- Details
- Category: แบงก์พาณิชย์
- Published: Thursday, 06 April 2023 18:33
- Hits: 1815
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ‘บ.บัตรกรุงไทย’ ที่ ‘AA-‘ และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 1.5 หมื่นล้านบาท ที่ ‘AA-‘ แนวโน้ม ‘Stable’
ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ‘AA-‘ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ ในขณะเดียวกันยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1.5 หมื่นล้านบาท อายุไม่เกิน 10 ปี ของบริษัทที่ระดับ ‘AA-‘ด้วยเช่นกัน
โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่นี้ ไปใช้ในการดำเนินธุรกิจและขยายธุรกิจของบริษัท รวมถึงการชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนดหรือเพื่อนำไปใช้ในการลงทุนหรือให้กู้ยืมแก่บริษัทลูกของบริษัท
ทั้งนี้ อันดับเครดิตองค์กรได้รับการปรับเพิ่มขึ้นจากสถานะเครดิตเฉพาะของบริษัท (Stand-alone Credit Profile -- SACP) ซึ่งอยู่ที่ระดับ ‘a-‘ เพื่อสะท้อนถึงสถานะของบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ ‘มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์’ ของ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (หรือ KTB ซึ่งมีอันดับเครดิตที่ระดับ ‘AA+/Stable’*)
สถานะเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลของบริษัท ตลอดจนการบริหารความเสี่ยงทางด้านเครดิตที่มีความระมัดระวัง และฐานทุนที่มีความมั่นคง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากแรงกดดันที่มีต่อความสามารถในการทำกำไรอันเนื่องมาจากต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ตลอดจนการแข่งขันที่รุนแรง และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
ยังคงมีบูรณาการและได้รับการสนับสนุนจาก KTB ต่อไป
ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าบริษัทมีฐานะเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของ KTB ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 49.3% บริษัทมีบทบาทที่สำคัญในการเป็นผู้ดำเนินธุรกิจสินเชื่อรายย่อยให้แก่ KTB ซึ่งประกอบไปด้วยการให้บริการสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน และธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์
การสนับสนุนทั้งทางด้านการให้วงเงินสินเชื่อและการสนับสนุนทางธุรกิจจาก KTB แสดงให้เห็นถึงพันธะสัญญาระยะยาวที่เข้มแข็งที่ธนาคารมีต่อบริษัทซึ่งทริสเรทติ้งคาดหวังว่าจะยังคงดำเนินต่อไปในระยะใกล้ ทริสเรทติ้งยังเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงที่บริษัทจะได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากธนาคารเมื่อบริษัทอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากอีกด้วยเช่นกัน
กลยุทธ์ทางธุรกิจและการบริหารความเสี่ยงของบริษัทยังมีการบูรณาการเข้ากับกลยุทธ์และการบริหารความเสี่ยงของ KTB ด้วย และนอกเหนือจากความร่วมมือด้านการรณรงค์ส่งเสริมการตลาดและการใช้ตราสัญลักษณ์หรือแบรนด์ร่วมกันแล้ว บริษัทยังคงใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสาขาของ KTB ที่มีอยู่ทั่วประเทศในการเสนอผลิตภัณฑ์และให้บริการลูกค้าของกลุ่มอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้ง บริษัทยังรับลูกค้าใหม่ผ่านช่องทางธุรกรรมทางการเงินของ KTB ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ (แอพพลิเคชั่น) หรือที่เรียกว่า ‘KTB Next’ อีกด้วย ทั้งนี้ จำนวนประมาณ 35% ของลูกค้าบัตรเครดิตรายใหม่ของบริษัทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้รับการแนะนำมาจาก KTB นอกจากนี้ KTB และบริษัทยังได้ถือหุ้นร่วมกันในหลายบริษัทซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงินของ KTB อีกด้วย
สถานะทางการตลาดที่เข้มแข็ง
บริษัทสามารถรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจหลักของบริษัทอันได้แก่ธุรกิจบัตรเครดิตและธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากจุดแข็งในด้านการตลาดและแบรนด์ที่แข็งแกร่ง บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ 14% ของสินเชื่อบัตรเครดิตคงค้างในปี 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 12% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ บริษัทยังได้บรรลุเป้าหมายอัตราการเติบโตของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของบริษัทในปี 2565 ที่ระดับ 22% ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการเติบโตของอุตสาหกรรมอีกด้วย ทั้งนี้ การเติบโตของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตนั้นมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการรณรงค์ส่งเสริมการตลาดเชิงรุกและการขยายกลุ่มเป้าหมายไปสู่กลุ่มผู้มีรายได้สูงขึ้น
ในส่วนของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันนั้น บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 5% ในปี 2565 จากระดับ 6% ในปี 2562 เนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19)
พอร์ตสินเชื่อขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
เงินให้สินเชื่อคงค้างของบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 1.04 แสนล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ระดับ 12% จากปีก่อนหน้า โดยพอร์ตสินเชื่อของบริษัทประกอบไปด้วยสินเชื่อบัตรเครดิตในสัดส่วน 67% ของพอร์ตสินเชื่อรวม สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันในสัดส่วน 30% ในขณะที่สินเชื่อที่มีทะเบียนรถยนต์เป็นประกันและสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มีสัดส่วนคิดเป็น 3%
