- Details
- Category: แบงก์พาณิชย์
- Published: Sunday, 19 May 2024 20:35
- Hits: 4031
SCB WEALTH เปิดผลงานย้อนหลัง 10 ปีตลาดหุ้นสหรัฐโชว์ผลงานโดดเด่นเฉลี่ย 15% ต่อปี แนะลงทุนระยะยาวหนุนให้มั่งคั่ง จับจังหวะลงทุนเกาหลีใต้ เวียดนามและจีน H-Share
SCB WEALTH เผย ผลตอบแทนตลาดหุ้นย้อนหลัง 10 ปี (2555 – 2566) พบตลาดหุ้นสหรัฐสร้างผลตอบแทนดีที่สุดเฉลี่ย 15% ต่อปี มองทิศทางกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นทั่วโลก มีแนวโน้มเติบโตได้ดี แนะพอร์ตลงทุน ใน Core Portfolio เน้นลงทุนประมาณ 75-100% ควรมีสินทรัพย์ที่หลากหลายและมีสภาพคล่อง พร้อมมองหาโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ส่วนตลาดเกิดใหม่ ที่น่าสนใจ เศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตสูง ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย และจีน รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากสงคราม และเงินเฟ้อ ส่วน Opportunistic Portfolio สัดส่วนลงทุน 0-25% มุ่งเน้นไปยังตลาดที่มองเห็นโอกาสในระยะสั้น แนะลงทุนในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เวียดนาม และตลาดหุ้นจีน H-Share
นายชาตรี โรจนอาภา CFA, FRM Head of Investment Consultant SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผย ในงานสัมมนา Investment Talk ภายใต้หัวข้อ “ส่องเศรษฐกิจโลก จับตาสงคราม วางกลยุทธ์ลงทุน” ที่จัดขึ้นให้แก่กลุ่มลูกค้า High Net Worth ว่า ในช่วงที่ผ่านมา จะมีสถานการณ์ที่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนหลายอย่าง ทั้งการแพร่ระบาดของโควิดที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย สงครามรัสเซีย-ยูเครน และสงครามอิสราเอล-ฮามาส แต่การลงทุนในตลาดหุ้น ยังให้ผลตอบแทนที่ดี โดยหากพิจารณาผลตอบแทนเฉลี่ยของสินทรัพย์ต่างๆ นับตั้งแต่ปี 2555-2566 พบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนดีที่สุด 15% ต่อปี ส่วนตลาดหุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่ ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ต่อปี และตลาดหุ้นไทย ให้ผลตอบแทน 7.1% ต่อปี ดังนั้น SCB CIO จึงแนะนำให้ผู้ลงทุนเน้นมองการลงทุนเป็นเรื่องระยะยาว ที่ต้องใช้เวลา
สำหรับภาพรวมปัจจัยเศรษฐกิจที่มีผลต่อการลงทุนในเวลานี้ ได้แก่ เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์พอสมควร เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตแข็งแกร่ง ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น ตัวเลขการจ้างงานภาคการเกษตร ดัชนีราคาผู้บริโภค และยอดขายปลีก ในเดือน มี.ค. ออกมาดีเกินคาด ขณะที่ การผลิตอุตสาหกรรมส่งสัญญาณฟื้นตัว ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ในระดับใกล้เคียงหรือสูงกว่า 3% ต่อปี ซึ่งเป็นแรงกดดันต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ทำให้อาจปรับลดดอกเบี้ยช้าลง และยังมีผลต่อดอกเบี้ยนโยบายของตลาดการเงินทั่วโลกอีกด้วย
เราคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีโอกาสลดดอกเบี้ยเร็วกว่า Fed โดยอาจปรับลดดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย. นี้ และคาดว่าจะปรับลดประมาณ 3 ครั้ง ในปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อมีแนวโน้มเข้าสู่เป้าหมายที่ 2.3% ในปี 2567 และเข้าสู่ 2.0% ภายในปี 2568 ขณะที่ Fed จะผ่อนคลายนโยบายการเงินล่าช้ากว่าธนาคารกลางอื่น อาจเลื่อนปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปเป็นไตรมาส 3 และปรับลดรวม 2 ครั้งในปีนี้ ส่วนธนาคารกลางอื่นๆ อาจปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในไตรมาสที่ 3 สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่า จะไม่ปรับลดดอกเบี้ยก่อน Fed เพื่อพยายามรักษาส่วนต่างดอกเบี้ย ทำให้ค่าเงินมีเสถียรภาพ โดยน่าจะได้เห็นภาพการลดดอกเบี้ยในไตรมาสที่ 3 เช่นกัน
ทั้งนี้ ผลตอบแทนตลาดหุ้นทั่วโลก สิ้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา พบว่า ติดลบมากที่สุดในรอบ 7 เดือน จากข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ชะลอตัว และอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงช้ากว่าที่คาด จากการที่การจ้างงานในไตรมาสแรกยังออกมาแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ทิศทางกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่มีแนวโน้มเติบโตที่ดี นำโดยตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เวียดนาม และประเทศพัฒนาแล้วทั้งหมด แต่สำหรับทิศทางกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นจีน ทั้ง A-Share และ H-Share ยังมีแนวโน้มชะลอตัว
