WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

FSSบล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 

กลยุทธ์วันนี้ >> ถือ Let Profit Run และซื้อเพิ่มในช่วงอ่อนตัว
  ตลาดหุ้นวานนี้ : SET ปรับตัวขึ้นทดสอบระดับ 1,725-1,730 จุดได้ตามคาดก่อนที่จะปิดบวก 6.02 จุด ณ สิ้นวัน โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวและทำให้ราคาปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างดี สถาบันในประเทศยังเป็นฝ่ายซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเป็นวันที่ 10 อีก 1,805 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิวันที่ 2 ติดต่อกันอีก 431 ลบ. (แต่ยัง Net Short ใน Index Futures อีก 7,900 สัญญา)
  แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET จะยังแกว่งตัว Sideways Up ขึ้นไปทดสอบจุดสูงเดิมที่ 1,730 จุด จากสัญญาณทางเทคนิคที่เป็นบวก ขณะที่ความคาดหวังเรื่องมาตรการปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯยังเป็นปัจจัยหนุนหลัก โดยตลาดคาดว่าจะมีการลงมติผ่านร่างกฎหมายในสัปดาห์นี้ก่อนส่งให้ทรัมป์ลงนามรับรองก่อนคริสต์มาส ขณะที่เม็ดเงิน LTF/RMF ช่วงปลายปีจากฝั่งสถาบันในประเทศยังคงซื้อสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องและเป็นตัวขับเคลื่อนการปรับขึ้นของดัชนี
  กลยุทธ์ : ถือ Let Profit Run และทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานเพิ่มในช่วงอ่อนตัว
  หุ้นเด่นเดือน ธ.ค. : BBL, CMO, EPG, MINT, ROBINS
  Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาค US$120 นำโดยเกาหลีใต้ US$105ล้าน ขณะที่ไหลเข้าไทย US$13ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนมีทิศทางไหลเข้าภูมิภาค คาดหวังสภาคองเกรสสหรัฐจะผ่านร่างกฏหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายในสัปดาห์นี้
 
ชวนเม้าท์หุ้นเด่น >> PCSGH <<
เราปรับราคาเป้าหมายปี 2018 ขึ้นจาก 9.60 บาท เป็น 13 บาท จากการรวมโครงการในอนาคต ทั้งการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ EV และการซื้อโรงงานในยุโรปเพื่อเติมเต็มส่วนที่ PCSGH ขาด เช่น Turbochager โดยมีความน่าสนใจตรงที่จะคุ้มทุนทางบัญชีได้ตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มรับรู้
คาดว่าใน 2 สัปดาห์นี้จะได้รับคำสั่งผลิตชิ้นส่วน EV เพิ่มจากลูกค้ารายเดิมที่สั่งมาแล้ว 2 พันลบ. และในต้นปีหน้าจะได้อีก 1 รายใหม่ ซึ่งคิดเป็นมูลค่างานรวมกันฉียด 5 พันลบ. (ทุก 2 พันลบ. จะเพิ่มมูลค่าราว 0.8 บาท/หุ้น)
เราชอบ PCSGH มากสุดในกลุ่ม จากความผันผวนของกำไรที่ต่ำสุด และสามารถสร้างมาร์จิ้นได้ดีสุด ขณะที่ แนวโน้มกำไร 4Q17 คาด +20% Y-Y ส่วนทั้งปีหน้าคาด +22% Y-Y และคาดว่าทั้งกำไรและ ROE จะขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 1 ของอุตสาหกรรมตั้งแต่ปี 2020 ยืนยันซื้อ
 
