- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 30 November 2017 17:02
- Hits: 3527
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“เลือกซื้อ/ถือเมื่อ SET เหนือ 1700”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ROJNA (จากซื้อเป็น Fully Valued)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ปิดอ่อนลงเล็กน้อย (-1.19 จุดปิดที่ 1705.33) โดยแรงซื้อกลุ่มแบงค์ถูกชดเชยด้วยแรงขายกลุ่มพลังงาน & ปิโตรเคมี ส่งออก อาหาร & เครื่องดื่ม สถาบันในปท.ซื้อสุทธิ 3.2 พันลบ. อีก 3 กลุ่มที่เหลือขายสุทธิ
ปัจจัยวันนี้ – ต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของ GDP ประจำไตรมาส 3/60 ว่าขยายตัว 3.3%YoY สูงสุดในรอบ 3 ปี ซึ่งสูงกว่าตัวเลขตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ 3.0%YoY และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 3.2% ทางด้านประธานเฟดก็มีมุมมองที่ดีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐและหนุนให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เราและตลาดคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุม 13 ธ.ค.นี้ วันนี้จับตามผลโหวตว่ากฎหมายปฎิรูปภาษีสหรัฐและผลประชุมประเทศผู้ผลิตน้ำมันปัจจัยที่ควรระวัง คือ แรงขาย Sell on fact
ในประเทศ แรงซื้อ LTF ยังช่วยพยุงตลาดในเดือนธ.ค. เพราะเป้าหมายในการซื้อหุ้นของกองทุน LTF มักเป็นหุ้น Big Cap ใน SET50 ซึ่งในวันนี้มีข่าวบวกของ HMPRO โดยทางทริสคงอันดับเครดิตบริษัทไว้ที่ A+ แต่ปรับเพิ่มแนวโน้มเป็น Positive (เดิม Neutral) จากการที่บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรและสร้าง OCF ที่ดีขึ้น ทาง DBS ก็แนะนำซื้อ HMPRO และให้เป็น 1 ในหุ้นเด่นในกลุ่มค้าปลีก ประเมิน TP ไว้ที่ 15 บาท มี Upside จากราคาปิดเมื่อวาน 16% ส่วนหุ้นแนะนำรายสัปดาห์ 29 พ.ย.-4 ธ.ค.60 เป็น BBL, MINT ส่วนหุ้นแนะนำของเดือน พ.ย.60 ถึงปัจจุบันก็ให้ Return สูงกว่าตลาด (Top Picks เดือนพ.ย. คือ AMATA, ERW, DIF, SPALI, TMB และ Dark Horse เป็น GOLD)
กลยุทธ์ : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แนวต้านระยะสั้น 1710,1720 การอ่อนตัวต่ำกว่า 1700 มีแนวรับ 1680,1670 แนวตัดขาดทุน คือต่ำกว่า 1700 สำหรับ Theme การลงทุนช่วงธ.ค.เป็น 1. LTF Play – แนะซื้อสะสมหุ้น Big Cap ที่ได้ประโยชน์จาก LTF โค้งสุดท้ายปีนี้ ซึ่งหุ้น Big Cap ใน DBSV Coverage ที่แนะนำซื้อ คือ AOT, BEM, BBL, KBANK, TMB, HMPRO, IVL, PTTGC, LH, MINT, MTLS และ 2. High
Dividend Yield Play - เพราะอีกประมาณ 4 เดือนก็จะได้ปันผลสำหรับผลประกอบการปี 60 แล้ว หุ้นปันผลเด่นของเรา เป็น KKP, KTB, LH, SENA, LALIN, DIF, TMT เป็นต้น
หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ TCAP, TOP, BCH, VGI, STA, RATCH, TTW ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและให้ถือต่อเป็น PTTGC, AMATA, TMB, ESSO, SAT, INTUCH, JMART, ERW, GLOBAL ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะขายทำกำไรเป็น BBL, EA หุ้นที่หลุด List คือ ROJNA, MODERN, GLOBAL, WORK, IVL, BJC, RICHY
“เลือกซื้อ/ถือเมื่อ SET เหนือ 1700”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ROJNA (จากซื้อเป็น Fully Valued)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ปิดอ่อนลงเล็กน้อย (-1.19 จุดปิดที่ 1705.33) โดยแรงซื้อกลุ่มแบงค์ถูกชดเชยด้วยแรงขายกลุ่มพลังงาน & ปิโตรเคมี ส่งออก อาหาร & เครื่องดื่ม สถาบันในปท.ซื้อสุทธิ 3.2 พันลบ. อีก 3 กลุ่มที่เหลือขายสุทธิ
