WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

KBANK เชื่อ ECB ออก QE ไม่กระทบค่าเงินบาท คาด จีดีพีปีนี้โต 4%รับอานิสงส์โครงการลงทุนรัฐ มองกรณีถอดถอน "ยิ่งลักษณ์'ไม่กระทบ ศก.

    KBANK เชื่อ ECB ออก QE ไม่กระทบค่าเงินบาท คาด จีดีพีปีนี้โต 4%รับอานิสงส์โครงการลงทุนรัฐ มองกรณีถอดถอน "ยิ่งลักษณ์'ไม่กระทบ ศก.ประเทศ พร้อมจับมือ SMRJ สนับสนุนเอสเอ็มอีญี่ปุ่นลงทุนไทย เบื้องต้นคาดมีจำนวน 80-100 บริษัท มูลค่าลงทุนกว่า 5 พันลบ.

  นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ในปีนี้ธนาคารคาดว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ของไทยจะเติบโตได้ 4% โดยได้รับอานิสงส์จากการใช้จ่ายภาครัฐตามงบประมาณต่างๆ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล การส่งออกที่คาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ หลังจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวและการท่องเที่ยว สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง คือความผันผวนของเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันที่เปลี่ยนแปลงรุนแรงอาจกระทบกับหลายประเทศ โดยเฉพาะผู้ค้าน้ำมัน ซึ่งธนาคารจะติดตามสถานการณ์ต่างๆอย่างใกล้ชิด

   ส่วนกรณีที่ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ประกาศใช้มาตรการ QE เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนนั้น มองว่าจะไม่กระทบต่อค่าเงินบาทไทย เนื่องจากปัจจุบันค่าเงินบาทที่เคลื่อนไหวอยู่ที่ 32-33 บาท/ดอลลาร์ ยังส่งผลให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจได้ นอกจากนี้ไทยน่าจะได้ประโยชน์จากการส่งออกไปยุโรปมากขึ้น เนื่องจากการบริโภคในยุโรปจะฟื้นตัวจากการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ

  "เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวการดำเนินธุรกิจของธนาคารสามารถดำเนินการไปได้ โดยมองว่าในปีนี้เศรษฐกิจที่เติบโตได้ประมาณ 4% จะสามารถส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อได้สูงถึง 8-9%" นายบัณฑูร กล่าว

   สำหรับ กรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กรณีจำนำข้าวนั้น นายบัณฑูร  ยืนยันว่าไม่น่ากังวลและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจของภาคเอกชนลดลง

   "สถานการณ์ทางด้านการเมือง โดยปกติย่อมมีคลื่นใต้น้ำและคลื่นบนน้ำ ซึ่งหากไม่เกิดสึนามิขึ้นเชื่อว่าไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน และการตัดสินคดีความทางการเมืองไม่ว่าในกรณีใดๆ หากตัดสินตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม เป็นสิ่งที่ต้องเกิดความพอใจและไม่พอใจซึ่งเป็นเรื่องปกติ ส่วนผลกระทบที่จะตามมาจะมากหรือน้อยก็ต้องยอมรับ ซึ่งมองว่าขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงที่สามารถจะเดินไปข้างหน้าได้" นายบัณฑูร กล่าว

   นายบัณฑูร เปิดเผยด้วยว่า ธนาคารร่วมกับองค์กรส่งเสริมเอสเอ็มอี และนวัตกรรมภูมิภาคประเทศญี่ปุ่น หรือ SMRJ ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเศรษฐกิจการค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเพื่อดึงเอสเอ็มอีญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทย และอาเซียน โดยตั้งเป้าเบื้องต้นชวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจากญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในไทย รวม 80-100 บริษัท หรือคิดเป็นมูลค่าการลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านบาท  สำหรับ การร่วมมือกันดังกล่าวจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการลงทุนในไทยรวมไปถึงอาเซียนการจัดสัมมนาให้ความรู้ การหาพันธมิตร การจับคู่ทางธุรกิจ และการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจระหว่างประเทศเพื่อช่วยส่งเสริมความร่วมมือเศรษฐกิจการค้า และยังช่วยเพิ่มโอกาสให้เกิดความร่วมมือในลักษณะ Joint-Venture

   "เอสเอ็มอีมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันมีสัดส่วนมากถึง 99% ของจำนวนบริษัททั้งหมด แต่เอสเอ็มอีญี่ปุ่นยังประสบปัญหาสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อในประเทศลดลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของญี่ปุ่นต้องหาตลาดใหม่ๆ และได้ตั้งเป้าหมายภายในปี 2560 จะให้เอสเอ็มอีในประเทศญี่ปุ่นออกมาดำเนินธุรกิจในต่างประเทศกว่า 10,000 ราย"นายบัณฑูร กล่าว   นายบัณฑูรกล่าวเพิ่มเติมว่าปัจจุบันธนาคารมีลูกค้าบริษัทญีปุ่นประมาณ30,000 กว่ารายและมีส่วนแบ่งการตลาด 13% นอกจากนี้ ธนาคารยังตั้งเป้าหมายที่จะเป็นธนาคารไทยในใจนักลงทุนญี่ปุ่นและจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่นในไทยเป็น 16% ภายในปีหน้า

สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!