- Details
- Category: แบงก์พาณิชย์
- Published: Sunday, 07 May 2023 23:19
- Hits: 2162
ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตองค์กร’บ.เงินเทอร์โบ’ ที่ ‘BBB-‘แนวโน้ม’Stable’
ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด (TURBO) ที่ระดับ ‘BBB-‘ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงการที่บริษัทมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง มีความสามารถในการสร้างรายได้ในระดับปานกลาง และมีสถานะความเสี่ยงที่ยอมรับได้
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากการที่บริษัทมีสถานะทางธุรกิจในสินเชื่อที่มีหลักประกัน (Title Loan) ที่ยังค่อนข้างเล็กและประวัติการดําเนินงานที่ค่อนข้างสั้น ตลอดจนความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนซึ่งอาจส่งผลกดดันต่อคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัท
ในขณะที่การแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (Auto Title Loan) ก็อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทํากําไรของบริษัทในอนาคตได้เช่นกัน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สถานะเงินทุนยังคงแข็งแกร่ง
ทริสเรทติ้ง ประเมินให้สถานะเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับ ‘แข็งแกร่ง’ และมีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนั้นต่อไปในระยะปานกลาง โดยฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งมากขึ้นของบริษัทนั้นเป็นปัจจัยบวกต่ออันดับเครดิต ทั้งนี้ สถานะเงินทุนในปัจจุบันของบริษัท ซึ่งวัดจากอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยง (Risk-adjusted Capital -- RAC) ที่ระดับ 26% ณ สิ้นปี 2565 นั้น
ทริสเรทติ้ง มองว่า เพียงพอที่จะสนับสนุนเป้าหมายการขยายสินเชื่อของบริษัท อย่างไรก็ตาม หากไม่มีการเพิ่มทุนและภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้ง ที่คาดว่าการเติบโตของสินเชื่อคงค้างของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 30% รวมทั้งนโยบายการจ่ายเงินปันผลแบบอนุรักษ์นิยม อัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงของบริษัทก็จะค่อยๆ ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 18%-22% ในช่วงระหว่างปี 2566-2568 แม้กระนั้นก็ตาม ฐานทุนของบริษัทยังคงได้รับการประเมินให้อยู่ในระดับ ‘แข็งแกร่ง’
การขยายธุรกิจและการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงานจะช่วยให้ความสามารถในการทำกําไรมีความยั่งยืน
กําไรสุทธิของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็นอย่างมากมาตั้งแต่ปี 2564 โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายพอร์ตสินเชื่อที่ช่วยสร้างการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะรักษาผลกำไรให้เป็นไปในทางบวกต่อไปในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เป็นไปตามการขยายธุรกิจและพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการสร้างรายได้ของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ย (Earnings before Taxes to Average Risk-weighted Assets -- EBT/ARWA) นั้นได้รับการประเมินให้อยู่ในระดับ ‘ปานกลาง’ ที่อัตรา 5.8% ในปี 2565 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของคู่แข่งโดยตรงในอุตสาหกรรมที่ระดับ 6.5%
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า กําไรจากการดําเนินงานของบริษัทอาจได้รับแรงกดดันจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Credit Cost) ที่สูงขึ้นเมื่อพิจารณาจากคุณภาพสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มอ่อนแอลงเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงมีความไม่แน่นอน
ทริสเรทติ้ง ประมาณการว่า อัตราส่วน EBT/RWA ของบริษัทจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4%-5% ในช่วงระหว่างปี 2566-2568 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนดังกล่าวจะยังคงได้รับการประเมินให้อยู่ในระดับ ‘ปานกลาง’ เช่นเดิม
สำหรับข้อสังเกตในด้านบวกนั้น
ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมของบริษัทน่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 53% ในช่วงระหว่างปี 2566-2568 จากระดับ 55%-60%
ในช่วงระหว่างปี 2564-2565 จากการประหยัดจากขนาดและประสิทธิภาพการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยคงระดับอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ย (Return on Average Assets – ROAA) ให้อยู่ที่ระดับ 4% ในช่วงระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้าได้
มีสถานะทางธุรกิจค่อนข้างเล็ก
อันดับเครดิตของบริษัทมีข้อจำกัดจากสถานะทางการตลาดที่มีขนาดเล็กรวมทั้งประวัติการดําเนินงานที่ค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายใหญ่อื่นๆ อย่างไรก็ตาม การเติบโตของพอร์ตสินเชื่อของบริษัทในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
โดยพอร์ตสินเชื่อของบริษัทเติบโตถึงระดับ 7.6 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 จากระดับ 372 ล้านบาท ณ เมื่อเริ่มก่อตั้งในปี 2561 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้น (Compound Annual Growth Rate -- CAGR) ที่ระดับ 113%