ปัจจัยวันนี้ – ต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของ GDP ประจำไตรมาส 3/60 ว่าขยายตัว 3.3%YoY สูงสุดในรอบ 3 ปี ซึ่งสูงกว่าตัวเลขตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ 3.0%YoY และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 3.2% ทางด้านประธานเฟดก็มีมุมมองที่ดีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐและหนุนให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เราและตลาดคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุม 13 ธ.ค.นี้ วันนี้จับตามผลโหวตว่ากฎหมายปฎิรูปภาษีสหรัฐและผลประชุมประเทศผู้ผลิตน้ำมันปัจจัยที่ควรระวัง คือ แรงขาย Sell on fact
ในประเทศ แรงซื้อ LTF ยังช่วยพยุงตลาดในเดือนธ.ค. เพราะเป้าหมายในการซื้อหุ้นของกองทุน LTF มักเป็นหุ้น Big Cap ใน SET50 ซึ่งในวันนี้มีข่าวบวกของ HMPRO โดยทางทริสคงอันดับเครดิตบริษัทไว้ที่ A+ แต่ปรับเพิ่มแนวโน้มเป็น Positive (เดิม Neutral) จากการที่บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรและสร้าง OCF ที่ดีขึ้น ทาง DBS ก็แนะนำซื้อ HMPRO และให้เป็น 1 ในหุ้นเด่นในกลุ่มค้าปลีก ประเมิน TP ไว้ที่ 15 บาท มี Upside จากราคาปิดเมื่อวาน 16% ส่วนหุ้นแนะนำรายสัปดาห์ 29 พ.ย.-4 ธ.ค.60 เป็น BBL, MINT ส่วนหุ้นแนะนำของเดือน พ.ย.60 ถึงปัจจุบันก็ให้ Return สูงกว่าตลาด (Top Picks เดือนพ.ย. คือ AMATA, ERW, DIF, SPALI, TMB และ Dark Horse เป็น GOLD)
กลยุทธ์ : ภาพตลาดเป็นลบเล็กๆ แนวต้านระยะสั้น 1710,1720 การอ่อนตัวต่ำกว่า 1700 มีแนวรับ 1680,1670 แนวตัดขาดทุน คือต่ำกว่า 1700 สำหรับ Theme การลงทุนช่วงธ.ค.เป็น 1. LTF Play – แนะซื้อสะสมหุ้น Big Cap ที่ได้ประโยชน์จาก LTF โค้งสุดท้ายปีนี้ ซึ่งหุ้น Big Cap ใน DBSV Coverage ที่แนะนำซื้อ คือ AOT, BEM, BBL, KBANK, TMB, HMPRO, IVL, PTTGC, LH, MINT, MTLS และ 2. High
Dividend Yield Play - เพราะอีกประมาณ 4 เดือนก็จะได้ปันผลสำหรับผลประกอบการปี 60 แล้ว หุ้นปันผลเด่นของเรา เป็น KKP, KTB, LH, SENA, LALIN, DIF, TMT เป็นต้น
หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ TCAP, TOP, BCH, VGI, STA, RATCH, TTW ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและให้ถือต่อเป็น PTTGC, AMATA, TMB, ESSO, SAT, INTUCH, JMART, ERW, GLOBAL ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะขายทำกำไรเป็น BBL, EA หุ้นที่หลุด List คือ ROJNA, MODERN, GLOBAL, WORK, IVL, BJC, RICHY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : จีดีพีงวดไตรมาส 3/60 เติบโต 3.3%YoY สูงสุดในรอบ 3 ปี
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของ GDP ประจำไตรมาส 3/60 ว่าขยายตัว 3.3%YoY สูงสุดในรอบ 3 ปี ซึ่งสูงกว่าตัวเลขตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ 3.0%YoY และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 3.2%
• สหรัฐ : รายงาน Beige Book ชี้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเล็กน้อยถึงปานกลาง ขณะแรงกดดันด้านราคาเพิ่มขึ้น
# ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ "Beige Book" เมื่อวานนี้ โดยระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงขยายตัวเล็กน้อยจนถึงปานกลางในช่วงเดือนต.ค.จนถึงกลางเดือนพ.ย. ขณะที่เศรษฐกิจในหลายๆ เขตมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นเล็กน้อย
# สำหรับการจ้างงานมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่เดือนต.ค. โดยมีรายงานว่าในหลายๆเขตมีการปรับขึ้นค่าแรงและโบนัส เพื่อดึงดูดการจ้างงาน
# แรงกดดันด้านราคาได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่เดือนต.ค. โดยเขตส่วนใหญ่รายงานว่าราคาขายสินค้าปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกับต้นทุนที่ไม่ใช่แรงงาน
+ สหรัฐ : ประธานเฟดแถลงกรรมาธิการศก.สภาคองเกรสว่าศก.สหรัฐขยายตัวดี ตลาดแรงงานแข็งแกร่ง
