WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

BLSบล.บัวหลวง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 
 
วิเคราะห์ตลาดและแนวโน้มขึ้นต่อ
  วันนี้คาดดัชนีจะแกว่งตัวขึ้นกรอบด้านบนแถว 1,790/1,800 จุด แนวรับ 1,770 จุด โดยที่เมื่อวานนี้ดัชนี
ปรับตัวขึ้นทะลุกรอบระยะสัปดาห์ที่ 1,770 จุด นำโดยหุ้นโรงไฟฟ้า พลังงาน-น้ำมัน โรงกลั่นฯ
รายงานการประชุม เฟด (12-13 ธ.ค. 2017) ส่งสัญญาณเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2018 นี้ (เป็นไป
ตามที่ตลาดคาดการณ์) อย่างไรก็ดีภายในยังมีความเห็นที่แตกต่างว่าการขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ อาจเป็น
การดำเนินการที่แข็งกร้าวเกินไป และอาจขัดขวางเป้าหมายการผลักดันเงินเฟ้อให้กลับสู่ระดับ 2% ของเฟด
ระยะสัปดาห์: ดัชนีปรับตัวขึ้นนำโดยหุ้นใหญ่ หุ้นพลังงาน จนทะลุหรอบด้านบนที่ 1,770 จุด เราคาดช่วงที
เหลือของสัปดห์ดัชนีจะแกว่งในกรอบ 1,770 – 1,800 จุด และยังคงมุมมองว่า แรงขายจาก LTF จะไม่มีนัย
ยะพอกดดันให้ตลาดปรับลงแรงจนหลุด 1,730 จุด
หุ้นแนะนำวันนี้
แนะหุ้นโรงไฟฟ้า และ โรงกลั่นที่ laggard เมื่อวานนี้
  GPSC แนวรับ 71 ต้าน 74 Stop loss 70
SPRC แนวรับ 17 ต้าน 18 Stop loss 16.5
รายงานวันนี้
กลุ่มขนส่ง: Air plays building altitude in 1Q18
ทางอากาศ: เราคาดตัวเลขผู้โดยสารทางอากาศจะเติบโตทั้ง YoY (ฐานต่ำทัวร์ศูนย์เหรียญ และตัวเลข
นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น) และ QoQ (ปกติไตรมาส 1 เป็นฤดูกาลการท่องเที่ยว) ซึ่งจะหนุนให้กำไรเติบโตได้
ทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้งกลุ่มยังได้รับผลประโยชน์จากมาตรการลดภาษีการท่องเที่ยวเมืองรอง 55
จังหวัด
ทางบก: เรามองว่าการเติบโตของกลุ่มจะไม่โดดเด่นใน 1Q18 ซึ่งปกติจะเป็น Low season ซึ่งคาดจำนวน
ผู้ใช้จะลดลง QoQ แต่เรายังมองกำไรจะเติบโตได้ YoY และ QoQ จากการรับรู้กำไรจากบริษัทลูกและ
ค่าใช้จ่ายที่กลับมาสู่ระดับปกติของทั้ง BTS และ BEM
  ทางน้ำ: กลุ่มเดินเรือกำลังอยู่ในช่วง Low season เช่นกัน ซึ่งกิจกรรมจากทางประเทศจีนจะลดลงไป
ตามปกติ (BDI ปรับตัวลดลงเฉลี่ย 31% QoQ ในอดีต) เรามองว่ากำไรของกลุ่มปรับตัวลดลง QoQ แต่
เพิ่มขึ้น YoY (Demand เติบโต มากกว่า Supply)
  สำหรับ 1Q18 เราชอบกลุ่มขนส่งทางอากาศมากที่สุด และเลือก AAV และ THAI เป็น Top picks
MCOT: Wait-and-see stance pending improved earnings visibility
  แม้ว่าบริษัทมีความพยายามที่จะเพิ่มเรตติ้งของช่องทั้ง HD และ Family เพื่อกระตุ้นรายได้ รวมถึงปรับลด
ต้นทุนลง แต่เราเชื่อว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน ถึงจะเห็นผลกระทบต่อกำไร สำหรับโครงการ
พัฒนาที่ดินที่มีอยู่ในมือ เรามองว่ายังอยู่ในขั้นเริ่มต้น และต้องรอการอนุมัติจากทางรัฐบาล ซึ่งคาดต้องใช้
เวลาอีกซักระยะ เรายังคงแนะนำ wait-and-see รอเห็นการฟื้นตัวของรายได้และกำไรในปี 2018 เรายังคง
คำแนะนำ ถิอ
หุ้นมีข่าว
