- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 28 November 2017 17:32
- Hits: 1582
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“ซื้อเมื่อยืนเหนือ 1700 หรืออ่อนที่ 1680+/-”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นเมื่อวานนี้ปิดทรงตัวที่ 1695.67 รอปัจจัยใหม่ การซื้อ/ขายเป็นเวียนตัวในกลุ่ม Mid-Big Cap
ปัจจัยวันนี้ – ต่างประเทศ ตลาดหุ้นหลายประเทศมีการพักฐานหลังจบรายงานกำไร 3Q60 แล้ว และรอข่าวใหม่เข้ามาหนุน โดยวุฒิสภาสหรัฐจะโหวตร่างกฎหมายปฎิรูปภาษีวันที่ 30 พ.ย.นี้ ถ้าผ่านก็จะนำไปปรับปรุงร่วมกับร่างของสภาผู้แทนฯแล้วเสนอให้ปธน.ทรัมป์ลงนามต่อไป โดยความหวังเรื่องนี้ช่วยพยุงดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ ส่วนราคาน้ำมันดิบอ่อนเล็กน้อยก่อนการประชุม เพราะมีรายงานว่าสหรัฐผลิตน้ำมันเพิ่ม 15% ตั้งแต่กลางปี 59 สู่ระดับ Record high ที่ 9.66 ล้านบาร์เรล/วัน....ปัจจัยที่ควรระวัง คือ Sell on fact หลังจบปัจจัยบวกในประเทศ ใกล้ๆ นี้มี MSCI Quarterly review รอบพ.ย.60 โดยหุ้นที่ออกจาก Global standard index คือ BEC (ไม่มีหุ้นเข้า) ส่วนใน Global small cap index รอบนี้ หุ้นเข้า - BEC GGC ORI VNT WHAUP, หุ้นออก - AIRA GPSC NYT SCN STPI THRE จะมีผล
ตั้งแต่ 30 พ.ย.60 เป็นต้นไป เราคาด Review รอบนี้ไม่กระทบ SET Index นัก ด้านเศรษฐกิจมหภาค ทาง DBS ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP growth ปี 60-61 เป็น 4% ทั้งสองปี (เดิม 3.6% และ 3.8%) โดยส่งออก ท่องเที่ยว ลงทุนภาครัฐช่วยหนุนยังคงแนะให้ซื้อสะสมหุ้น Big Cap ซึ่งเป็น Theme ที่เกี่ยวกับ LTF โค้งสุดท้ายปีนี้ (หุ้น Big Cap ใน DBSV Coverage ที่แนะนำซื้อ คือ AOT, BEM, BBL, KBANK, TMB, HMPRO, IVL, PTTGC, LH, MINT, MTLS) และให้ทยอยสะสมหุ้นปันผล เพราะอีกประมาณ 4 เดือนก็จะได้ปันผลสำหรับผลประกอบการปี 60 แล้ว (หุ้นปันผลเด่นของเรา เป็น KKP, KTB, LH, SENA, LALIN, DIF, TMT เป็นต้น)
หุ้น Update วันนี้เป็น IVL : มีหลายปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นกำไรปี 61 ได้แก่ 1. Supply จะลดลงหลังผู้ประกอบการที่มีปห.สภาพคล่องการเงินลดหรือหยุดการผลิต (เช่น M&G ที่สหรัฐ & เม็กซิโก, Suape ที่บราซิล, JBF ที่ UAE & เบลเยี่ยม) ทำให้ Spread ปีหน้าจะดี, 2. อาจเรียกเก็บ AD สินค้าจากจีนและอินเดียที่เข้าไปทุ่มตลาดในสหรัฐ, 3. ดีมานด์สินค้า IVL จะเพิ่มขึ้นถ้าควบคุมการใช้พลาสติก Recycle จากจีน และ 4. ได้ประโยชน์จากมาตรการลดภาษีธุรกิจของทรัมป์ ปัจจุบัน IVL มีรายได้ในสหรัฐราว 30-40% ของรายได้รวม แนะนำซื้อ
กลยุทธ์ : ภาพเป็นลบ แนวต้านระยะสั้น 1700,1710 แนวรับ 1680,1670 หุ้นแนะนำรายสัปดาห์ (22-28 พ.ย.) คือ AOT, MINT ส่วน Top Picks เดือนพ.ย. คือ AMATA, ERW, DIF, SPALI, TMB และ Dark Horse เป็น GOLD
หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ STPI, INTUCH, GLOW, PSL, HTC, TVO ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและให้ถือต่อเป็น PTTGC, AMATA, TMB, ROJNA, MODERN, GLOBAL, ESSO, PYLON, WORK, SAT ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะขายทำกำไรเป็น KTB, JMT, RCL, PCSGH หุ้นที่หลุด List คือ ROBINS, TCAP, CRANE