ประเด็นสำคัญวันนี้
  (+) ต่างชาติมีความเชื่อมั่นมากขึ้น สะท้อนจากกระแสเงินทีไหลเข้าสวนภูมิภาค หลังจาก EU ปรับความสัมพันธ์ด้านการเมืองกับไทย และสหรัฐฯปรับสถานะคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจาก PWL เป็น WL สอดคล้องกับผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ธ.ค. 17 ที่บ่งชี้ว่านักลงทุนต่างประเทศยังเชื่อมั่นกับการลงทุนใน 3 เดือนข้างหน้าอย่างมาก แต่สถาบันและรายย่อยเชื่อมั่นลดลง โดยดัชนีรวมอยู่ที่ 150.81 จุด ลดลง 9.025 จุด อย่างไรก็ตาม คาดว่าแรงซื้อของต่างชาติจะยังไม่กลับไปหนาแน่น เพราะพฤติกรรมในอดีตมักขายสุทธิต่อเนื่องจนถึงหลังปีใหม่  
  (0) TMB รายงานสินเชื่อเดือนพ.ย. +1.5% M-M ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อระยะสั้นในกลุ่มลูกค้า Corporate รวม 11M17 สินเชื่อ +5.9% YTD ดีที่สุดในกลุ่มธนาคาร เมื่อวานนี้มีข่าวจากหนังสือพิมพ์โดยอ้างแหล่งข่าวระบุว่า KTB และ TMB มีแผนจะควบรวมกันเพื่อสร้างขนาดธนาคารไทยให้ใหญ่ขึ้นและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระดับภูมิภาค ในความเห็นของเราเชื่อว่ามีความเป็นไปได้น้อย โดยในแง่โครงสร้างผู้ถือหุ้น ก.การคลังถือหุ้น TMB น้อยลงมากเหลือราว 25% น้อยกว่า ING ที่ถืออยู่ 30% อีกทั้ง TMB มีจุดเด่นของธนาคารและแข่งขันได้โดยเฉพาะจุดเด่นด้าน Digital Banking ขนาดอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อการอยู่รอดของกิจการเหมือนในอดีต คงราคาเหมาะสมที่ 3.20 บาท ราคาปิดวานนี้ที่ 3 บาท มี Upside แคบลง จึงปรับลดคำแนะนำจากซื้อเป็นถือ
  (+) MINT เข้าลงทุนในกิจการ Corbin & King (ดำเนินธุรกิจร้านอาหารและบริหารโรงแรมในลอนดอน) ในสัดส่วน 74% โดยใช้เงินลงทุน 2,547 ลบ. (58 ล้านปอนด์) หากอิงจากข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ณ ปี 2016 Corbin & King ยังมีผลขาดทุนราว 400 ลบ. (9.4 ล้านปอนด์) ทำให้ประมาณการกำไรปี 2018 ของเราที่คาดโต 15.1% มี Downside ราว 5% อย่างไรก็ตามเราเชื่อว่าจากความเชี่ยวชาญในธุรกิจโรงแรมและอาหารของ MINT จะช่วยทำให้ผลการดำเนินงานสามารถ Turnaround ได้ในอนาคต ขณะที่ ราคาซื้อคิดเป็น EV/EBITDA ราว 10 เท่า (EBITDA ปี 2016 อยู่ที่ 5.6 ล้านปอนด์) ซึ่งถือว่าไม่สูง เรายังคงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 48 บาท  
  (+) BJC ได้รับผลดีจากการที่ไทยเบฟชนะการประมูลซื้อไซง่อนเบียร์ในเวียดนามสัดส่วน 53.59% มูลค่า 4.8 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งเดิมเป็นลูกค้าขวดและกระป๋องของ BJC อยู่แล้ว การเข้าถือหุ้นของกลุ่มไทยเบฟ คาดว่าจะทำให้ได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายนี้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม Upside เหลือแคบลงเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมายปี 2018 ที่ 64 บาท แนะนำเพียงเก็งกำไร
 
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
19 ธ.ค.- สหรัฐฯ: ยอดอนุญาตก่อสร้างและยอดสร้างบ้านใหม่ (พ.ย.)
20 ธ.ค.- ไทย: กนง.ประชุม
21 ธ.ค.- ไทย: VCOM เริ่มซื้อขายวันแรก (ราคา IPO 2.88 บาท)
         - สหรัฐ: 3Q17 GDP
         -ญี่ปุ่น: BOJประชุม
22 ธ.ค.- ไทย: ดุลการค้า (พ.ย.), ยอดขายรถ (พ.ย.)
26 ธ.ค.- ไทย: DDD เริ่มซื้อขายวันแรก (ราคา IPO 53 บาท)
28ธ.ค.- ไทย: ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (พ.ย.)
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนปิดบวกและทำนิวไฮต่อ โดยปัจจัยหนุนยังคงมาจากกระแสคาดหวังว่าสภาคองเกรสจะสามารถผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในสัปดาห์นี้ และ ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านที่ขยับขึ้นสูงสุดในรอบราว 18 ปี
(+) ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกสดใสจากแรงหนุนประเด็นมาตราการภาษีสหรัฐ และ ความคืบหน้ากระบวนการ Brexit ที่ยังเดินหน้าในทิศทางที่ดี
(+) ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดบวกตามทิศทางตลาดโลกที่ได้แรงหนุนของความคืบหน้าการมาตราการภาษี
(0) ค่าเงินบาทเช้านี้ปรับตัวในทิศทางอ่อนค่า โดยล่าสุดเคลื่อนไหวแถว 32.62-32.72 บาท/ดอลลาร์
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือน ม.ค. ปิดลบ 0.14 ดอลลาร์/บาร์เรล มาอยู่ที่ 57.16 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยแม้มีปัจจัยหนุนจากปัญหาของท่อขนส่งน้ำมัน และ การประท้วงแรงงานในไนจีเรีย อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันถูกกดดันจากตัวเลขการผลิตในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นเป็น 9.8 ล้านบาร์เรล/วัน
ราคาทองคำ COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ปิดบวก 8.00 ดอลลาร์/ออนซ์ มาอยู่ที่ 1,265.50 ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้นจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า
 
Contact person : Jitra Amornthum
Register : 014530 Tel: 02-646-9966
www.fnsyrus.com FB: Finansia Syrus Research
OO3755

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!