  (+) AIT ตั้งเป้ารายได้ปี 2561 โต 10% แตะ 6 พันล้านบาท ปัจจุบันมี Backlog ราว 3 พันล้านบาท คาด
ว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2561 อีกประมาณ 2.6-2.7 พันล้านบาท เดินหน้าเข้าประมูลงานภาครัฐ-เอกชน
เต็มเหนี่ยว (ที่มา นสพ. ทันหุ้น)
  (+) SIMAT ลั่นผลงานปีนี้เทิร์นอะราวด์ มั่นใจรายได้-กำไรโตกระฉูด ล่าสุดคว้าเงินสดจากการขายหุ้น
PP กว่า 119 ล้านบาท ลุยขยายธุรกิจเต็มสูบ รุกอินเทอร์เน็ตตามอาคาร พร้อมดีลเจรจาลงทุนธุรกิจใหม่ คาด
สรุปเร็วๆ นี้ (ที่มา นสพ. ข่าวหุ้น)
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
4 Elements… 2018
  หากฟองสบู่ Bitcoin แตก… เราไม่คิดว่า Market Caps ของ Bitcoin ตอนนี้ใหญ่พอ ที่จะสั่นคลอนหรือ
สะเทือนความมั่งคั่งโดยรวมของตลาดหุ้น หากเกิดภาวะฟองสบู่บิตคอยแตก และ เชื่อว่าตลาดบิตคอยที่ใหญ่
ขึ้นตลอดปีที่ผ่านมา กลับจะเพิ่มความมั่งคั่งต่อนักลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจทางอ้อม ตลอดจนความ
ต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจาก “เหมืองบิตคอย” (+BANPU โรงไฟฟ้า หุ้นพลังงาน)
2nd Wave of Internet connectivity การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีระบบ Automation และ
e-Commerce ซึ่งกดดันอำนาจต่อรองราคาของผู้ผลิตไม่ให้ปรับขึ้นราคาได้มากนัก เราจึงเห็นตัวเลขเงิน
เฟ้อทั่วโลกไม่ได้ปรับขึ้นอย่างที่เคยเป็นตามทฤษฎีในอดีต และเงินหมุนเวียนที่มีอยู่สูงใน ตลาด
e-Commerce คาดส่งผลบวกต่อกลุ่ม ค้าปลีกที่เกี่ยวข้องกับ Smart phone และอุปกรณ์รองรับการเติบโต
ของธุรกิจ e-Commerce (+COM7 JMART / UTP และ Logistics ที่เกี่ยวข้องกับ e-Commerce)
เงินเฟ้อ(ตามทฤษฏี)ต่ำ เพราะผลกระทบต่อเนื่องของ 2nd Wave of Internet connectivity แต่
ดอกเบี้ยอาจขึ้นได้เร็ว การขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และ กนง.ในปีนี้ ตลาดคาดว่าจะมีการปรับขึ้น 3 ครั้ง
เหมือนกัน โดยดอกเบี้ยไทย และ สหรัฐฯ สิ้นปี 2018 คาดจบที่ 2.25% เท่ากัน (กรอบบนของเฟด) ซึ่งคิดว่า
การที่เงินเฟ้อต่ำกว่าเป้าหมายในระหว่างปีนี้ จะไม่ใช่ปัจจัยที่จะกดดันให้ดอกเบี้ยขึ้นช้าอีกต่อไป (+BBL
KBANK / -TISCO TCAP KKP SAWAD MTLS)
  Helicopter money ending ผู้กำหนดนโยบายการเงินทั่วโลกจะเริ่มอัดฉีดเงินเข้าระบบน้อยลงเรื่อยๆ
และให้น้ำหนักกับการรักษาเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น ซึ่งมองว่าการแข่งกันทำให้ค่าเงินสกุลหลักอ่อน
ค่าเหมือนในอดีตน่าจะน้อยลงตามลำดับ และเงินบาทอาจไม่อ่อนค่าอย่างทีทุกคนคิด...(บวกต่อเงินทุนไหล
เข้าหุ้นไทย)
  *Bitcoin ได้มีการเทรดแพร่หลายในสกุลเงินเยนโดยคิดเป็น 40% ขณะที่ Market Cap ของ Bitcoin สิ้น
ปีอยู่ที่ราว US$2.8 แสนล้าน หากรวม cryptocurrencies อื่นด้วยมูลค่าตลาดจะเพิ่มไปถึง US$5.23 แสน
ล้าน
  และด้วยมูลค่าที่มีการเทรดกันจนดันราคา Bitcoin เพิ่มไปถึง 1400% ในปีที่แล้ว จนกลายเป็นที่ถกเถียงถึง
ผลกระทบโดยรวมต่อเศรษฐกิจและตลาดทุน หากฟองสบู่ Bitcoin แตก...