ทริสเรทติ้ง คาดว่า พอร์ตสินเชื่อของบริษัทจะขยายตัวที่ระดับ 6%-12% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการออกบัตรเครดิตใหม่ ตลอดจนสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน และสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน
ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทมีเป้าหมายในการออกบัตรเครดิตใหม่จำนวน 270,000 ใบ โดยมุ่งเน้นไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูงขึ้น ซึ่งทริสเรทติ้งก็คาดว่าปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตจะกลับมาเติบโตที่ระดับ 7%-10% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568
โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและความร่วมมือกับพันธมิตรบัตรเครดิตทั้งรายเดิมและรายใหม่ที่เพิ่มขึ้น ในส่วนของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันนั้น บริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายฐานลูกค้าใหม่อีกจำนวน 90,000 บัญชีในปี 2566 และจะยังคงเน้นกลุ่มผู้มีรายได้ที่สูงขึ้นและเพิ่มการใช้วงเงินของลูกค้าเดิมให้มากขึ้น
ในขณะเดียวกัน ธุรกิจใหม่อันได้แก่สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันภายใต้แบรนด์ ‘เคทีซี พี่เบิ้ม’ ซึ่งเริ่มเปิดให้บริการในปี 2565 นั้นเติบโตในระดับที่ช้ากว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่การนำเสนอธุรกิจใหม่ผ่านทางเครือข่ายสาขาของ KTB นั้นก็ยังคงมีไม่มาก
โดยมียอดสินเชื่อใหม่ในปี 2565 เพียง 1 พันล้านบาทซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่บริษัทคาดการณ์ไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของทริสเรทติ้งเห็นว่าการขยายตัวของสินเชื่อในกลุ่มนี้ที่เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั้นเป็นแนวโน้มในทางที่ดีเนื่องจากทริสเรทติ้งเชื่อว่าจะช่วยให้บริษัทไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านเครดิตที่เพิ่มสูงขึ้นอันเป็นผลจากการแข่งขันที่รุนแรง
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไปบริษัทมีเป้าหมายในการขยายสินเชื่อในเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่ายอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทจะเติบโตทีละน้อยไปอยู่ที่ระดับ 9 พันล้านบาทภายในปี 2568
ในขณะที่ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ดำเนินการผ่าน บริษัท กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด (KTBL) ซึ่งมุ่งเน้นสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และสินเชื่อรถบรรทุกนั้น ทริสเรทติ้ง ประมาณการว่าจะเติบโตที่ระดับ 10%-15% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568
คุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะยังคงค่อนข้างดี
ในมุมมองของทริสเรทติ้ง เห็นว่า สถานะความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทน่าจะยังคงอยู่ในระดับที่ดีเนื่องจากนโยบายการอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดของบริษัท ตลอดจนการปรับปรุงนโยบายการบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องและเงินสํารองผลขาดทุนด้านเครดิตที่เพียงพอ
โดยอัตราส่วนลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต หรือลูกหนี้ชั้นที่ 3 (Non-performing Loan -- NPL) ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ลดลงเหลือ 1.8% ณ สิ้นปี 2565 จาก 3.6% ณ สิ้นปี 2564 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการตัดหนี้สูญของ KTBL
ซึ่ง ณ สิ้นปี 2565 นั้น NPL Ratio ของธุรกิจหลักของบริษัทอันได้แก่สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมโดยอยู่ที่ระดับ 1.1% และ 2.8% ตามลำดับ ขณะที่อัตราส่วนลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (หรือลูกหนี้ชั้นที่ 3) ที่เกิดขึ้นใหม่ (NPL Formation) ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.4% ในปี 2565 จากระดับ 5.5% ในปี 2564
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้สิ้นสุดลงภายในสิ้นปีนี้ก็อาจส่งผลทำให้ NPL Formation ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากประมาณการของทริสเรทติ้งที่คาดว่า NPL Formation ของบริษัทจะกลับมาเพิ่มสูงขึ้นที่ระดับประมาณ 5%-6% ในช่วงระหว่างปี 2566-2568 แล้ว ทริสเรทติ้งจึงประมาณการว่า NPL Ratio ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับประมาณ 3% ในช่วงระหว่างปี 2566-2568
โดยคาดการณ์ว่า อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ย (Credit Cost) ของบริษัทจะยังคงระดับอยู่ที่ 5%-6% ในช่วงระหว่างปี 2566-2568 ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับในช่วงปี 2564-2565 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนการปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS9 และช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งอยู่ที่ระดับเกินกว่า 7%
กรณีดังกล่าวน่าจะทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPL Coverage Ratio) ของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 200% ในช่วงระหว่างปี 2567-2568 จากระดับ 400%-600% ในอดีต
คาดว่าจะมีการทํากําไรที่มั่นคง
บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 7 พันล้านบาทในปี 2565 ซึ่งเพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อนหน้าโดยมีสาเหตุมาจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่ลดลงรวมทั้งอัตราดอกเบี้ยรับและค่าธรรมเนียมรับที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากการขยายตัวของเงินให้สินเชื่อ ทริสเรทติ้ง คาดว่า บริษัทจะรักษาความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้โดยใช้วิธีบริหารจัดการผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นรวมถึงส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ
โดยที่การทำกำไรของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ย (EBT/ARWA) นั้นอยู่ในระดับปานกลางที่ 5.6% ในปี 2565 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งประมาณการว่า EBT/ARWA ของบริษัทจะยังคงอยู่ที่ระดับประมาณ 4%-5% ในช่วงระหว่างปี 2566-2568
และคาดว่าการขยายธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยรับสูงกว่านั้นจะช่วยชดเชยต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นได้บางส่วนโดยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 11% จาก 12.2% ในปี 2565 ส่วนในด้านต้นทุนการดำเนินงานนั้น
ทริสเรทติ้ง คาดว่า อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 36% ในช่วงระหว่างปี 2566–2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 33%-35% ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากค่าใช้จ่ายทางด้านการตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น
เงินทุนยังจะคงแข็งแกร่ง
ในมุมมองของทริสเรทติ้งเชื่อว่าเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับที่เพียงพอสำหรับแผนการขยายธุรกิจในระยะ 3 ปีข้างหน้า ในการนี้ บริษัทมีสถานะเงินทุนที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยประเมินจากอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยง (RAC Ratio) ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 ของบริษัทที่ระดับ 18.7% โดยผลกำไรที่แข็งแกร่งและนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่มีความระมัดระวังน่าจะทำให้ฐานทุนของบริษัทมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ทริสเรทติ้ง คาดการณ์ว่า บริษัทจะรักษาเงินทุนให้มีความแข็งแกร่งต่อไปโดยจะมี RAC Ratio อยู่ในระดับสูงที่ 18%-20% ในช่วงระหว่างปี 2566-2568 โดยอยู่ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งที่คาดว่าอัตราการขยายตัวของสินเชื่อของบริษัทจะเติบโตในอัตราเฉลี่ยที่ 6%-12% และอัตราการจ่ายเงินปันผลตามนโยบายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 40%
มีสถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอ
ทริสเรทติ้ง ประเมินว่า บริษัทมีสถานะแหล่งเงินทุนและสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอ การที่บริษัทสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ทั้งจากตลาดตราสารหนี้และตลาดตราสารทุน รวมทั้งการมีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินอีกหลายแห่งนั้นก็ช่วยทำให้บริษัทมีแหล่งเงินทุนที่เพียงพอและมีความหลากหลายที่จะช่วยรองรับการเติบโตได้
นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับวงเงินสินเชื่อทั้งระยะสั้นและระยะยาวที่เพียงพอจาก KTB เพื่อช่วยลดทอนความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของบริษัทอีกด้วย โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 วงเงินในสัดส่วน 70% ของวงเงินสินเชื่อรวมทั้งสิ้นจำนวน 3.43 หมื่นล้านบาทของบริษัทนั้นเป็นวงเงินสินเชื่อที่ได้รับจาก KTB และในส่วนของโครงสร้างเงินทุนนั้น ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 หนี้สินระยะสั้นของบริษัทมีสัดส่วนคิดเป็น 24% ของหนี้สินรวมของบริษัท
ในขณะที่ ณ เดือนเมษายน 2566 บริษัทมีหุ้นกู้ระยะยาวคงค้างจำนวนประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาท โดยหุ้นกู้มูลค่า 2.4 พันล้านบาทจากจำนวนดังกล่าวจะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2566 ซึ่งบริษัทมีแผนรองรับการออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อนำมาใช้ทดแทนหุ้นกู้ชุดเก่าดังกล่าวแล้ว
แรงกดดันจากสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงของอุตสาหกรรมยังคงดำเนินต่อไป
การทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ตั้งแต่ปลายปี 2564 เป็นต้นมาได้ทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาโดยผู้บริโภคเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ธุรกิจสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคทั้งในกลุ่มบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยสะท้อนจากปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในปี 2565 ที่ระดับ 2.0 ล้านล้านบาท ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น 21.5% จากปีก่อนหน้า
ในขณะที่ยอดคงค้างของสินเชื่อบัตรเครดิตในอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.3% ในปี 2565 อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินทรัพย์ก็มีสัญญาณที่อ่อนแอลงในช่วงปีที่ผ่านมา โดย NPL Ratio ของสินเชื่อบัตรเครดิตทั้งระบบอยู่ที่ระดับ 2.0% ณ สิ้นปี 2565 ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากระดับ 1.8% ณ สิ้นปี 2564 ในขณะที่ NPL Ratio ของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันปรับเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากมาอยู่ระดับ 5.3% ณ สิ้นปี 2565 จากระดับ 3.1% ณ สิ้นปี 2564
ทั้งนี้ คุณภาพสินทรัพย์ของทั้งระบบยังคงมีแนวโน้มอ่อนแอลงภายหลังจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ต่างๆ สิ้นสุดลง นอกจากนี้ สภาวะการแข่งขันที่รุนแรง ตลอดจนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่เรียกเก็บจากลูกหนี้ แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงิน และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเช่นกัน
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในช่วงระหว่างปี 2566-2568 มีดังนี้
- สินเชื่อรวมคงค้างจะเติบโตในอัตราเฉลี่ย 6%-12% ต่อปี