ทั้งนี้ การเติบโตที่แข็งแกร่งเป็นผลมาจากกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพและการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเครือข่ายสาขาของบริษัท โดย ณ สิ้นปี 2565 จํานวนสาขาของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 778 แห่งจาก 122 แห่ง ณ สิ้นปี 2561
โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มสาขาให้เป็นประมาณ 1,000 แห่งภายในสิ้นปี 2568 ปัจจุบันเครือข่ายสาขาของบริษัทนั้นกระจายตัวอยู่ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก
แม้ว่า สาขาของบริษัทจะครอบคลุมพื้นที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายใหญ่และมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลงในอนาคตอันเนื่องมาจากกลยุทธ์การเติบโตแบบคัดสรรของบริษัทและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนการดําเนินธุรกิจ
กระนั้น ทริสเรทติ้งก็มองว่ากลยุทธ์ดังกล่าวส่งผลในเชิงบวกต่อบริษัท ในแง่ของการขยายพอร์ตสินเชื่อนั้น ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าพอร์ตสินเชื่อของบริษัทจะยังคงขยายตัวในอัตราที่เหมาะสมโดยได้รับแรงหนุนที่สำคัญจากสินเชื่อที่มีหลักประกันซึ่งยังคงมีอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง
รวมทั้งกลยุทธ์ทางการตลาดแบบเชิงรุกและการขยายเครือข่ายสาขา ทั้งนี้ ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อคงค้างของบริษัทที่ระดับ 30% ต่อปีนั้นไม่ได้เป็นไปในเชิงรุกมากจนเกินไป เมื่อพิจารณาจากขนาดพอร์ตสินเชื่อที่ค่อนข้างเล็กของบริษัท
คุณภาพสินทรัพย์น่าจะยังคงอยู่ในวิสัยที่สามารถจัดการได้จากกลยุทธ์การเติบโตที่ระมัดระวัง
ทริสเรทติ้ง มองว่า สถานะความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทนั้นอยู่ในเกณฑ์ “ปานกลาง” ซึ่งสอดคล้องกับผู้ประกอบการสินเชื่อที่มีประกันส่วนใหญ่ที่ได้รับการจัดอันดับโดยทริสเรทติ้งเนื่องจากความเสี่ยงด้านสถานะเครดิตของลูกค้าเป้าหมายของบริษัทที่อยู่ในระดับสูง
เป้าหมายการเติบโตที่สูงจนน่าประทับใจผนวกกับการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกันอาจสร้างแรงกดดันต่อคุณภาพสินทรัพย์เพิ่มขึ้นได้หากนโยบายการอนุมัติสินเชื่อและกระบวนการติดตามหนี้ไม่มีการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
อัตราส่วนลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตหรือลูกหนี้ชั้นที่ 3 (Non-performing Loan -- NPL) ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.8% ณ สิ้นปี 2565 จากระดับ 1.9% ณ สิ้นปี 2564 โดยที่อัตราส่วนลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (หรือลูกหนี้ชั้นที่ 3) ที่เกิดขึ้นใหม่ (NPL Formation) มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นทิศทางที่คล้ายกับของคู่แข่งโดยตรงส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมอันเป็นผลมาจากสถานะเครดิตที่อ่อนแอกว่าของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
ทั้งนี้ ในระยะยาวบริษัทตั้งเป้าที่จะรักษา NPL Ratio ให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 3% โดยทริสเรทติ้งมองว่ากรณีดังกล่าวบริษัทอาจจำเป็นต้องมีปัจจัยสนับสนุน เช่น เกณฑ์ในการอนุมัติสินเชื่อที่รัดกุม การติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ การรักษาระดับ NPL Formation ให้คงที่ และการเร่งรัดตัดหนี้สูญ (NPL Write-offs) เป็นต้น
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากประมาณการของทริสเรทติ้งที่คาดว่าการเร่งรัดตัดหนี้สูญที่สูงขึ้นในระดับ 2% ในช่วงระหว่างปี 2566-2568 เมื่อเทียบกับระดับประมาณ 1.2% ในอดีตและ NPL Formation ที่ระดับ 3% น่าจะส่งผลให้ NPL Ratio ของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับเป้าหมายได้
ทริสเรทติ้ง ยังคาดว่าอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ยของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับราวๆ 3% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าอีกด้วย จากประมาณการดังกล่าวข้างต้นน่าจะทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า จะเกิดขึ้นต่อลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPL Coverage Ratio) ของบริษัทอยู่ในระดับแข็งแรงเกินกว่า 100%
เมื่อพิจารณาจากกลยุทธ์การเติบโตที่ระมัดระวังและคัดสรรของบริษัทแล้ว ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะสามารถลดความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์และความเสี่ยงในการตั้งสํารองได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
การขยายแหล่งเงินทุนเป็นไปในทิศทางด้านบวก
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า บริษัทมีสถานะแหล่งเงินทุนอยู่ในเกณฑ์ “ปานกลาง” โดยทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทมีเงินทุนเพียงพอที่จะรองรับการเติบโตในอนาคตได้เนื่องจากบริษัทยังคงขยายแหล่งที่มาของเงินทุนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทั้งนี้ ณ เดือนเมษายน 2566 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินหลายแห่งอยู่ทั้งสิ้นจำนวน 9.3 พันล้านบาท
