WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน



กลยุทธ์การลงทุน
      วันนี้ยังคงเลือก CHG ([email protected]) เป็น Top Pick จากจุดเด่นที่มีการเติบโตเฉลี่ยเกิน 20% ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า โดยยังเชื่อชอบ HANA(FV@B44), SRICHA([email protected]), GFPT(FV@B18) และ INTUCH(FV@B100)

พลังงานทดแทนยังคงสดใส : DEMCO, GUNKUL
      การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานถือว่าจำเป็นสำหรับประเทศกำลังพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นระบบโทรคมนาคม ได้แก่ ถนน ระบบรถราง ขนส่งมวลชน ซึ่งได้กำหนดไว้ที่ 2.3 ล้านล้านบาท ล่าสุด ภาครัฐได้การลงทุนในสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าและพลังงานรวม 6 โครงการ มูลค่าลงทุนราว 1.72 แสนล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยโครงการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 3 โครงการ คือ ก่อสร้างโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าแม่เมาะเดิม 3.68 หมื่นล้านบาท โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าในภาคตะวันตกและภาคใต้ 6.32 หมื่นล้านบาท และโครงการขยายสถานีไฟฟ้าแรงสูงราว 2 หมื่นล้านบาท


       ขณะที่แผนพัฒนาพลังงานทดแทนไทยปี 2555-2564 (เป็นแผนย่อยของแผนพัฒนาพลังงานปี 2555-2573 ซึ่งอยู่ระหว่างการทบทวน เพื่อให้เหมาะสม เช่น การใช้เชื้อเพลง เป็นต้น) ได้กำหนดให้มีการใช้พลังงานทดแทนเป็น 25% ของกำลังการผลิตทั้งหมด จากเดิม 17% และล่าสุด เมื่อ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เสนอ 2 ให้รับซื้อไฟฟ้าจากไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ฯ ให้ครบตามเป้าหมาย อาทิ โซลาร์ฟาร์ม ส่วนที่เหลือราว 576 เมกะวัตต์ โซลาร์รูฟท็อปขนาดเล็ก 69.36 เมกะวัตต์ โซลาร์เพื่อหน่วยงานราชการและสหกรณ์การเกษตร 800 เมกะวัตต์ พร้อมกับ กำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ Feed-in-Tariff เพื่อใช้ในการรับซื้อไฟฟ้าในปี 2557-58


     ซึ่งจะทำให้ ตลาดพลังงานทดแทนมีโอกาสเติบโตหลายเท่าตัว (จากปัจจุบันต่ำกว่า 10%)ทั้งนี้การลงทุนด้านในโครงการไฟฟ้าดังกล่าวสร้างขึ้นเพื่อรองรับระบบไฟฟ้าที่จะเข้ามาในอนาคต จากความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นคาดจะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า IPP และกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในการเข้าร่วมประมูลในโครงการต่างๆ โดยเราเลือก EGCO (FV@160B) เป็น Top Pick ของกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP และยังคงคำแนะนำซื้อสำหรับ RATCH (FV@60B) และ CKP ([email protected]) และเลือก GUNKUL (FV@20B) เป็น Top pick ของกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน

ค่าการกลั่นทำสถิติสูงต่อเนื่องดีต่อ BCP, TOP
      แม้ว่าล่าสุด สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐประจำสัปดาห์ สิ้นสุด 22 ส.ค. ลดลง 2.1 ล้านบาร์เรล จากสัปดาห์ก่อนหน้า ลดลงมากกว่าที่ตลาดคาดไว้เพียง 9 แสนบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันสำเร็จรูปกลับเพิ่มกล่าวคือน้ำมันกลั่น เพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล แต่หากพิจารณาในรายละเอียดพบว่าสต๊อกน้ำมันเบนซินกลับลดลง 9.6 แสนบาร์เรล แสดงว่าน้ำมันสำเร็จรูปอื่น ๆ เพิ่มขึ้นได้แก่ น้ำมันดีเซล และ น้ำมันเครื่องบิน เป็นต้น (อัตราการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.1% สู่ 93.5%) ทั้งนี้เป็นผลจากความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปที่ลดลง ราว 1.4% (คาดว่าน่าจะเป็นผลจากกิจกรรมการผลิต และ กำลังสิ้นสุดฤดูกาลขับขี่ท่องเทียวในสหรัฐ)


     อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาราคาน้ำมันดิบโลกพบว่ายังคงทรงตัว หรือ ลดลงเล็กน้อยจากวันก่อน โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค. ลดลง 0.13% อยู่ที่ 93.76 เหรียญ/บาร์เรล ราคาน้ำมันดิบ Brent ส่งมอบเดือน ต.ค. ลดลง 0.02% อยู่ที่ 102.63 เหรียญ/บาร์เรล ยกเว้นราคาน้ำมันดิบดูไบ พิ่มขึ้น 0.02% อยู่ที่ 100.84 เหรียญ/บาร์เรล


      ขณะที่ค่าการกลั่นได้ฟื้นตัวเล็กน้อย หลังจากที่ทำสถิติสูงสุดที่ 5 เหรียญฯ ต่อบาร์เรลในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยอ่อนตัวลงมาเล็กน้อยที่ 3.8 เหรียญ/บาร์เรล แต่ล่าสุดวานนี้ได้ขยับขึ้นไปเหนือ 4.5 เหรียญอีกครั้ง จึงน่าจะเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการโรงกลั่น โดยเฉพาะ BCP และ TOP ที่มีสัดส่วนกำไรจากโรงกลั่น 75% และ 65% ของรายได้ ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นของ BCP ได้ปรับตัวขึ้นไปสูงสุดเกือบ 20% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จนเหลือ upside เพียง 8% ระยะสั้นจึงแนะนำให้สลับมาลงทุนใน TOP (FV@B 56) ที่ราคายัง laggard กว่า แม้ว่าผลประกอบการในปี 2557 จะหดตัวราว 13% (จากภาวะตกต่ำของอะโรเมติกส์ และ การปิดซ่อมบำรุงโรงงาน) แต่คาดว่าจะกลับมาเติบโต 16.3% ในปี 2558 เพราะไม่ต้องซ่อมบำรุงเหมือนในปี 2557 และ คาดว่าโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จะสามารถเดินหน้าผลิตครบ 3 เฟส ที่สำคัญราคาหุ้น TOP มี Expected P/E ต่ำเพียง 10 เท่า ในปี 2557 และจะลดเหลือ 8.6 เท่า ในปี 2558 ขณะที่ให้เงินปันผลเฉลี่ยสูงถึง 5%

กบง. ปรับโครงสร้าง-ลดราคาน้ำมัน
     วานนี้ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติปรับลดอัตราจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดใหม่ ตามนโยบายของ คสช. โดยปรับลดอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิด ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกในกลุ่มเบนซิน และน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ เกือบทุกชนิดลดลง ส่วนน้ำมันดีเซลราคาปรับเพิ่มเล็กน้อย แต่ยังไม่เกิน 30 บาท/ลิตร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้ (29 ส.ค. 2557) เป็นต้นไป


      ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินว่า การปรับลดราคาน้ำมันดังกล่าว มิได้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการค้าปลีกน้ำมัน (PTT, BCP, ESSO) เนื่องจากโครงสร้างของราคาขายปลีกน้ำมันหน้าสถานีบริการในปัจจุบัน เกิดจาก ราคาขายหน้าโรงกลั่น+ภาษีสรรพสามิต+ภาษีเทศบาล+กองทุนน้ำมัน+กองทุนอนุรักษ์พลังงาน+ค่าการตลาด ขณะที่ปัจจัยด้านต้นทุนน้ำมันจะแปรผันไปตามราคาน้ำมันดิบโลก สต็อกน้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยน ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ เป็นต้น ดังนั้น การปรับลดอัตราจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าวซึ่งเป็นการเก็บจากส่วนเพิ่ม จึงไม่ได้มีผลต่อผลประกอบการอย่างมีนัยฯ

ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
มาราพร กี้วิริยะกุล

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!