WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

1aKKP Jul

กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร รักษาระดับการเติบโต ทั้งสินเชื่อและสินทรัพย์ของลูกค้าภายใต้การบริหาร พร้อมบริการที่หลากหลาย

       'กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร-KKP' มองเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นบ้าง ยังคงให้น้ำหนักกับปัจจัยที่มีผลกระทบหลัก คือ รายได้ภาคการเกษตร  การลงทุนภาคเอกชน และตัวเลขการส่งออก ในส่วนของผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจ ช่วงครึ่งปีแรกเติบโตได้ตามแผน ส่วนครึ่งปีหลังเชื่อว่าจะรักษาระดับการเติบโตได้ตามเป้า ผ่านพอร์ตสินเชื่อรายย่อย และสินเชื่อบรรษัท พร้อมทั้งการเพิ่มยอดสินทรัพย์ของลูกค้าภายใต้การบริหาร (Asset under Advice)ของธุรกิจลูกค้าบุคคลที่มียอดเกิน 4 แสนล้านบาทเป็นครั้งแรก รวมถึงพัฒนาบริการที่หลากหลายในทุกมิติของ KKP

      นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (Mr. Aphinant Klewpatinond, Chief Executive Officer, Kiatnakin Phatra Financial Group) เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประกอบไปด้วย ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) (บล.ภัทร) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด (บลจ.ภัทร) ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สามารถดำเนินงานได้ตามแผนธุรกิจที่วางไว้เริ่มต้นจากธุรกิจสินเชื่อ Credit House) ที่สินเชื่อรวมของธนาคารขยายตัวได้ดี (ครึ่งปีแรกโต 4.1% จากเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 5%)เป็นผลจากการเติบโตของสินเชื่อบรรษัทที่เกิดจากการผสานความร่วมมือของสายสินเชื่อบรรษัทกับสายงานวานิชธนกิจของ บล.ภัทร ตลอดจน การทำงานอย่างเข้มข้นของเครือข่ายสาขาและสายงานช่องทางการตลาดและพัฒนาฐานลูกค้า เพื่อรุกตลาดสินเชื่อรายย่อย ผ่านผลิตภัณฑ์สินเชื่อบุคคล สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อ KK SME รถคูณ 3 ทั้งสามผลิตภัณฑ์นี้มีการขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทางด้านธุรกิจตลาดทุน โดยเฉพาะในส่วนของPrivate Bankภายใต้ธุรกิจไพรเวทเวลธ์สำหรับผู้ลงทุนไทยมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีสินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำ (Asset under Advice: AuA) อยู่ที่ 403,000 ล้านบาท (ไม่รวมเงินฝาก) โดยมียอดเงินลงทุนใหม่กว่า 22,000 ล้านบาท และล่าสุด บล.ภัทร ได้เปิดบริการใหม่ คือGlobal Investment Service (GIS) ซึ่งเป็นการให้บริการลงทุนต่างประเทศสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายไร้ข้อจำกัดด้านพรมแดน ซึ่งการบริการดังกล่าวนี้เทียบชั้นไพรเวทแบงค์ระดับโลกและในส่วนของ บลจ.ภัทร มีการเติบโตที่ดีทั้งในส่วนของกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล โดยมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการของกองทุนกว่า 56,000 ล้านบาท มีกองทุนภายใต้การบริหาร 30 กองทุน (Mutual Fund 27, Property Fund3)ส่วนกองทุนส่วนบุคคล มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารกว่า 15,600ล้านบาท เติบโตกว่า 50% เมื่อเทียบกับปลายปี 2559 นอกจากนี้ ในส่วนของInvestment Bankingบล.ภัทร ได้มีโอกาสร่วมทำงานในดีลที่สำคัญๆ อาทิ การเสนอขายหุ้น IPO ของ บมจ. โกลบอลกรีนเคมิคอลและ บมจ. บี กริม เพาเวอร์ ทั้งนี้ ในครึ่งปีหลังยังมีที่อยู่ในแผนงานอีก

นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันของธนาคารและตลาดทุนภายใต้กลุ่มธุรกิจฯ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของสายสินเชื่อบรรษัทและสายตลาดการเงินของธนาคาร รวมถึงสายงานวานิชธนกิจและตลาดทุนของภัทร มีการนำเสนอบริการและผลิตภัณฑ์ร่วมกันจนสามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มธุรกิจฯ เป็นอย่างดี”

       ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของธนาคารให้มุมมองต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังว่าจะมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นบ้าง แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องจับตามอง 3 ประการได้แก่ รายได้เกษตรกรเริ่มชะลอตัวลงจากราคาสินค้าเกษตรที่เริ่มปรับลดลง โดยเฉพาะยางและปาล์มน้ำมัน อาจทำให้การบริโภคในระยะต่อไปชะลอตัวลง ถัดมาคืออัตราการใช้กำลังการผลิตยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้การลงทุนภาคเอกชนไม่น่าจะปรับขึ้นได้เร็วนัก และสุดท้ายคือภาคการส่งออกอาจชะลอตัวลงในระยะต่อไปจากราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันและสินค้าเกษตรที่ปรับลดลงตามแนวโน้มราคาน้ำมันโลก และการแข็งค่าของเงินบาทที่จะกระทบต่อรายได้ผู้ส่งออกในรูปเงินบาท

       นายชวลิต จินดาวณิค ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)

(Mr. Chavalit Chindavanig, Head of Finance and Budgeting, Kiatnakin Bank Plc.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรกปี 2560 เปรียบเทียบกับงวดครึ่งปีแรกปี 2559 ว่า “กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 2,709 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 12.7%จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนของรายได้แบ่งเป็นรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 5,194ล้านบาทเพิ่มขึ้น6.6% โดยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจาก 4.7% เป็น5.3% รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ 1,859 ล้านบาทเพิ่มขึ้น3% โดยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากที่ปรึกษาทางการเงินและรายได้จากการจำหน่ายหลักทรัพย์ รายได้รวมจากการดำเนินงานคือ 7,758 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2% ในส่วนของสินเชื่อรวมนั้น มีมูลค่า183,704ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% จากสิ้นปี 2559 มาจากสินเชื่อรายย่อย (สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย, Micro SMEs, สินเชื่อบุคคล) สินเชื่อบรรษัท และสินเชื่อ Lombard  ในด้านคุณภาพของสินเชื่อ อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาส 2/2560 อยู่ที่ 5.8% เพิ่มขึ้นจาก 5.6% ณ สิ้นปี 2559 มาจากการปรับเพิ่มขึ้นของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง และสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

     ส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นปี 2559 อยู่ที่17.54% (เป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 14.20%) หากรวมกำไรถึงสิ้นไตรมาส 2/2560 อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงจะเท่ากับ18.64% (เงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 15.30%) ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2560 มียอดสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและค่าเผื่อการปรับมูลค่าจากการปรับโครงสร้างหนี้มีจำนวน 11,089 ล้านบาท โดยมียอดสำรองทั่วไปทั้งสิ้น 4,500 ล้านบาท อัตราส่วนสำรองทั้งสิ้นต่อสำรองตามเกณฑ์เท่ากับร้อยละ 185.1 เปรียบเทียบกับร้อยละ169.8 ณ สิ้นไตรมาส 2/2559 และมีอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเท่ากับร้อยละ 104.6 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 95.7 ณ สิ้นไตรมาส 2/2559”

ตัวเลขที่สำคัญทางการเงิน

อัตราส่วนต่าง

(ร้อยละ)

ไตรมาส2//2559 ครึ่งแรกปี2559

ปี2559

ไตรมาส1/2560 ไตรมาส2/2560 ครึ่งแรกปี2560
อัตราการเติบโตของเงินให้สินเชื่ (0.4) (1.6) (0.8) 1.3 2.8 4.1

สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม 

(ไม่รวมรายการระหว่างธนาคาร)

6.1 6.1 5.6 5.6 5.8 5.8
อัตราส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ 95.7 95.7 110.1 110.1 104.6 104.6
อัตราส่วนสำรองต่อสำรองตามเกณฑ์ 169.8 169.8 187.8 188.1 185.1 185.1

  

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!