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่เคยเร่งตัวในช่วงที่ผ่านมา ได้สะท้อนเงินเฟ้อที่ปรับลดลงช้ากว่าคาด ขณะที่ ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน พ.ค. ที่แรงกดดันเงินเฟ้อและดอกเบี้ยนโยบายเริ่มผ่อนคลายลง จากรายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ เดือน เม.ย. ที่เริ่มชะลอตัว รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงปรับลดลง แม้มีความเสี่ยงที่ราคาตราสารหนี้จะปรับลดลง แต่การลงทุนตราสารหนี้ในช่วงนี้ จะได้รับผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยรับ (Coupon Yield) ที่สูงขึ้น สำหรับผู้ที่ถือตราสารหนี้จนครบกำหนดไถ่ถอน นอกจากนี้ เมื่ออัตราผลตอบแทนตราสารหนี้มีแนวโน้มปรับลดลง ก็จะทำให้ราคาตราสารหนี้สูงขึ้น ทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดี
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรจัดสรรเงินลงทุนอย่างเหมาะสม แบ่งเงินสำหรับการลงทุนทั้งในระยะยาวและระยะสั้น เพื่อให้พอร์ตโดยรวมไม่ผันผวนมากเกินไป โดยในพอร์ตลงทุนหลัก (Core Portfolio) ซึ่งลงทุนระยะยาว ควรลงทุนในสัดส่วนที่มาก เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย อาจพิจารณาลงทุนในกองทุนซึ่งมีผู้จัดการกองทุนช่วยดูแลปรับการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ส่วนพอร์ตลงทุนเสริม (Opportunistic Portfolio) ก็อาจจะมีไว้เพื่อมองหาโอกาสการลงทุนในแต่ละช่วงเวลา โดยตัวอย่างการจัดพอร์ตลงทุน 2 ส่วนนี้ ได้แก่ แบ่งเงินไว้ใน Core Portfolio 75-100% และลงทุนผ่าน Opportunisitc Portfolio 0-25% หมายความว่า กรณีรับความเสี่ยงได้ต่ำ อาจเน้นลงทุนบน Core Portfolio เพียงอย่างเดียวก็ได้ แต่เมื่อรับความเสี่ยงได้สูงขึ้น ก็สามารถลดสัดส่วนบน Core Portfolio เพื่อไปลงทุนผ่าน Opportunistic Portfolio บ้าง
ทั้งนี้ ในการกระจายเงินลงทุนบน Core Portfolio ผู้ลงทุน ยังต้องมีเงินสดไว้ใช้จ่าย หรือเป็นสภาพคล่อง มีตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างสม่ำเสมอ มีสินทรัพย์ผสม หรือกองทรัสต์ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ( REIT) เพื่อสร้างรายได้ที่เป็นกระแสเงินสดเข้ามา รวมถึงมีการลงทุนในตลาดหุ้น เพื่อคาดหวังการเติบโต ทั้งหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ ซึ่งเราแนะนำว่า ผู้ลงทุนควรมองหาโอกาสนอกประเทศไทย เน้นกระจายเงินลงทุนไปยังตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ที่เป็นประเทศหลักๆ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก รวมถึงลงทุนผ่านตลาดเกิดใหม่ ของประเทศที่เศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตสูง เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และจีน ที่เศรษฐกิจฟื้นตัว ขณะเดียวกัน ก็ควรมีสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในช่วงสงคราม และเงินเฟ้อ
“เรามอง ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ที่ปรับลดลงเดือน เม.ย. สะท้อนความเสี่ยงเงินเฟ้อ และการเร่งตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ 10 ปี พอสมควรแล้ว ขณะที่กำไรไตรมาสแรกดีกว่าคาด ทำให้ Valuation เริ่มกลับมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ส่วนดัชนี STOXX600 ของยุโรป มีแนวโน้มที่กำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาสแรกออกมาดีกว่าคาด อีกทั้งมีแนวโน้มการซื้อหุ้นคืนและจ่ายเงินปันผลมากขึ้น จึงมีความน่าสนใจ ส่วนดัชนี TOPIX ของญี่ปุ่น มีแนวโน้มรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปีงบประมาณ 2566 (ไตรมาสแรก ปี 2567 ตามปีปฏิทิน) ดีกว่าคาด แต่ยังมีความเสี่ยงถูกปรับลดประมาณการกำไรปีงบประมาณ 2567 หลังผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของญี่ปุ่น (Tankan) พบว่า บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่นคาดการณ์กำไรสุทธิปีงบประมาณ 2567 ลดลง และมองเงินเยนสิ้นปีนี้แข็งค่ามากกว่าปัจจุบัน ตลาดจึงอาจปรับฐาน ซึ่งหากเกิดขึ้น ก็เป็นโอกาสลงทุนระยะยาว“ นายชาตรี กล่าว