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ : ยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค.60 แข็งแกร่ง
# ยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค.พุ่งขึ้น 6.2%MoM สู่ระดับ 685,000 ยูนิต ดีกว่าคาดเล็กน้อย และทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2550
• สหรัฐ : จับตาการลงมติร่างกฎหมายปฎิรูปภาษีของวุฒิสภาวันที่ 30 พ.ย.นี้
# วุฒิสภาสหรัฐจะลงมติต่อร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในวันพฤหัสบดีที่ 30 พ.ย.นี้ หลังสภาผู้แทนราษฎรลงมติให้การอนุมัติร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในวันที่ 16 พ.ย.60 …ที่เป็นห่วงกันคือ เนื้อหาร่างกฎหมายฉบับสภาผู้แทนราษฎรและฉบับวุฒิสภามีความแตกต่างกันหลายประเด็น
# ถ้าวุฒิสภาอนุมัติร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในวันพฤหัสบดีนี้แล้ว หลังจากนั้นวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรก็จะต้องนำร่างกฎหมายของทั้ง 2 สภามาปรับปรุงแก้ไขให้เป็นร่างกฎหมายฉบับเดียวกัน ก่อนที่จะส่งต่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ลงนามรับรองให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป
• ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ยอดใช้จ่ายวันแบล็กฟรายเดย์ช่วยหนุนดัชนี DJIA
# ยอดการใช้จ่ายผ่านระบบออนไลน์ในวันแบล็กฟรายเดย์ (วันศุกร์หลังวันขอบคุณพระเจ้า) ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อะโดบี อนาลิติกส์ คาดการณ์ว่า ยอดการใช้จ่ายในวันไซเบอร์ มันเดย์จะพุ่งทำสถิติสูงสุดเช่นกัน
# ดัชนี DJIA ปิดที่ 23,580.78 จุด +22.79 จุด หรือ +0.10% ดัชนี S&P500 ปิด 2,601.42 จุด -1.00 จุด หรือ -0.04% และ ดัชนี Nasdaq ปิด 6,878.52 จุด -10.64 จุด หรือ -0.15%
# นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่วุฒิสภาสหรัฐจะลงมติต่อร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในวันพฤหัสบดีที่ 30 พ.ย.นี้
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาอ่อนลงเพราะวิตกสหรัฐผลิตน้ำมันเพิ่ม
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 84 เซนต์ หรือ -1.4% ปิดที่ 58.11 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT อ่อนลง 2 เซนต์ ปิดที่ 63.84 ดอลลาร์/บาร์เรล
# มีรายงานว่าการผลิตน้ำมันในสหรัฐเพิ่มขึ้น 15% นับตั้งแต่กลางปี 59 สู่ระดับ 9.66 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (สหรัฐส่งออกน้ำมันสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากรัสเซียและซาอุดิอาระเบีย ด้านนักวิเคราะห์คาดว่าสหรัฐจะส่งออกน้ำมันเป็นอันดับ 1 ภายใน 5 ปี)
# เบเกอร์ ฮิวจ์ เปิดเผยว่าจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้น 9 แท่น สู่ระดับ 747 แท่นในสัปดาห์ที่แล้ว
# จับตาการประชุมกลุ่มประเทศโอเปกและนอกกลุ่มโอเปกที่กรุงเวียนนาในวันที่ 30 พ.ย. โดยที่ประชุมจะมีการหารือกันเกี่ยวกับการขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน ซึ่งซาอุดิอาระเบียและรัสเซียต่างสนับสนุนให้ขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปอีก 9 เดือนจนถึงสิ้นปี 1 จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดในไตรมาส 1/60
# นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าถ้าขยายเวลาลดการผลิตไปถึงสิ้นปี 61 ตลาดจะเผชิญภาวะขาดแคลนน้ำมันราว 830,000 บาร์เรล/วันในปีหน้า เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะขาดแคลน 310,000 บาร์เรล/วันเมื่อขยายถึงสิ้นไตรมาส 1/60
+ ภาวะตลาดทองคำ : ราคาปรับขึ้นจากปัจจัยเทคนิค...ไม่ผ่าน 1300 US$/ออนซ์ ขายก่อน
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 7.1 ดอลลาร์ หรือ 0.55% ปิดที่ระดับ 1294.40 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
• MSCI Quarterly review รอบพ.ย.60 … ไม่ถึงกับมีนัยสำคัญต่อ SET Index นัก
# หุ้นที่ออกจาก standard index คือ BEC ... ไม่มีหุ้นเข้าใหม่
# หุ้นที่เข้าและออกใน small cap index รอบนี้ เป็นดังนี้ หุ้นที่เข้า - BEC GGC ORI VNT WHAUP, หุ้นที่ออก - AIRA GPSC NYT SCN STPI THRE
# มีผลตั้งแต่ 30 พ.ย.60 เป็นต้นไป
+ Econ Update : DBS Bank ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP Growth ปี 60-61 ของไทยเป็น 4% ทั้งสองปี
# DBS Bank ปรับเพิ่มประมาณการ GDP ไทยปี 60-61 เป็น 4% ทั้งสองปี (เดิม 3.6% และ 3.8% ตามลำดับ)
# นับเป็นครั้งแรกที่ GDP ไทยจะเติบโตได้ 4% นับตั้งแต่ปี 2013 ปัจจัยหนุน คือ มูลค่าส่งออกที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง โดย DBS คาดว่าส่งออกจะโต 7% ในปีนี้ การผลิตภาคอุตสาหกรรมดีขึ้นตามการส่งออก อัตราการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้น
# ในปี 60 การลงทุนภาครัฐน้อยกว่าที่คาด แต่มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นในปี 61 โดยโครงการ EEC จะเริ่มลงทุนประมาณกลางปี 61 มูลค่าลงทุนราว 6.6 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยกระตุ้น GDP ในปี 61
# อย่างไรก็ตาม การบริโภคและลงทุนภาคเอกชนยังฟื้นตัวช้าและเติบโตไม่มาก ซึ่งเป็นผลจากภาระหนี้สินภาคครัวเรือนที่ยังคงสูง ซึ่งต้องใช้เวลาในการจัดการ ทาง DBS คาดว่าทางการไทยจะคงดอกเบี้ยต่ำไปถึงปี 62
# กลุ่มอุตสาหกรรมที่เราให้น้ำหนัก Overweight คือ ธนาคารพาณิชย์, ค้าปลีก, ท่องเที่ยว นิคมอุตสาหกรรม + RS : รุกเฮลท์แอนด์บิวตี้ต่อในปี 61
# นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อาร์เอส (RS) เปิดเผยว่าในปี 61 ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 5,300 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ 3,550 ล้านบาท (+49%YoY) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แบ่งเป็น ธุรกิจเฮลท์แอนด์บิวตี้ 47%, ธุรกิจสื่อ 46%, ธุรกิจเพลง 5% และธุรกิจอีเวนต์ 2% เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาธุรกิจเฮลท์แอนด์บิวตี้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นมีแผนที่จะปรับเพิ่มอัตราค่าโฆษณาในปีหน้าด้วย บริษัทกล่าวว่าพร้อมจะนำงบการเงินปี 60 ยื่นขอเปลี่ยนหมวดธุรกิจเป็นหมวดพาณิชย์ (Commerce) ด้วย
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
OO2913