- อัตราผลตอบแทนด้านดอกเบี้ยรับจะอยู่ในช่วงประมาณ 14.8%
- ต้นทุนทางการเงินจะอยู่ในช่วง 3.1%-5%
- ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ยจะอยู่ที่ระดับ 5.1%-2%
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ‘Stable’ หรือ ‘คงที่’ สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้ง ว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะทางการตลาดของธุรกิจสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเอาไว้ได้ ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนความคาดหมายของทริสเรทติ้ง ด้วยว่าฐานทุนและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งและคุณภาพสินทรัพย์จะยังคงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้อีกด้วย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากฐานทุนของบริษัทมีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดย RAC Ratio อยู่ในระดับเกินกว่า 25% อย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอาจเกิดขึ้นได้หาก RAC Ratio ของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 12%
หรือคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจนส่งผลกระทบทำให้อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ยเพิ่มสูงเกินกว่า 10% ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอาจส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทได้อีกด้วย
นอกจากนี้ หากระดับการสนับสนุนที่ KTB มีต่อบริษัทเปลี่ยนแปลงไปหรือมุมมองของทริสเรทติ้งที่มีต่อสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยที่มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของ KTB เปลี่ยนแปลงไปก็อาจมีผลกระทบต่ออันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทได้ด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564 |
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร, 17 กุมภาพันธ์ 2563 |
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTC)
อันดับเครดิตองค์กร: |
AA- |
อันดับเครดิตตราสารหนี้: |
|
KTC239A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
AA- |
KTC23NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,140 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
AA- |
KTC23DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 |
AA- |
KTC241A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
AA- |
KTC243A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
AA- |
KTC247A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
AA- |
KTC248A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
AA- |
KTC24OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 830 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
AA- |
KTC24NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 415 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
AA- |
KTC24NB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 |
AA- |
KTC253A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
AA- |
KTC254A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
AA- |
KTC259A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
AA- |
KTC259B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
AA- |
KTC25NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
AA- |
KTC25NB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 |
AA- |
KTC262A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
AA- |
KTC262B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
AA- |
KTC269A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
AA- |
KTC26NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,030 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
AA- |
KTC26NB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
AA- |
KTC26DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 |
AA- |
KTC277A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,232 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
AA- |
KTC278A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
AA- |
KTC278B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
AA- |
KTC27OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
AA- |
KTC27NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 |
AA- |
KTC282A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,250 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 |
AA- |
KTC288A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,065 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 |
AA- |
KTC297A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 |
AA- |
KTC29OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,700 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 |
AA- |
KTC301A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573 |
AA- |
KTC318A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 |
AA- |
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 15,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 10 ปี |
AA- |
แนวโน้มอันดับเครดิต: |
Stable |
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ [email protected] โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
© บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้
ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html