ซึ่ง 43% ของวงเงินดังกล่าวนั้นยังไม่มีการเบิกใช้ ปัจจุบันบริษัทมีแผนจะกระจายแหล่งที่มาของเงินทุนโดยการขอวงเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินต่างๆ และจากกองทุนต่างประเทศอีกหลายกองทุนซึ่งน่าจะช่วยสนับสนุนแผนการขยายธุรกิจของบริษัทได้
ในกรณีที่บริษัทยังไม่มีแหล่งเงินทุนใหม่เพิ่มเติม การได้รับวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมจากธนาคารพาณิชย์ในอนาคตก็อาจมีความท้าทายในสายตาของทริสเรทติ้ง ทั้งนี้ เนื่องจากข้อกําหนดสําหรับวงเงินสินเชื่อนั้นบริษัทจะต้องนำพอร์ตลูกหนี้ไปวางเป็นหลักประกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สภาพแวดล้อมที่อ่อนแอที่ทำให้ธนาคารพาณิชย์มีนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่รัดกุมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีสัดส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้ชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ระดับประมาณ 65%
มีสภาพคล่องเพียงพอ
ในมุมมองของทริสเรทติ้ง เห็นว่า บริษัทมีสถานะสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอ ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะได้รับเงินสดจากการชำระคืนหนี้สินเชื่อของลูกหนี้ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าที่จำนวนทั้งสิ้นประมาณ 3.2 พันล้านบาท ในขณะที่ภาระการชำระคืนหนี้ของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 1.4 พันล้านบาท
นอกเหนือจากวงเงินสินเชื่อของบริษัทที่มีกับสถาบันการเงินหลายแห่งแล้ว บริษัทยังมีเงินกู้ยืมจากผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย โดย ณ สิ้นปี 2565 บริษัทมีเงินกู้ยืมจากผู้ถือหุ้นคงค้างที่จำนวน 2 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทอาจได้รับวงเงินกู้ยืมเพิ่มเติมจากผู้ถือหุ้นเพื่อรองรับการชําระหนี้ระยะสั้นในกรณีที่จําเป็นอีกด้วย
ยังคงมีความท้าทายและความเสี่ยงสำหรับผู้ประกอบการสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีหลักประกัน
ในปี 2565 อัตราการเติบโตในยอดคงค้างของสินเชื่อที่มีหลักประกันโดยเฉลี่ยของผู้ประกอบการใหญ่ 3 รายแรกยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 40% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยการเติบโตที่แข็งแกร่งของสินเชื่อนี้น่าจะยังคงดำเนินต่อไปในระยะปานกลางจากปัจจัยสนับสนุนในเรื่องการขยายเครือข่ายสาขา เป้าหมายการเติบโตในเชิงรุกของผู้ประกอบการเดิม การเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ๆ รวมไปถึงอุปสงค์ด้านสินเชื่อที่ยังอยู่ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งก็สังเกตเห็นถึงทั้งพัฒนาการและความท้าทายสำคัญ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการสินเชื่อที่มีหลักประกันซึ่งจำเป็นจะต้องคอยเฝ้าติดตาม โดยประการแรก การลดลงของส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของผู้ประกอบการอันเกิดจากการแข่งขันด้านราคาและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นซึ่งทำให้ความสามารถในการทำกำไรลดลง
ประการต่อมา ความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงขึ้นจากกลยุทธ์การขยายสินเชื่อในเชิงรุกผนวกกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่อ่อนแอลงได้ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ยที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ เป้าหมายในการขยายสินเชื่อในเชิงรุกก็ทำให้สัดส่วนฐานทุนเสื่อมถอยลงซึ่งหากยังคงดำเนินต่อไปก็อาจส่งผลกระทบต่อสถานะเครดิตของบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตได้
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในช่วงระหว่างปี 2566-2568 มีดังนี้
- สินเชื่อรวมคงค้างจะเติบโตในอัตรา 36% ในปี 2566 และในอัตรา 30% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2568
- ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ระดับประมาณ 17%
- ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับ 3%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้ง ว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดในธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกัน ตลอดจนสถานะเงินทุนและความสามารถในการสร้างรายได้อย่างน้อยที่ระดับปัจจุบันเอาไว้ได้
ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งด้วยว่าบริษัทจะยังคงสามารถบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนได้อีกด้วย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากฐานเงินทุนของบริษัทมีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยมี RAC Ratio อยู่ในระดับเกินกว่า 25% อย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากสถานะเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจน RAC Ratio ลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 15% อย่างต่อเนื่อง
หรือคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจนส่งผลกระทบทำให้อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า จะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจนเกินกว่าสมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563 |
บริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด (TURBO)
อันดับเครดิตองค์กร: |
BBB- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html