  แต่ จากสถิติการล่มสลายของยุค Dotcom เราเชื่อว่าหาก Bitcoin เกิดภาวะฟองสบู่แตกจริงจะไม่ได้กระทบ
ตลาดหุ้นจนเกิดเป็นวิกฤตเพราะ มูลค่า Bitcoin ยังห่างจาก Dotcom bubble ที่มีมูลค่าในปี 2000 สูงถึง
US$2.9 ล้านล้าน และ Market Caps ของ Bitcoin ยังห่างจาก Market Caps ตลาดหุ้นทั่วโลกปัจจุบัน ที่
US$79 ล้านล้าน อยู่มาก
  ในแง่บวก Bitcoin ได้เพิ่มกำลังซื้อของนักลงทุนในญี่ปุ่น (ที่เน้นญี่ปุ่นเพราะมีสัดส่วนในการเทรด Bitcoin
เกือบครึ่งหนึ่งของโลก) โดยพบว่ากำลังซื้อจากความมั่งคั่งเพราะ Bitcoin จะมีอยู่เกือบ 1 แสนล้านเยน
ความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจาก “ธุรกรรม Bitcoin” โดยได้มีการประเมินการบริโภคไฟฟ้าต่อปีอยู่ที่
33.2TWh หรือคิดเป็น US$1.6 พันล้าน ซึ่งเป็นการขยายตัวที่เร็วมาก และ 71% ของ “Bitcoin mining”
อยู่ที่ จีน ซึ่งมีต้นทุนไฟฟ้าจากพลังงานถ่านหินที่ถูก ทำให้คาดว่า หากตลาด Bitcoin ยังโตต่อได้อีกในปีนี้
จะส่งผลต่อความต้องการถ่านหินที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน (+BANPU)
  แรงขาย LTF ช่วงต้นปี...นับเฉพาะที่ครบกำหนด 5 ปีปฏิทิน คือคนที่ซื้อมาตั้งแต่ 2014 คาดว่าจะไม่มี
แรงขายที่มีผลต่อตลาดมากนัก ดูจากข้อมูล มอร์นิ่ง สตาร์ เราพบว่า
  1) ผลตอบแทนไม่จูงใจให้ขาย ต้นทุนในปี 2014 นั้น ดัชนีฯอยู่ที่ประมาณ 1,200-1,400 จุด ซึ่ง
ผลตอบแทนเทียบกับระดับ 1,700 จุด นั้นยังน้อยกว่าปีก่อนๆ ค่อนข้างมาก (เช่นปี 2008 ต้นทุน
400 จุด จึงมีแรงขายสุทธิในปี 2012 สูงถึง 2 หมื่นล้านบาท)
  2) คนที่คิดจะขาย LTF ได้ขายไปมากในปี 2017 นับตั้งแต่ มค.-มิย. มีแรงขายสุทธิจาก LTF
1.52 หมื่นล้านบาท นับตั้งแต่ มค.-มิย.
  3) เงินหมุนจากคนที่ลงทุน LTF ปี 2014 มีน้อยกว่าทุกปี พิจารณาจากแรงขายสุทธิในปี 2014
มีเพียง 1,793 ล้านบาท เทียบกับปี 2013 ที่ 8.2 พันลบ. ปี 2015 7 พันลบ. ปี 2016 6.2 พันลบ.
มองได้ว่า เงินที่ขายไปแล้ว นำกลับมาซื้อใหม่ในปี 2014 นั้น ไม่น่าจะมีจำนวนมากเมื่อเทียบกับปี
อื่นๆ
  4) ผู้ลงทุน LTF ส่วนมากเลือกที่จะถือยาว ดูจากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (ครึ่งปีแรก 2017) อยู่ที่
3.3 แสนล้านบาท เทียบกับเงินไหลออกแต่ละปี เราเชื่อว่า ผู้ลงทุน LTF ส่วนมากเลือกที่จะถือ
LTF เกินกว่า 5-7 ปีปฏิทิน ดังนั้นเราจึงไม่กังวลต่อแรงขายระยะสั้น
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ Tel. (662) 618-1336
นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน/ปัจจัยทางเทคนิค
ธนัท พจน์เกษมสิน, นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
นภนต์ ใจแสน, นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน
OO4157

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!