ส่วนการลงทุนบน Opportunistic Portfolio ควรมุ่งเน้นไปยังตลาดที่มองเห็นโอกาสในระยะสั้น ซึ่งในเวลานี้ เราแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เวียดนาม และตลาดหุ้นจีน H-Share สำหรับตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เรามองว่า มีพัฒนาการด้านปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดี จากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ กลับมาสู่วัฏจักรการฟื้นตัว ประกอบกับการประกาศใช้นโยบายเพิ่มมูลค่าบริษัทจดทะเบียน (Corporate Value Up) มีแนวโน้มส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น อีกทั้งยังเป็นตลาดหุ้นที่มีราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) อยู่ที่ 9 10 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว และต่ำกว่าภูมิภาคอื่นๆ เพียงแต่ระยะสั้น ดัชนีฯ อาจเผชิญความผันผวนจากความเสี่ยงสงครามอิสราเอล-อิหร่านที่เพิ่มขึ้นบ้าง
ด้านตลาดหุ้นเวียดนาม เผชิญความผันผวนจากปัจจัยทั้งภายนอกและภายใน ได้แก่ สถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ตึงเครียดมากขึ้น ส่งผลลบต่อค่าเงินดองของเวียดนาม และยังมีข่าวผลกระทบจากการทุจริตในภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่กระทบต่อ Sentiment นักลงทุน แต่ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ดีขึ้น และความคืบหน้าในการยกระดับตลาดหุ้นเวียดนามจากตลาดชายขอบ (Frontier Market) สู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) มีแนวโน้มดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามอีกครั้ง
ขณะที่ ตลาดหุ้นจีน H-Share (ตลาดหุ้นฮ่องกง) ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น หลังผลการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน (Politburo) ออกมาส่งสัญญาณออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ เพิ่มเติม โดยเราคาดว่า หลังจากนี้ ทางการอาจเน้นบังคับใช้มาตรการผ่อนคลายที่มีอยู่มากขึ้น รวมทั้งในการประชุมคณะกรรมการกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 3 (3rd Plenum) ที่จะเกิดขึ้นช่วงเดือนก.ค.นี้ เราคาดว่า อาจมีการเปิดเผยรายละเอียดมาตรการต่างๆ เกี่ยวกับทิศทางการปฏิรูปของจีน โดยเฉพาะระบบการคลัง ระบบการเงิน และรัฐวิสาหกิจ ขณะที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของจีน มีมาตรการสนับสนุนการพัฒนาตลาดหุ้น H-Share ออกมาต่อเนื่อง อีกทั้งหุ้นจีนใน H-Share มีแนวโน้มเพิ่มผลตอบแทนผู้ถือหุ้น ผ่านการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น และการเพิ่มซื้อหุ้นคืน ซึ่งจะช่วยหนุนแนวโน้มการฟื้นตัวของอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นของดัชนี H-Share
สำหรับผู้ลงทุนที่มีศักยภาพ มีเงินลงทุนสูง แต่ไม่ชำนาญในการจัดพอร์ตลงทุน หรือคัดเลือกผลิตภัณฑ์ด้วยตนเอง SCB WEALTH มีที่ปรึกษาทางการเงินคอยช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ และคัดเลือกการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับแต่ละท่าน เนื่องจากเรามีผลิตภัณฑ์การลงทุนในสินทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศครอบคลุมทุกประเภทสินทรัพย์ เช่น ตราสารหนี้ หุ้นในประเทศ หุ้นต่างประเทศ กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล เงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศ (FCD) ตราสารอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับผลิตภัณฑ์การเงินต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ครอบคลุมตราสารอนุพันธ์ที่มาพร้อมคุณสมบัติรองรับการลงทุนในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน นอกจากนี้ยังมีทางเลือกลงทุนที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น ตราสารหนี้นอกตลาด (Private credit) รวมทั้งบริการสินเชื่อ Lombard loan ที่สามารถนำสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น หุ้นกู้ และกองทุนรวม มาใช้เป็นหลักประกัน ขอวงเงินสินเชื่อไปลงทุน หรือบริการ Property backed loan ที่ให้นำที่ดิน อสังหาริมทรัพย์มาเป็นหลักประกันขอสินเชื่อเพื่อการลงทุนได้อีกด้วย
คำเตือน :
● การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
● ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
5590