือเพื่อธุรกิจเอสเอ็มอี และ บริการหนังสือค้ำประกันบนอินเตอร์เน็ต (K CONNECT-LG) เป็นบริการที่ครอบคลุมทุกเรื่องเกี่ยวกับ LG ผ่านออนไลน์ ซึ่งบริการต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้เอสเอ็มอีสามารถบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างคล่องตัวในยุคไทยแลนด์ 4.0 และ ในครึ่งปีหลังธนาคารมีแผนที่จะพัฒนาเครื่องมือการเงินใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ในแต่ละธุรกิจมากขึ้น
ด้านองค์ความรู้ พัฒนาและปรับเปลี่ยนรูปแบบในการสนับสนุนด้านองค์ความรู้ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอยู่เสมอทั้งการจัดงานสัมมนาเพื่อให้เรียนรู้ตลาดใหม่ๆ และการพัฒนาธุรกิจให้ทันยุค 4.0 การให้คำปรึกษาธุรกิจแบบ 1 on 1 รวมถึงการให้ความรู้ผ่านสื่อดิจิทัลเพื่อให้ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป
"ในครึ่งหลังปีนี้เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว โดยธุรกิจที่น่าจับตามอง คือ ธุรกิจส่งออก ที่ขยายตัวตามเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยสนับสนุนความต้องการสินค้าไทย ธุรกิจก่อสร้างที่ได้รับอานิสงค์จากการใช้จ่ายภาครัฐที่จะเร่งการเบิกจ่ายก่อนปิดปีงบประมาณในเดือน ก.ย.นี้ และ ธุรกิจท่องเที่ยวที่ปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นจากจำนวนนักท่องเที่ยวเกือบทุกสัญชาติที่กลับมาขยายตัวได้ดี และ ยังคงตั้งเป้าเป็นผู้นำอันดับ 1 ครองส่วนแบ่งตลอดสินเชื่อเอสเอ็มอี 28% และ มีเครือข่ายธุรกิจเอสเอ็มอีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย"นายสุรัตน์ กล่าว
นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สินเชื่อเอสเอ็มอีในปีหน้าจะเติบโตมากกว่าปีนี้ที่วางไว้ 4-6% หลังเศรษฐกิจจะเติบโตดีขึ้น ซึ่งครึ่งปีนี้สินเชื่อเอสเอ็มอีโตแล้ว 3% หรือ คิดเป็นเม็ดเงินปล่อยใหม่ 115,000 ล้านบาท จากทั้งปีที่ตั้งไว้ 230,000 ล้านบาท ทำให้พอร์ตสินเชื่อคงค้างสิ้นปีนี้แตะ 696,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 59 ที่อยู่ 657,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีนี้ทำได้แล้ว 679,000 ล้านบาท
โดยเอสเอ็มอีของรายเล็กมียอดขายต่ำกว่า 50 ล้านบาทต่อปี เอสเอ็มอีรายกลางยอดขายมากกว่า 50-400 ล้านบาทต่อปี และ รายใหญ่มากกว่า 400 ล้านบาทต่อปีขึ้นไป
สำหรับ สัดส่วนสินเชื่อของเอสเอ็มอี ประกอบด้วย รับเหมาและก่อสร้าง 8.9% ท่องเที่ยวและสุขภาพ5% โลจิกติกส์ 3.4% ค้าขายสินค้า 16% เกษตรแปรรูปและเกษตร 11% ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ 6% ฮาร์ดแวร์ 4% อาหาร 4% อื่นๆ 42%
ในขณะที่รายได้รวมของเอสเอ็มอีปีนี้ตั้งเป้าโต 2-3% โดยครึ่งปีนี้ทำได้แล้ว 21,500 ล้านบาท ซึ่งสิ้นปีนี้จะต้องทำให้มาอยู่ที่ 43,100 ล้านบาท จากสิ้นปี 59 ที่อยู่ 42,900 ล้านบาท
ส่วนหนี้ที่มิก่อให้เกิดรายได้(NPL)ของเอสเอ็มอีในปัจจุบันอยู่ที่ 5.3% จากสิ้นปี 59 ที่อยู่ 4.8% โดยสิ้นปีนี้ตั้งเป้าคุม NPL ไม่ให้เกิน 5.3% ซึ่ง NPL ที่เพิ่มขึ้นเกิดจากกลุ่มเกษตร และ เอสเอ็มอีขนาดเล็ก ซึ่งเชื่อว่าจะทำระดับสูงสุดในสิ้นปีนี้ โดยเอสเอ็มอีรายใหญ่และรายกลาง NPL ลดลงต่อเนื่อง
"NPL ใหม่ก็เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง ของเก่าที่มีก็กลับมาชำระได้ดีขึ้น โดยที่ผ่านมาเรามีการปรับโครงสร้างหนี้ ยืดอายุการชำระ ลดดอกเบี้ย เพื่อให้ลูกค้ากลับมาทำธุรกิจได้เหมือนเดิม"นายสุรัตน์ กล่าว
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย