- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 04 January 2018 16:52
- Hits: 7080
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily
SET INDEX
1778.53 +24.82 (+1.42) // Vol. 85,850
มีแนวโน้มไปต่อ คาดสะดุด 1786 จุด กรอบ 1770-1786
เปิดตลาดวันแรกของศักราชใหม่ดัชนีเดินหน้าต่อ ด้วยการเปิดกระโดดสร้าง Gap มีความกว้าง 4.34จุด (1753.73-1758.07) ปรับตัวขึ้นแรงทำ New High 1779 จุด ก่อนที่จะทำปิดใกล้จุดสูงสุดของวันที่ 1778 จุด ทำให้ Momentum ของการขึ้นต่อยังมีอยู่ และกำลังเดินหน้าเข้าใกล้ 1789 จุด ที่เป็น High สุดตั้งแต่มีการเปิดตลาดมา แต่เราให้นัยสำคัญตรงบริเวณ 1786 จุด เนื่องจากเป็นระดับ 100% หรือ 1 เท่าของกกรอบ Sideway ก่อนหน้านี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีแรงขายทำกำไรตรงบริเวณดังกล่าว บวกกับการขึ้นมาด้วยการเปิด Gap ระหว่างทาง ทำให้ดัชนีน่าจะมีความผันผวนมากขึ้น
แนวรับ 1765-1772
แนวต้าน 1785-1792
1778.53 +24.82 (+1.42) // Vol. 85,850
มีแนวโน้มไปต่อ คาดสะดุด 1786 จุด กรอบ 1770-1786
เปิดตลาดวันแรกของศักราชใหม่ดัชนีเดินหน้าต่อ ด้วยการเปิดกระโดดสร้าง Gap มีความกว้าง 4.34จุด (1753.73-1758.07) ปรับตัวขึ้นแรงทำ New High 1779 จุด ก่อนที่จะทำปิดใกล้จุดสูงสุดของวันที่ 1778 จุด ทำให้ Momentum ของการขึ้นต่อยังมีอยู่ และกำลังเดินหน้าเข้าใกล้ 1789 จุด ที่เป็น High สุดตั้งแต่มีการเปิดตลาดมา แต่เราให้นัยสำคัญตรงบริเวณ 1786 จุด เนื่องจากเป็นระดับ 100% หรือ 1 เท่าของกกรอบ Sideway ก่อนหน้านี้ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีแรงขายทำกำไรตรงบริเวณดังกล่าว บวกกับการขึ้นมาด้วยการเปิด Gap ระหว่างทาง ทำให้ดัชนีน่าจะมีความผันผวนมากขึ้น
แนวรับ 1765-1772
แนวต้าน 1785-1792
Technical Analyst : พรรณนภา เขมะสุรัตน์ // เลขทะเบียน 060110 // Tel. : 02-648-1124 // phannapa.k@ktbst .co.th
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
" Flow ยังอยู่ แต่ความแรงลดลง "
ทิศทางตลาดหุ้นไทย :
ตลาดหุ้นไทยวานนี้มีแรงซื้อเข้ามามากจากนักลงทุนต่างประเทศ เราคาดว่าตลาดหุ้นในวันนี้ยังคงสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง แต่อาจมีแรงขายทำกำไรเข้ามาให้เห็นบ้าง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ที่สำคัญเข้ามากระทบตลาด .... ภาพต่างประเทศ ดัชนีดาวโจนส์ยังปรับตัวสูงขึ้นทำนิวไฮได้ต่อเนื่อง จากตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมาดีและรายงานการประชุม Fed ที่ระบุว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป .... ปัจจัยในประเทศ วานนี้ไม่มีมติ ครม. ที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดออกมา ติดตามตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่จะประกาศเช้านี้ โดยเดือนก่อนออกมาดีที่ระดับ 78.00
กลยุทธ์การลงทุน :
ด้วยมุมมองที่ว่าตลาดจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องแต่มีกรอบการขึ้นที่จำกัด จึงแนะนำให้เข้าลงทุนในลักษณะการเก็งกำไรระยะสั้น โดยหุ้นขนาดใหญ่ที่ติด most active และตลาดยังให้ความสนใจต่อเนื่อง ได้แก่ PTTEP, ADVANC
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ : AMA, STEC
หุ้นแนะนำทางเทคนิค: SAWAD , MEGA, MBK
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) PTTEP : ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาได้ดีจากแรงหนุนของราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้นประมาณ 2.5% ในระยะเวลา 1 สัปดาห์ โดยเรามองว่าราคาน้ำมันดิบมีโอกาสที่ปรับตัวสูงขึ้นได้ต่อเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบที่ยังยืดเยื้อ และการประชุม OPEC ครั้งก่อนที่มีการตกลงลดกำลังการผลิต
(+) ADVANC : คาดว่า ADVANC ยังได้รับประเด็นบวกต่อเนื่องจากการคาดการณ์การประมูลคลื่น 850 และ 1800 MHz ที่จะไม่รุนแรงมากนัก อีกทั้งการอนุมัติให้ ADVANC ผ่อนจ่ายการชำระงวดสุดท้ายของคลื่น 900 MHz ในสัปดาห์ก่อนยังส่งผลบวกต่อ ADVANC อย่างต่อเนื่อง
(+) AMA : บริษัทคาด กำไร 4/60 นี้ จะดีที่สุดของปี จากขนส่งสินค้าได้เต็มกองเรือ … ปี 2561 ตั้งเป้ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% เตรียมขยายกองเรืออีกอย่างน้อย 2 ลำ (เดิมมี 10 ลำ) และปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าเพิ่มเติม … ผลสำรวจ Bloomberg ประเมินกำไร 2560-61 ไว้ที่ 227 ลบ. และ 351 ลบ. ขยายตัว 57% และ 55% ตามลำดับ
(+) STEC : ประเมินภาครัฐฯ จะทยอยประกาศและอนุมัติโครงการในช่วง 1Q มากขึ้น และช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มรับเหมาปรับตัวลดลงมาค่อนมากจากความล่าช้าในการอนุมัติโครงการต่างๆ .... สำหรับ STEC มีประเด็นบวกที่สำคัญ คือ ถือหุ้น GULF อยู่ 40 ล้านหุ้น ซึ่งหากยังไม่ขายหุ้นจำนวนนี้ออกไป STEC จะมีกำไรจากเงินลงทุน คำนวณจากราคาตลาดที่ 68.75 บาท กว่า900 ลบ. (STEC มีกำไรสุทธิ 9M/60 ที่ 709 ลบ.)
ทิศทางตลาดหุ้นไทย :
ตลาดหุ้นไทยวานนี้มีแรงซื้อเข้ามามากจากนักลงทุนต่างประเทศ เราคาดว่าตลาดหุ้นในวันนี้ยังคงสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง แต่อาจมีแรงขายทำกำไรเข้ามาให้เห็นบ้าง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ที่สำคัญเข้ามากระทบตลาด .... ภาพต่างประเทศ ดัชนีดาวโจนส์ยังปรับตัวสูงขึ้นทำนิวไฮได้ต่อเนื่อง จากตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมาดีและรายงานการประชุม Fed ที่ระบุว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป .... ปัจจัยในประเทศ วานนี้ไม่มีมติ ครม. ที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดออกมา ติดตามตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่จะประกาศเช้านี้ โดยเดือนก่อนออกมาดีที่ระดับ 78.00
กลยุทธ์การลงทุน :
ด้วยมุมมองที่ว่าตลาดจะสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องแต่มีกรอบการขึ้นที่จำกัด จึงแนะนำให้เข้าลงทุนในลักษณะการเก็งกำไรระยะสั้น โดยหุ้นขนาดใหญ่ที่ติด most active และตลาดยังให้ความสนใจต่อเนื่อง ได้แก่ PTTEP, ADVANC
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ : AMA, STEC
หุ้นแนะนำทางเทคนิค: SAWAD , MEGA, MBK
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
หุ้น Active ที่น่าสนใจ
(+) PTTEP : ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาได้ดีจากแรงหนุนของราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้นประมาณ 2.5% ในระยะเวลา 1 สัปดาห์ โดยเรามองว่าราคาน้ำมันดิบมีโอกาสที่ปรับตัวสูงขึ้นได้ต่อเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบที่ยังยืดเยื้อ และการประชุม OPEC ครั้งก่อนที่มีการตกลงลดกำลังการผลิต
(+) ADVANC : คาดว่า ADVANC ยังได้รับประเด็นบวกต่อเนื่องจากการคาดการณ์การประมูลคลื่น 850 และ 1800 MHz ที่จะไม่รุนแรงมากนัก อีกทั้งการอนุมัติให้ ADVANC ผ่อนจ่ายการชำระงวดสุดท้ายของคลื่น 900 MHz ในสัปดาห์ก่อนยังส่งผลบวกต่อ ADVANC อย่างต่อเนื่อง
(+) AMA : บริษัทคาด กำไร 4/60 นี้ จะดีที่สุดของปี จากขนส่งสินค้าได้เต็มกองเรือ … ปี 2561 ตั้งเป้ารายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% เตรียมขยายกองเรืออีกอย่างน้อย 2 ลำ (เดิมมี 10 ลำ) และปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าเพิ่มเติม … ผลสำรวจ Bloomberg ประเมินกำไร 2560-61 ไว้ที่ 227 ลบ. และ 351 ลบ. ขยายตัว 57% และ 55% ตามลำดับ
(+) STEC : ประเมินภาครัฐฯ จะทยอยประกาศและอนุมัติโครงการในช่วง 1Q มากขึ้น และช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มรับเหมาปรับตัวลดลงมาค่อนมากจากความล่าช้าในการอนุมัติโครงการต่างๆ .... สำหรับ STEC มีประเด็นบวกที่สำคัญ คือ ถือหุ้น GULF อยู่ 40 ล้านหุ้น ซึ่งหากยังไม่ขายหุ้นจำนวนนี้ออกไป STEC จะมีกำไรจากเงินลงทุน คำนวณจากราคาตลาดที่ 68.75 บาท กว่า900 ลบ. (STEC มีกำไรสุทธิ 9M/60 ที่ 709 ลบ.)
หุ้นมีประเด็น
(0) BANK : (น้ำหนักเท่ากับตลาด)
กำไรสุทธิรวมใน 4Q17 ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท ลดลง 4.5% YoY แต่เพิ่มขึ้น 6.1% QoQ โดยการหดตัว YoY เกิดจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยสูญที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่เพิ่มขึ้น QoQ เนื่องจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล โดยเราคาดว่า ธนาคารที่จะโตได้ทั้ง YoY และ QoQ มี BBL, TCAP และ TMB ในส่วนของสินเชื่อใน 4Q17 เราคาดว่า จะเติบโตได้ที่ 3.6% YoY และ 1.9% QoQ ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อรายใหญ่และสินเชื่อรายย่อย ในแง่ของ NPL Ratio เรามองว่า จะทำจุดสูงสุดในช่วง 4Q17 ที่ระดับ 3.40% และจะค่อยๆลดลงในปี 2018
เรามองว่า จะทำจุดสูงสุดในช่วง 4Q17 ที่ระดับ 3.40% และจะค่อยๆลดลงในปี 2018 เรายังคงคำแนะนำสำหรับกลุ่มธนาคารฯเป็น "เท่ากับตลาด" โดยเราให้เก็งกำไรใน TMB ราคาเป้าหมายที่ 3.20 บาท จากงบ 4Q17 ที่จะออกมาเติบโตดีเหนือกลุ่ม และ KKP ราคาเป้าหมายที่ 84 บาท จาก IFF ที่จะเริ่มขายหน่วยลงทุนได้ใน มี.ค. 2018 ซึ่งจะช่วยหนุนให้มีรายได้ในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามาเพิ่มเติม ส่วนในระยะยาว เรายังชอบ BBL และ KBANK
(+) TU : (ถือ, ราคาเป้าหมาย 22.00 บาท)
ปัจจัยบวกระยะสั้นจากต้นทุนราคาปลาที่ลดลงรวดเร็วต้นทุนราคาปลาที่ลดลงอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยบวกระยะสั้นหลังจากพ้นช่วงห้ามจับปลา FADBAN แล้ว ชาวประมงสามารถดำเนินการจับปลาได้มากขึ้น ประกอบกับสภาพอากาศกลับมาเอื้ออำนวย รวมถึงกองเรือหาปลาที่เพิ่มจำนวนขึ้น ทำให้อุปทานมากขึ้น ราคาปลาทูน่าปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังมองการปรับตัวลดลงดังกล่าวเป็นระยะสั้นและยังต้องติดตามราคาปลาในระยะยาว โดยการจับปลามีต้นทุนที่สูงขึ้น และอาจไม่คุ้มเมื่อราคาขยับเข้าใกล้ 1,600 เหรียญ ชาวประมงจะลดการจับปลาลง และอาจทำให้ราคาปลาพุ่งขึ้นไปอีก จึงคาดว่า ราคาปลาทูน่าในปี 2018 จะยังเคลื่อนไหวในระดับราคาเฉลี่ย 1,800 เหรียญต่อตัน ซึ่งยังคงใกล้เคียงกับปี 2017
ระยะสั้นยังมีปัจจัยบวกจากแนวโน้มราคาต้นทุนปลาทูน่าที่จะลดลงรวดเร็วลงมาจากจุด peak คาดว่า จะเห็นโอกาสในการเก็งกำไร TU ในระยะสั้นนี้ และในระยะยาว คาดว่าตลาดปลาทูน่าจะสามารถปรับเข้าสู่ดุลยภาพได้มากขึ้น เราแนะนำ "ถือ" เป้าหมาย 22.00 บาท
(+) WHA : (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 5.00 บาท)
เรามองว่าธุรกิจการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเพื่อขายนั้นจะกลับมาสู่วัฏจักรขาขึ้นใหม่ ตามปัจจัยหนุนต่างๆ ทั้งโครงการ EEC และการสนับสนุนการลงทุนของภาครัฐ โดยเรามองว่า WHA จะได้รับผลประโยชน์ที่สูง เนื่องจากภายหลังที่บริษัทได้เข้าซื้อกิจการของ HEMRAJ ในปี 2015 บริษัทจะมีการดำเนินงานที่ครบวงจรมากยิ่งขึ้น และมีพื้นที่นิคมที่อยู่ใน EEC เป็นจำนวนมาก เราคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิปี 2018-2019 ที่ 3.5 และ 4.0 พันล้านบาท ขยายตัวที่ 20% และ 16% ตามลำดับ จากการส่งเสริม EEC และการคมนาคมขนส่งที่ดีขึ้น ส่งผลให้ยอดขายที่ดินในนิคมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้เรามองว่าบริษัทจะพัฒนา และขยายกำลังการผลิตสาธารณูปโภค เพื่อให้บริการในนิคมอย่างต่อเนื่อง เราเริ่มต้นให้คำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม ที่ 5.00 บาท (อิงวิธี SOTP) โดยเราคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิระยะยาวที่ CAGR ปี 2018-2020 เฉลี่ย 18%
(0) BANK : (น้ำหนักเท่ากับตลาด)
กำไรสุทธิรวมใน 4Q17 ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท ลดลง 4.5% YoY แต่เพิ่มขึ้น 6.1% QoQ โดยการหดตัว YoY เกิดจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยสูญที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่เพิ่มขึ้น QoQ เนื่องจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล โดยเราคาดว่า ธนาคารที่จะโตได้ทั้ง YoY และ QoQ มี BBL, TCAP และ TMB ในส่วนของสินเชื่อใน 4Q17 เราคาดว่า จะเติบโตได้ที่ 3.6% YoY และ 1.9% QoQ ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อรายใหญ่และสินเชื่อรายย่อย ในแง่ของ NPL Ratio เรามองว่า จะทำจุดสูงสุดในช่วง 4Q17 ที่ระดับ 3.40% และจะค่อยๆลดลงในปี 2018
เรามองว่า จะทำจุดสูงสุดในช่วง 4Q17 ที่ระดับ 3.40% และจะค่อยๆลดลงในปี 2018 เรายังคงคำแนะนำสำหรับกลุ่มธนาคารฯเป็น "เท่ากับตลาด" โดยเราให้เก็งกำไรใน TMB ราคาเป้าหมายที่ 3.20 บาท จากงบ 4Q17 ที่จะออกมาเติบโตดีเหนือกลุ่ม และ KKP ราคาเป้าหมายที่ 84 บาท จาก IFF ที่จะเริ่มขายหน่วยลงทุนได้ใน มี.ค. 2018 ซึ่งจะช่วยหนุนให้มีรายได้ในการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินเข้ามาเพิ่มเติม ส่วนในระยะยาว เรายังชอบ BBL และ KBANK
(+) TU : (ถือ, ราคาเป้าหมาย 22.00 บาท)
ปัจจัยบวกระยะสั้นจากต้นทุนราคาปลาที่ลดลงรวดเร็วต้นทุนราคาปลาที่ลดลงอย่างรวดเร็วเป็นปัจจัยบวกระยะสั้นหลังจากพ้นช่วงห้ามจับปลา FADBAN แล้ว ชาวประมงสามารถดำเนินการจับปลาได้มากขึ้น ประกอบกับสภาพอากาศกลับมาเอื้ออำนวย รวมถึงกองเรือหาปลาที่เพิ่มจำนวนขึ้น ทำให้อุปทานมากขึ้น ราคาปลาทูน่าปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังมองการปรับตัวลดลงดังกล่าวเป็นระยะสั้นและยังต้องติดตามราคาปลาในระยะยาว โดยการจับปลามีต้นทุนที่สูงขึ้น และอาจไม่คุ้มเมื่อราคาขยับเข้าใกล้ 1,600 เหรียญ ชาวประมงจะลดการจับปลาลง และอาจทำให้ราคาปลาพุ่งขึ้นไปอีก จึงคาดว่า ราคาปลาทูน่าในปี 2018 จะยังเคลื่อนไหวในระดับราคาเฉลี่ย 1,800 เหรียญต่อตัน ซึ่งยังคงใกล้เคียงกับปี 2017
ระยะสั้นยังมีปัจจัยบวกจากแนวโน้มราคาต้นทุนปลาทูน่าที่จะลดลงรวดเร็วลงมาจากจุด peak คาดว่า จะเห็นโอกาสในการเก็งกำไร TU ในระยะสั้นนี้ และในระยะยาว คาดว่าตลาดปลาทูน่าจะสามารถปรับเข้าสู่ดุลยภาพได้มากขึ้น เราแนะนำ "ถือ" เป้าหมาย 22.00 บาท
(+) WHA : (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 5.00 บาท)
เรามองว่าธุรกิจการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเพื่อขายนั้นจะกลับมาสู่วัฏจักรขาขึ้นใหม่ ตามปัจจัยหนุนต่างๆ ทั้งโครงการ EEC และการสนับสนุนการลงทุนของภาครัฐ โดยเรามองว่า WHA จะได้รับผลประโยชน์ที่สูง เนื่องจากภายหลังที่บริษัทได้เข้าซื้อกิจการของ HEMRAJ ในปี 2015 บริษัทจะมีการดำเนินงานที่ครบวงจรมากยิ่งขึ้น และมีพื้นที่นิคมที่อยู่ใน EEC เป็นจำนวนมาก เราคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิปี 2018-2019 ที่ 3.5 และ 4.0 พันล้านบาท ขยายตัวที่ 20% และ 16% ตามลำดับ จากการส่งเสริม EEC และการคมนาคมขนส่งที่ดีขึ้น ส่งผลให้ยอดขายที่ดินในนิคมเพิ่มขึ้น นอกจากนี้เรามองว่าบริษัทจะพัฒนา และขยายกำลังการผลิตสาธารณูปโภค เพื่อให้บริการในนิคมอย่างต่อเนื่อง เราเริ่มต้นให้คำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม ที่ 5.00 บาท (อิงวิธี SOTP) โดยเราคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิระยะยาวที่ CAGR ปี 2018-2020 เฉลี่ย 18%
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (03 ม.ค.) - ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,778.53 จุด เพิ่มขึ้น 24.82 จุด หรือ +1.42% มูลค่าการซื้อขาย 85,850.49 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 24 ปี จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งมีสถานะเป็นซื้อสุทธิถึง 2,695 ล้านบาท นอกจากนี้ตลาดยังได้แรงหนุนจากค่าเงินบาที่ยังแข็งค่า
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (03 ม.ค.) - ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,778.53 จุด เพิ่มขึ้น 24.82 จุด หรือ +1.42% มูลค่าการซื้อขาย 85,850.49 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 24 ปี จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งมีสถานะเป็นซื้อสุทธิถึง 2,695 ล้านบาท นอกจากนี้ตลาดยังได้แรงหนุนจากค่าเงินบาที่ยังแข็งค่า
ปัจจัยต่างประเทศ
(+) รายงานการประชุม Fed ระบุว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป - รายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯประจำเดือนธ.ค. 2017 ระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมกับส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2018 สำหรับการประชุมเฟดครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 30-31 ม.ค. ตลาดคาดการณ์ว่ามีโอกาส 56.3% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนมี.ค.
(+) เศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาดี - ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของดีดตัวสู่ระดับ 59.7 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 58.2 ในเดือนพ.ย.
(+) ราคาน้ำมันเป็นบวกมากขึ้น - จากปัจจัยความไม่สงบในอิหร่าน ขณะที่กลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาลได้จัดการชุมนุมประท้วงติดต่อกันเป็นวันที่ 6 ส่งผลให้
(+) รายงานการประชุม Fed ระบุว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป - รายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯประจำเดือนธ.ค. 2017 ระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่ยังคงสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมกับส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2018 สำหรับการประชุมเฟดครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 30-31 ม.ค. ตลาดคาดการณ์ว่ามีโอกาส 56.3% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนมี.ค.
(+) เศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาดี - ผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของดีดตัวสู่ระดับ 59.7 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 58.2 ในเดือนพ.ย.
(+) ราคาน้ำมันเป็นบวกมากขึ้น - จากปัจจัยความไม่สงบในอิหร่าน ขณะที่กลุ่มผู้ต่อต้านรัฐบาลได้จัดการชุมนุมประท้วงติดต่อกันเป็นวันที่ 6 ส่งผลให้
ปัจจัยในประเทศ
(0) อัตราเงินเฟ้อโต +0.78% จากปีก่อน - ระทรวงพาณิชย์ เผยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) ในเดือน ธ.ค.60 อยู่ที่ 101.37 ขยายตัว 0.78% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 0.08% จากเดือน พ.ย.60 ส่งผลให้ CPI เฉลี่ยทั้งปี 60 ขยายตัว 0.66% สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ. พุ่งขึ้น 1.26 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 61.63 ดอลลาร์/บาร์เรล
(+) ครม. อนุมัติโครงการบ้านประชารัฐ - ครม. มีมติอนุมัติโครงการบ้านคนไทยประชารัฐจำนวน 2,757 ยูนิต พื้นที่รวม 317 ไร่ กรอบวงเงินสินเชื่อโครงการ 4,000 ล้านบาท และให้กองทุนประกันสังคมหารือกับกระทรวงการคลังในการนำเงินมาร่วมทุนอีก 5,000 ล้านบาท .... คาดประเด็นดังกล่าวส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทย (โพสต์ทูเดย์, 04/01/2018)
(+/-) ติดตามตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภค - ช่วงเช้าวันนี้จะมีการประกาศความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งเดือนก่อนตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับสูงที่ 78.00
(0) อัตราเงินเฟ้อโต +0.78% จากปีก่อน - ระทรวงพาณิชย์ เผยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) ในเดือน ธ.ค.60 อยู่ที่ 101.37 ขยายตัว 0.78% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 0.08% จากเดือน พ.ย.60 ส่งผลให้ CPI เฉลี่ยทั้งปี 60 ขยายตัว 0.66% สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ. พุ่งขึ้น 1.26 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 61.63 ดอลลาร์/บาร์เรล
(+) ครม. อนุมัติโครงการบ้านประชารัฐ - ครม. มีมติอนุมัติโครงการบ้านคนไทยประชารัฐจำนวน 2,757 ยูนิต พื้นที่รวม 317 ไร่ กรอบวงเงินสินเชื่อโครงการ 4,000 ล้านบาท และให้กองทุนประกันสังคมหารือกับกระทรวงการคลังในการนำเงินมาร่วมทุนอีก 5,000 ล้านบาท .... คาดประเด็นดังกล่าวส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทย (โพสต์ทูเดย์, 04/01/2018)
(+/-) ติดตามตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภค - ช่วงเช้าวันนี้จะมีการประกาศความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งเดือนก่อนตัวเลขดังกล่าวอยู่ในระดับสูงที่ 78.00
Analyst : Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]
Nontapat Rushtasomboon
License No: 081447
+662 648 1127
[email protected]
OO4151