# เมื่อวานนี้ (29 พ.ย.60) นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดได้แถลงมุมมองทางเศรษฐกิจต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรสว่าเศรษฐกิจสหรัฐได้ขยายตัวในวงกว้าง หากมีการปรับนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป เศรษฐกิจก็จะยังคงมีการขยายตัว ขณะที่ตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง
# นางเยลเลนยังได้กล่าวสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัวซึ่งการประชุมครั้งต่อไปของเฟดจะมีขึ้นในวันที่ 12-13 ธ.ค.นี้
# ส่วนปัญหาทางด้านโครงสร้างที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ได้แก่ ประชากรวัยสูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น และประสิทธิภาพการผลิตยังไม่ดีนัก สภาคองเกรสควรพิจารณานโยบายกระตุ้นการลงทุนในภาคธุรกิจ, ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ, ยกระดับคุณภาพของระบบการศึกษา และนวัตกรรม รวมทั้งผลักดันการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ
+ ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นรับตัวเลข GDP ไตรมาส 3/60 ที่โตสูงสุดในรอบ 3 ปี
# ดัชนี DJIA ปิด 23,940.68 จุด +103.97 จุด หรือ +0.44% หนุนโดยตัวเลขจีดีพีงวดไตรมาส 3/60 ของสหรัฐที่ +3.3%YoY สูงสุดในรอบ 3 ปี ส่วนดัชนี Nasdaq ปิด 6,824.39 จุด -87.97 จุด หรือ -1.27% จากแรงขายทำกำไรหุ้นใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยี ด้านดัชนี S&P500 ปิด 2,626.07 จุด -0.97 จุด หรือ -0.04%
- ภาวะตลาดน้ำมัน : หวั่นรัสเซียไม่หนุนขยายเวลาลดกำลังการผลิต
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 69 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 57.30 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 50 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 63.11 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สมาชิก 14 ชาติของกลุ่มประเทศโอเปกจะประชุมในวันนี้พร้อมกับอีก 11 ประเทศจากนอกกลุ่มโอเปก เพื่อหารือกันเกี่ยวกับการขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน แต่ตลาดกังวลว่ารัสเซียอาจไม่สนับสนุนการขยายเวลาลดการผลิตออกไปอีก 9 เดือนถึงสิ้นปี 61
- ภาวะตลาดทองคำ : ราคาร่วงราว 1%
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ร่วงลง 13 ดอลลาร์ หรือ -1% ปิดที่ระดับ 1,286.20 ดอลลาร์/ออนซ์
+ สหรัฐ : จีดีพีงวดไตรมาส 3/60 เติบโต 3.3%YoY สูงสุดในรอบ 3 ปี
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของ GDP ประจำไตรมาส 3/60 ว่าขยายตัว 3.3%YoY สูงสุดในรอบ 3 ปี ซึ่งสูงกว่าตัวเลขตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ที่ 3.0%YoY และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 3.2%
• สหรัฐ : รายงาน Beige Book ชี้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเล็กน้อยถึงปานกลาง ขณะแรงกดดันด้านราคาเพิ่มขึ้น
# ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ "Beige Book" เมื่อวานนี้ โดยระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงขยายตัวเล็กน้อยจนถึงปานกลางในช่วงเดือนต.ค.จนถึงกลางเดือนพ.ย. ขณะที่เศรษฐกิจในหลายๆ เขตมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นเล็กน้อย
# สำหรับการจ้างงานมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่เดือนต.ค. โดยมีรายงานว่าในหลายๆเขตมีการปรับขึ้นค่าแรงและโบนัส เพื่อดึงดูดการจ้างงาน
# แรงกดดันด้านราคาได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่เดือนต.ค. โดยเขตส่วนใหญ่รายงานว่าราคาขายสินค้าปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกับต้นทุนที่ไม่ใช่แรงงาน
+ สหรัฐ : ประธานเฟดแถลงกรรมาธิการศก.สภาคองเกรสว่าศก.สหรัฐขยายตัวดี ตลาดแรงงานแข็งแกร่ง
# เมื่อวานนี้ (29 พ.ย.60) นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดได้แถลงมุมมองทางเศรษฐกิจต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรสว่าเศรษฐกิจสหรัฐได้ขยายตัวในวงกว้าง หากมีการปรับนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป เศรษฐกิจก็จะยังคงมีการขยายตัว ขณะที่ตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง
# นางเยลเลนยังได้กล่าวสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐกำลังฟื้นตัวซึ่งการประชุมครั้งต่อไปของเฟดจะมีขึ้นในวันที่ 12-13 ธ.ค.นี้
# ส่วนปัญหาทางด้านโครงสร้างที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ได้แก่ ประชากรวัยสูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น และประสิทธิภาพการผลิตยังไม่ดีนัก สภาคองเกรสควรพิจารณานโยบายกระตุ้นการลงทุนในภาคธุรกิจ, ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ, ยกระดับคุณภาพของระบบการศึกษา และนวัตกรรม รวมทั้งผลักดันการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ
+ ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นรับตัวเลข GDP ไตรมาส 3/60 ที่โตสูงสุดในรอบ 3 ปี
# ดัชนี DJIA ปิด 23,940.68 จุด +103.97 จุด หรือ +0.44% หนุนโดยตัวเลขจีดีพีงวดไตรมาส 3/60 ของสหรัฐที่ +3.3%YoY สูงสุดในรอบ 3 ปี ส่วนดัชนี Nasdaq ปิด 6,824.39 จุด -87.97 จุด หรือ -1.27% จากแรงขายทำกำไรหุ้นใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยี ด้านดัชนี S&P500 ปิด 2,626.07 จุด -0.97 จุด หรือ -0.04%
- ภาวะตลาดน้ำมัน : หวั่นรัสเซียไม่หนุนขยายเวลาลดกำลังการผลิต
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 69 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 57.30 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 50 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 63.11 ดอลลาร์/บาร์เรล
# สมาชิก 14 ชาติของกลุ่มประเทศโอเปกจะประชุมในวันนี้พร้อมกับอีก 11 ประเทศจากนอกกลุ่มโอเปก เพื่อหารือกันเกี่ยวกับการขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน แต่ตลาดกังวลว่ารัสเซียอาจไม่สนับสนุนการขยายเวลาลดการผลิตออกไปอีก 9 เดือนถึงสิ้นปี 61
- ภาวะตลาดทองคำ : ราคาร่วงราว 1%
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ร่วงลง 13 ดอลลาร์ หรือ -1% ปิดที่ระดับ 1,286.20 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
• ดร.สมคิดกระตุ้นการลงทุนเพื่อให้เศรษฐกิจโตต่อเนื่อง
# ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คาดว่าใช้เวลาอีก 4 เดือน ดึงงบประมาณจากอปท.ล็อตแรก 5 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งสนับสนุนการท่องเที่ยวและพัฒนาชุมชน พร้อมสั่งให้รัฐวิสาหกิจเร่งเบิกงบประมาณปี 61 ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 506,162 ล้านบาท นอกจากนั้นจะชงเรื่องเสนอมให้ครม.อนุมัติรถไฟทางคู่ 5 เส้นทางในเร็วๆ นี้
+ HMPRO : ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรไว้ที่ A+ แต่เปลี่ยนแนวโน้มเป็น Positive (เดิม Stable)
# ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ HMPRO ที่ "A+" แต่เปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น "Positive" จาก "Stable" สะท้อนความสามารถในการทำกำไรและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากการปรับสัดส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นและการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
# ปัจจุบัน HMPRO มีร้านค้า 2 รูปแบบคือ "โฮมโปร" และ "เมกาโฮม" ผู้ถือหุ้นหลัก คือ LH ซึ่งถือหุ้น 30.2% และ QH ถือ 19.9% ณ สิ้นก.ย.60 มีสาขารวมทั้งสิ้น 101 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยร้านค้าโฮมโปรในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 27 สาขาในต่างจังหวัด 57 สาขา ในประเทศมาเลเซีย 5 สาขา และร้านค้าภายใต้รูปแบบเมกาโฮมอีก 12 สาขา (9M60 เปิดสาขาใหม่ที่เป็นโฮมโปร 2 สาขาในไทยและ 3 สาขาในมาเลเซีย และเปิดเมกะโฮม 1 สาขาในไทย) ส่วนที่เหลือของปีนี้จะเปิดสาขาโฮมโปรที่มาเลเซียอีก 1 สาขา
# ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBS : เราแนะนำซื้อ HMPRO ให้ราคาพื้นฐานปี 61 ให้ไว้ที่ 15 บาท (มี Upside 16%) เนื่องจาก 1. ยอดขายและกำไรมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการขยายสาขาของบริษัท 2. บริษัทมีการปรับปรุงประสิทธิภาพต่อเนื่องและปรับ Product mixed ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า 3. มีประสิทธิภาพในการทำกำไรเหนือคู่แข่งขันในอุตสาหกรรม
การวิเคราะห์ทางเทคนิค ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก / หรือ Follow buy เมื่อยืนเหนือ 13.20 บาท โดยมีแนวต้านระยะสั้น 14+/- บาท การอ่อนตัวมีแนวรับ 12.5-12.00 (11) บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
• ดร.สมคิดกระตุ้นการลงทุนเพื่อให้เศรษฐกิจโตต่อเนื่อง
# ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คาดว่าใช้เวลาอีก 4 เดือน ดึงงบประมาณจากอปท.ล็อตแรก 5 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งสนับสนุนการท่องเที่ยวและพัฒนาชุมชน พร้อมสั่งให้รัฐวิสาหกิจเร่งเบิกงบประมาณปี 61 ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 506,162 ล้านบาท นอกจากนั้นจะชงเรื่องเสนอมให้ครม.อนุมัติรถไฟทางคู่ 5 เส้นทางในเร็วๆ นี้
+ HMPRO : ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรไว้ที่ A+ แต่เปลี่ยนแนวโน้มเป็น Positive (เดิม Stable)
# ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กรของ HMPRO ที่ "A+" แต่เปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น "Positive" จาก "Stable" สะท้อนความสามารถในการทำกำไรและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากการปรับสัดส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นและการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ
# ปัจจุบัน HMPRO มีร้านค้า 2 รูปแบบคือ "โฮมโปร" และ "เมกาโฮม" ผู้ถือหุ้นหลัก คือ LH ซึ่งถือหุ้น 30.2% และ QH ถือ 19.9% ณ สิ้นก.ย.60 มีสาขารวมทั้งสิ้น 101 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยร้านค้าโฮมโปรในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 27 สาขาในต่างจังหวัด 57 สาขา ในประเทศมาเลเซีย 5 สาขา และร้านค้าภายใต้รูปแบบเมกาโฮมอีก 12 สาขา (9M60 เปิดสาขาใหม่ที่เป็นโฮมโปร 2 สาขาในไทยและ 3 สาขาในมาเลเซีย และเปิดเมกะโฮม 1 สาขาในไทย) ส่วนที่เหลือของปีนี้จะเปิดสาขาโฮมโปรที่มาเลเซียอีก 1 สาขา
# ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBS : เราแนะนำซื้อ HMPRO ให้ราคาพื้นฐานปี 61 ให้ไว้ที่ 15 บาท (มี Upside 16%) เนื่องจาก 1. ยอดขายและกำไรมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการขยายสาขาของบริษัท 2. บริษัทมีการปรับปรุงประสิทธิภาพต่อเนื่องและปรับ Product mixed ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า 3. มีประสิทธิภาพในการทำกำไรเหนือคู่แข่งขันในอุตสาหกรรม
การวิเคราะห์ทางเทคนิค ซื้อใหม่เน้นตามด้วยค่าบวก / หรือ Follow buy เมื่อยืนเหนือ 13.20 บาท โดยมีแนวต้านระยะสั้น 14+/- บาท การอ่อนตัวมีแนวรับ 12.5-12.00 (11) บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
OO3042