- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 20 November 2017 19:18
- Hits: 7073
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily
ภาพตลาดวันวาน
ดัชนีเปิดตัวแรงกระโดดขึ้นยืน 1700 จุด แกว่งตัวผันผวนในกรอบแคบที่มีจุดต่ำสุดของวันที่ 1697.65 จุด เพิ่มขึ้น 6.40 จุด ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดของวันที่ 1711.49 จุด เพิ่มขึ้น 20.24 จุด ทำให้มีกรอบการเคลื่อนไหวทั้งวันที่ 13.84 จุด ทั้งนี้หุ้นที่ช่วยดึงดัชนีขึ้นยืนบวกได้อย่างต่อเนื่องได้แก่ PTT, CPALL, AOT, KBANK, AMATA, TCAP, TISCO, SCC ก่อนดัชนีจะทำปิดที่ 1709.38 จุด เพิ่มขึ้น 18.13 จุด (+1.07%) มูลค่าการซื้อขาย 55,336 ล้านบาท
ภาพตลาดวันวาน
ดัชนีเปิดตัวแรงกระโดดขึ้นยืน 1700 จุด แกว่งตัวผันผวนในกรอบแคบที่มีจุดต่ำสุดของวันที่ 1697.65 จุด เพิ่มขึ้น 6.40 จุด ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดของวันที่ 1711.49 จุด เพิ่มขึ้น 20.24 จุด ทำให้มีกรอบการเคลื่อนไหวทั้งวันที่ 13.84 จุด ทั้งนี้หุ้นที่ช่วยดึงดัชนีขึ้นยืนบวกได้อย่างต่อเนื่องได้แก่ PTT, CPALL, AOT, KBANK, AMATA, TCAP, TISCO, SCC ก่อนดัชนีจะทำปิดที่ 1709.38 จุด เพิ่มขึ้น 18.13 จุด (+1.07%) มูลค่าการซื้อขาย 55,336 ล้านบาท
ภาพตลาดวันนี้
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีมีทิศทางที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว โดยมีจุดต่ำสุดในวันแรกของสัปดาห์ที่ 1680 จุด การขึ้นมาในลักษณะผันผวนขึ้นวันลงวันด้วยการยก Low ขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยวันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีสามารถกลับขึ้นมายืน 1700 จุด ได้อย่างแข็งแกร่ง ทำ High 1711 จุด และทำปิดที่ 1709 จุด ทำให้มีแนวโน้มของการไปต่อเนื่องจากยืนเหนือเส้นแนวโน้มย่อยขาลงที่กดอยู่ แต่อย่างไรก็ตามคงต้องระมัดระวังทางลงเช่นกันเนื่องจากมี Gap ที่ปิดทิ้งไว้ 1695-1697 จุดรอการปิดในอนาคต มองแนวต้าน 1714-1720 จุด แนวรับ 1700 // 1693 จุด
มีโอกาสไปต่อ ลบภาพการปรับฐานหลังยืน 1706 จุด
Support 1680 // 1670 จุด Resistance 1720 // 1730 จุด
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีมีทิศทางที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว โดยมีจุดต่ำสุดในวันแรกของสัปดาห์ที่ 1680 จุด การขึ้นมาในลักษณะผันผวนขึ้นวันลงวันด้วยการยก Low ขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง โดยวันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีสามารถกลับขึ้นมายืน 1700 จุด ได้อย่างแข็งแกร่ง ทำ High 1711 จุด และทำปิดที่ 1709 จุด ทำให้มีแนวโน้มของการไปต่อเนื่องจากยืนเหนือเส้นแนวโน้มย่อยขาลงที่กดอยู่ แต่อย่างไรก็ตามคงต้องระมัดระวังทางลงเช่นกันเนื่องจากมี Gap ที่ปิดทิ้งไว้ 1695-1697 จุดรอการปิดในอนาคต มองแนวต้าน 1714-1720 จุด แนวรับ 1700 // 1693 จุด
มีโอกาสไปต่อ ลบภาพการปรับฐานหลังยืน 1706 จุด
Support 1680 // 1670 จุด Resistance 1720 // 1730 จุด
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
" ดีดกลับ หลังขายไปเยอะ "
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯแกว่งในกรอบ 1680-1730 จุด และมีโอกาสที่จะปิดสูงขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ... การตอบรับ(ในทางลบ)ต่อกำไรของตลาด และกฎหมายภาษีของสหรัฐฯที่ผ่านไปอีกขั้นหนึ่ง หนุนให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาด แต่ด้วยราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมามาก P/E ของตลาด อยู่ราวๆ 18.0 เท่า ถือว่าไม่ถูกมาก จะเป็นตัวจำกัดให้ดัชนีฯผ่าน 1730 จุด ไปไม่ได้ง่ายนักในสัปดาห์นี้ ..... ตัวแปรที่มีผลต่อดัชนีฯ น่าจะเป็นแรงซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศว่าจะอยู่ฝั่งใด เพราะถ้าขายมาก นักลงทุนไทยจะไม่กล้าซื้อหุ้น
กลยุทธ์การลงทุน : ดัชนีฯและราคาหุ้นตัวหลักๆ ถือว่าอยู่ในระดับสูง (ราคาไม่ต่ำ)...... กลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ เราแนะให้ selective ในหุ้น ที่อยู่ในกลุ่มหลักๆ ที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้า คือ กลุ่มธนาคาร ค้าปลีก หุ้นได้ประโยชน์จาก EEC ขณะที่หุ้นในกลุ่มอื่นๆ นั้น เน้นลงทุนในหุ้นที่มีกำไรดีมีการเติบโตในอนาคต
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ : BBL, CPALL, GUNKUL*, SENA
หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค : KCE, LIT, PTG
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
ภาพตลาดสัปดาห์ที่ผ่านมา
SET Index สัปดาห์ก่อนปิดที่ระดับ 1,709.38 จุด ปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 20.10 จุด หรือ +1.19% ปรับตัวขึ้นในช่วงวันสุดท้ายของสัปดาห์ อีกทั้งตลาดหุ้นภูมิภาคสามารถปรับตัวขึ้นได้หลังจากความกังวลเรื่องการร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯลดลง
ปัจจัยที่ควรติดตาม
ปัจจัยต่างประเทศ / ราคาน้ำมันดิบ
ความกังวลด้านมาตรการปฏิรูปภาษีนิติบุคคลของสหรัฐฯลดลง - วันพฤหัส(16) ที่ผ่านมา สภาผู้แทฯของสหรัฐฯมีมติด้วยคะแนนเสียง 227 ต่อ 205 ให้ผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นการปรับลดเงินได้ภาษีนิติบุคคลลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ 35% ประเด็นดังกล่าวส่งผลให้ภาพต่างประเทศเป็นบวกมากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการกังวลกันว่ามติดังกล่าวจะไม่ผ่านร่าง แต่ถึงกระนั้นตลาดรอดูต่อไปว่าจะสามารถผ่านความเห็นชอบจากสภาสูงฯ ไปได้หรือไม่ หรือมีการแก้ไขเนื้อหาด้วยหรือไม่
ราคาน้ำมันดิบ -การปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบได้สะท้อนเรื่องสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯที่สูงขึ้นและ IEA ปรับลด demand น้ำมันดิบลง ล่าสุดราคาน้ำมันดิบดีดกลับขึ้นมาในช่วงปลายสัปดาห์ WTI $56 เหรียญ และ BRENT $62 เหรียญ
SET Index สัปดาห์ก่อนปิดที่ระดับ 1,709.38 จุด ปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 20.10 จุด หรือ +1.19% ปรับตัวขึ้นในช่วงวันสุดท้ายของสัปดาห์ อีกทั้งตลาดหุ้นภูมิภาคสามารถปรับตัวขึ้นได้หลังจากความกังวลเรื่องการร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯลดลง
ปัจจัยที่ควรติดตาม
ปัจจัยต่างประเทศ / ราคาน้ำมันดิบ
ความกังวลด้านมาตรการปฏิรูปภาษีนิติบุคคลของสหรัฐฯลดลง - วันพฤหัส(16) ที่ผ่านมา สภาผู้แทฯของสหรัฐฯมีมติด้วยคะแนนเสียง 227 ต่อ 205 ให้ผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นการปรับลดเงินได้ภาษีนิติบุคคลลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ 35% ประเด็นดังกล่าวส่งผลให้ภาพต่างประเทศเป็นบวกมากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการกังวลกันว่ามติดังกล่าวจะไม่ผ่านร่าง แต่ถึงกระนั้นตลาดรอดูต่อไปว่าจะสามารถผ่านความเห็นชอบจากสภาสูงฯ ไปได้หรือไม่ หรือมีการแก้ไขเนื้อหาด้วยหรือไม่
ราคาน้ำมันดิบ -การปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบได้สะท้อนเรื่องสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯที่สูงขึ้นและ IEA ปรับลด demand น้ำมันดิบลง ล่าสุดราคาน้ำมันดิบดีดกลับขึ้นมาในช่วงปลายสัปดาห์ WTI $56 เหรียญ และ BRENT $62 เหรียญ
ปัจจัยในประเทศ
รายงาน GDP ไตรมาส 3 ของไทย - วันที่ 20 พ.ย. สภาพัฒน์จะมีการประกาศ GDP สำหรับช่วงไตรมาส 3 ตลาดคาดไว้ที่ 3.8%
คาดจะมีการอนุมัติมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน - โดยปกติแล้วในช่วงสุดท้ายของปีจะมีการอนุมัติโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ การประชุม ครม. ในวันอังคาร อาจพิจารณาลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน บวกต่อกลุ่มรับเหมาฯ หรือมาตรการอื่นๆ
คาดว่าต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นไทย - ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ต่างชาติมีสถานะขายสุทธิของหุ้นไทยรวม 5 วัน ที่ -6,039.61 ล้านบาท โดยในวันสุดท้ายของสัปดาห์ต่างชาติเริ่มกลับมามีสถานะซื้อสุทธิ
สิ้นสุดการประกาศงบ 3Q17 -การประกาศงบการเงินสำหรับช่วง 3Q17 ได้สิ้นสุดลง กำไรสุทธิของตลาด (SET) งวด 3Q17 รวบรวมโดย KTBST อยู่ที่ 2.04 แสนล้านบาท (-0.4% YoY, -4.2% QoQ) ต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเติบโต +16% YoY
หุ้นที่จะเข้าร่วมงาน Opportunity Day ในสัปดาห์นี้ได้แก่ EPF, APCO, ICHI, TOG, UAC, FN, BTS, IRPC, CRD, AUCT, ASIAN, GGC, THE, EKH, JUBILE, ORI, PTG, CHO, BCP, ECF, MGT, ITEL, ILINK, ASP, L&E, PCSGH, COL, MEGA, TRT, CPN, BAFS, และ PYLON
Fund Flow Analysis & Stock Rotation
รายงาน GDP ไตรมาส 3 ของไทย - วันที่ 20 พ.ย. สภาพัฒน์จะมีการประกาศ GDP สำหรับช่วงไตรมาส 3 ตลาดคาดไว้ที่ 3.8%
คาดจะมีการอนุมัติมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน - โดยปกติแล้วในช่วงสุดท้ายของปีจะมีการอนุมัติโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ การประชุม ครม. ในวันอังคาร อาจพิจารณาลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน บวกต่อกลุ่มรับเหมาฯ หรือมาตรการอื่นๆ
คาดว่าต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นไทย - ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ต่างชาติมีสถานะขายสุทธิของหุ้นไทยรวม 5 วัน ที่ -6,039.61 ล้านบาท โดยในวันสุดท้ายของสัปดาห์ต่างชาติเริ่มกลับมามีสถานะซื้อสุทธิ
สิ้นสุดการประกาศงบ 3Q17 -การประกาศงบการเงินสำหรับช่วง 3Q17 ได้สิ้นสุดลง กำไรสุทธิของตลาด (SET) งวด 3Q17 รวบรวมโดย KTBST อยู่ที่ 2.04 แสนล้านบาท (-0.4% YoY, -4.2% QoQ) ต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเติบโต +16% YoY
หุ้นที่จะเข้าร่วมงาน Opportunity Day ในสัปดาห์นี้ได้แก่ EPF, APCO, ICHI, TOG, UAC, FN, BTS, IRPC, CRD, AUCT, ASIAN, GGC, THE, EKH, JUBILE, ORI, PTG, CHO, BCP, ECF, MGT, ITEL, ILINK, ASP, L&E, PCSGH, COL, MEGA, TRT, CPN, BAFS, และ PYLON
Fund Flow Analysis & Stock Rotation
ความเห็นต่อปัจจัยสำคัญสัปดาห์นี้ (20-24 พ.ย. 60)
นักลงทุนต่างประเทศ ยังมีการขายหุ้นในตลาดเอเซีย (รวมถึงของไทย) วันสุดท้ายพลิกมาซื้อหุ้น หากซื้อต่อจะเป็นบวกแต่ถ้าพลิกมาขายอีก ก็จะกดดันต่อทิศทางตลาดหุ้น … อย่างไรก็ตาม จากนี้ถึงสิ้นปี เราไม่หวังว่านักลงทุนต่างประเทศจะหันมาซื้อหุ้นไทยอย่างจริงจัง หลังเพิ่งขายทำกำไรไปในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา และดัชนีฯเองก็ปรับตัวลงไปไม่มากพอ
แผนปฎิรูปภาษีของสหรัฐฯ หนุนตลาดหุ้นดีขึ้น แต่ต้องตามดูว่า จะผ่านความเห็นชอบจากสภาสูงฯ (วุฒิสภาฯ) ได้หรือไม่ ตอนนี้ตลาดประเมินจะผ่านได้ภายในปีนี้ และสัปดาห์นี้ จะมีความคืบหน้าไปอย่างไร
กำไร 3Q ของตลาด จบลงไปแล้ว ที่ 2.07 แสนลบ. ทรงๆตัว แต่ต่ำกว่าที่เราคาดว่าจะโต 16% ราคาหุ้นตอบรับไปเรียบร้อย จากนี้ นักลงุทุนจะเริ่มพิจารณาเข้าลงทุนในหุ้นที่มี growth ดี และหุ้นที่มีการออก Op.day หากพูดดีจะเป็นศรีแก่ราคาหุ้นด้วย
ตามการประชุม ครม. ว่าจะพิจารณาอะไร ระหว่างโครงการลงทุน EEC หรือมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว หรือมาตรการอื่นๆ เวลานี้ เรามองว่า การอนุมัติอะไรก็ตามของครม. เป็นบวกต่อตลาดหุ้น
มีตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวของไทยในสัปดาห์นี้ GDP 3q(20) ,รายงานประชุม กนง.(22) , ตัวเลขส่งออก (คาด 22) , ตัวเลขยอดขายรถ(คาด 23) ตัวเลขเหล่านี้ จะสะท้อนถึงสภาวะของภาคเศรษฐกิจต่างๆ และมีผลต่อตลาดหุ้นด้วย
จะมีหุ้น IPO หลายตัว เช่น โรงพยาบาลธนบุรี กัลฟ์เอนเนอยี่ และ Saudi Aramco (ต้นปีหน้า) และหุ้นอื่นๆ จะมีการดึงเงินบางส่วนออกจากตลาดเพื่อมาจองซื้อหุ้นเหล่านี้
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯแกว่งในกรอบ 1680-1730 จุด และมีโอกาสที่จะปิดสูงขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ... การตอบรับ(ในทางลบ)ต่อกำไรของตลาด และกฎหมายภาษีของสหรัฐฯที่ผ่านไปอีกขั้นหนึ่ง หนุนให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาด แต่ด้วยราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมามาก P/E ของตลาด อยู่ราวๆ 18.0 เท่า ถือว่าไม่ถูกมาก จะเป็นตัวจำกัดให้ดัชนีฯผ่าน 1730 จุด ไปไม่ได้ง่ายนักในสัปดาห์นี้ ..... ตัวแปรที่มีผลต่อดัชนีฯ น่าจะเป็นแรงซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศว่าจะอยู่ฝั่งใด เพราะถ้าขายมาก นักลงทุนไทยจะไม่กล้าซื้อหุ้น
กลยุทธ์การลงทุน : ดัชนีฯและราคาหุ้นตัวหลักๆ ถือว่าอยู่ในระดับสูง (ราคาไม่ต่ำ)...... กลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ เราแนะให้ selective ในหุ้น ที่อยู่ในกลุ่มหลักๆ ที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้า คือ กลุ่มธนาคาร ค้าปลีก หุ้นได้ประโยชน์จาก EEC ขณะที่หุ้นในกลุ่มอื่นๆ นั้น เน้นลงทุนในหุ้นที่มีกำไรดีมีการเติบโตในอนาคต
# คำแนะนำหรือมุมมองของหุ้นแต่ละกลุ่มในเชิงกลยุทธ์ #
พิจารณาข้อมูล NVDR Trading หุ้นที่ปริมาณซื้อขายสูง มีทั้งหุ้นที่ถูกคาดว่าจะมีแรงซื้อ และถูกขาย
หุ้นคาดจะมีแรงซื้อ : IRPC, PTTGC, TOP, CPN, ROBINS, STEC, TCAP, BANPU
หุ้นเสี่ยง : PTT, TMB, INTUCH
ราคาน้ำมันดิบที่ดีดกลับขึ้นมา อาจมีผลต่อราคาหุ้นผู้ผลิตน้ำมัน(PTTEP) ที่อาจขยับขึ้นตาม .... หุ้นที่ใช้น้ำมันดิบเป็นวัตถุดิบ คือ โรงกลั่นน้ำมัน-โรงงานปิโตรเคมีขั้นต้น ต้นทุนวัตถุดิบ 4Q จะสูงกว่า 2Q และ 3Q-17 spread จะขึ้นกับ demand ว่าจะดันราคาผลิตภัณฑ์ขึ้นได้หรือไม่ แต่เราเริ่มเห็นแรงซื้อหุ้นหลัก (PTTGC, TOP) หลังราคาปรับลงมาพอควร
หุ้นได้ประโยชน์จาก นโยบาย EEC ของภาครัฐฯ ที่มีการลงทนจริงและมีเม็ดเงินเข้าโซนนี้ : WHA, AMATA, WHAUP, WICE
หุ้นที่มี Dividend Yiedl สูง : VNT(คาด 5.6%) , AIT (คาด 7.8%). ...... [ข้อมูลจาก Bloomberg]
หุ้นที่กำไร 3Q-17 ออกมาดี และยังมีแนวโน้มดีต่อ : LIT, PLAT, RICHY, M
Stock Picks of The Week 20 -24 November 2017
BBL :
ราคาปิด 196.50 บาท ราคาเหมาะสม 222.00 บาท
เนื่องจากเรามองว่า Flow จากต่างชาติจะเริ่มกลับเข้าตลาดหุ้นไทย จึงแนะนำ BBL ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่เป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้เรายังมองว่าพรวมสินเชื่อใน 4Q17 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงของการเบิกจ่ายของสินเชื่อรายใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการภาครัฐ
KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 33,140 ล้านบาท (+4% YoY) และเติบโตต่อเนื่องในปี 2018 ที่ 36,743 ล้านบาท (+11% YoY) นอกจากนี้ BBL ยังได้ผลบวกจากการเป็นพันธมิตรกับ AIA ขายประกันผ่าน 1,200 สาขา ซึ่งจะเริ่มออกผลิตภัณฑ์แรกในช่วงกลางปี 2018
ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 222.00 บาท
CPALL :
ราคาปิด 74.00 บาท ราคาเหมาะสม 84.00 บาท
เช่นเดียวกับ BBL เรามองว่า CPALL จะได้รับความสนใจจาก Flow ต่างชาติที่กลับมายังตลาดหุ้นไทย โดยเราคาดว่า CPALL จะสามารถเติบโตได้ดีต่อเนื่องในช่วง 4Q17 จากการที่ภาคบริโภคอยู่ในระดับสูงตามเทศกาล และมาตรการการจากภาครัฐมีส่วนในการกระตุ้นสนับสนุน เช่น ช็อปช่วยชาติ
KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 19,467 ล้านบาท (+17% YoY) และปี 2018 ที่ 22,388 ล้านบาท (+15% YoY) โดยเราคาดว่าบริษัทจะสามารถเติบโตได้อย่างต่ำปีละ 700 สาขา และจะสามารถถึงเป้าหมาย 13,000 สาขาได้ในปี 2021
ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 84.00 บาท
Weekly Portfolio 20 -24 November 2017
หุ้น เหตุผล
BBL(ราคาปิด 196.50) เนื่องจากเรามองว่า Flow จากต่างชาติจะเริ่มกลับเข้าตลาดหุ้นไทย จึงแนะนำ BBL ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่เป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้เรายังมองว่าพรวมสินเชื่อใน 4Q17 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงของการเบิกจ่ายของสินเชื่อรายใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการภาครัฐบาท …. KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 33,140 ล้านบาท (+4% YoY) และเติบโตต่อเนื่องในปี 2018 ที่ 36,743 ล้านบาท (+11% YoY) นอกจากนี้ BBL ยังได้ผลบวกจากการเป็นพันธมิตรกับ AIA ขายประกันผ่าน 1,200 สาขา ซึ่งจะเริ่มออกผลิตภัณฑ์แรกในช่วงกลางปี 2018 …. (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 222.00 บาท)
CPALL(ราคาปิด 74.00) เช่นเดียวกับ BBL เรามองว่า CPALL จะได้รับความสนใจจาก Flow ต่างชาติที่กลับมายังตลาดหุ้นไทย โดยเราคาดว่า CPALL จะสามารถเติบโตได้ดีต่อเนื่องในช่วง 4Q17 จากการที่ภาคบริโภคอยู่ในระดับสูงตามเทศกาล และมาตรการการจากภาครัฐมีส่วนในการกระตุ้นสนับสนุน เช่น ช็อปช่วยชาติ …. KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 19,467 ล้านบาท (+17% YoY) และปี 2018 ที่ 22,388 ล้านบาท (+15% YoY) โดยเราคาดว่าบริษัทจะสามารถเติบโตได้อย่างต่ำปีละ 700 สาขา และจะสามารถถึงเป้าหมาย 13,000 สาขาได้ในปี 2021 .... (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 84.00 บาท)
GUNKUL*(ราคาปิด 4.18) GUNKUL เติบโตได้ดีในช่วง 3Q17 กำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 193 ล้านบาท (+91% YoY, +58% QoQ) จากรายได้จากทุกธุรกิจ ทั้งธุรกิจรับเหมาฯ, พลังงานทดแทน, และธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้น มูลค่า backlog ของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 1,500 ล้านบาท โดยในช่วงปีหน้าจะมีการเข้าร่วมประมูลโครงการเคเบิ้ลใต้น้ำ 2,400 ล้านบาท และ โครงการอื่นๆอีกราว 200-300 ล้านบาท .... Bloomberg คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 831 ล้านบาท (+55% YoY) และปี 2018 ที่ 1,643 ล้านบาท (+98% YoY) .... (ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 5.04 บาท)
SENA(ราคาปิด 3.78) SENA รายงานผลการดำเนินงานช่วง 3Q17 ในระดับสูงที่ 152 ล้านบาท (+45% YoY, +74% QoQ) โดยช่วงที่เหลือของปีจะเริ่มมีการโอนโครงการใหญ่ได้แก่โครงการ Niche Pride เพชรบุรี ที่มีมูลค่าโครงการ 2,382 ล้านบาท …. KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 780 ล้านบาท (-4% YoY) และปี 2018 ที่ 793 ล้านบาท (+2% YoY) โดยเรามองว่า SENA มีจุดเด่นที่การคาดการณ์ dividend yield ปี 2017 ที่ระดับสูงที่ประมาณ 6-7% …. (ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 4.70 บาท)
Analyst : Mongkol Puangpetra
+662 648 1123
[email protected]
Analyst
Nontapat Rushtasomboon
+662 648 1127
[email protected]
นักลงทุนต่างประเทศ ยังมีการขายหุ้นในตลาดเอเซีย (รวมถึงของไทย) วันสุดท้ายพลิกมาซื้อหุ้น หากซื้อต่อจะเป็นบวกแต่ถ้าพลิกมาขายอีก ก็จะกดดันต่อทิศทางตลาดหุ้น … อย่างไรก็ตาม จากนี้ถึงสิ้นปี เราไม่หวังว่านักลงทุนต่างประเทศจะหันมาซื้อหุ้นไทยอย่างจริงจัง หลังเพิ่งขายทำกำไรไปในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา และดัชนีฯเองก็ปรับตัวลงไปไม่มากพอ
แผนปฎิรูปภาษีของสหรัฐฯ หนุนตลาดหุ้นดีขึ้น แต่ต้องตามดูว่า จะผ่านความเห็นชอบจากสภาสูงฯ (วุฒิสภาฯ) ได้หรือไม่ ตอนนี้ตลาดประเมินจะผ่านได้ภายในปีนี้ และสัปดาห์นี้ จะมีความคืบหน้าไปอย่างไร
กำไร 3Q ของตลาด จบลงไปแล้ว ที่ 2.07 แสนลบ. ทรงๆตัว แต่ต่ำกว่าที่เราคาดว่าจะโต 16% ราคาหุ้นตอบรับไปเรียบร้อย จากนี้ นักลงุทุนจะเริ่มพิจารณาเข้าลงทุนในหุ้นที่มี growth ดี และหุ้นที่มีการออก Op.day หากพูดดีจะเป็นศรีแก่ราคาหุ้นด้วย
ตามการประชุม ครม. ว่าจะพิจารณาอะไร ระหว่างโครงการลงทุน EEC หรือมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว หรือมาตรการอื่นๆ เวลานี้ เรามองว่า การอนุมัติอะไรก็ตามของครม. เป็นบวกต่อตลาดหุ้น
มีตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวของไทยในสัปดาห์นี้ GDP 3q(20) ,รายงานประชุม กนง.(22) , ตัวเลขส่งออก (คาด 22) , ตัวเลขยอดขายรถ(คาด 23) ตัวเลขเหล่านี้ จะสะท้อนถึงสภาวะของภาคเศรษฐกิจต่างๆ และมีผลต่อตลาดหุ้นด้วย
จะมีหุ้น IPO หลายตัว เช่น โรงพยาบาลธนบุรี กัลฟ์เอนเนอยี่ และ Saudi Aramco (ต้นปีหน้า) และหุ้นอื่นๆ จะมีการดึงเงินบางส่วนออกจากตลาดเพื่อมาจองซื้อหุ้นเหล่านี้
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯแกว่งในกรอบ 1680-1730 จุด และมีโอกาสที่จะปิดสูงขึ้นจากสัปดาห์ก่อน ... การตอบรับ(ในทางลบ)ต่อกำไรของตลาด และกฎหมายภาษีของสหรัฐฯที่ผ่านไปอีกขั้นหนึ่ง หนุนให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาด แต่ด้วยราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมามาก P/E ของตลาด อยู่ราวๆ 18.0 เท่า ถือว่าไม่ถูกมาก จะเป็นตัวจำกัดให้ดัชนีฯผ่าน 1730 จุด ไปไม่ได้ง่ายนักในสัปดาห์นี้ ..... ตัวแปรที่มีผลต่อดัชนีฯ น่าจะเป็นแรงซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศว่าจะอยู่ฝั่งใด เพราะถ้าขายมาก นักลงทุนไทยจะไม่กล้าซื้อหุ้น
กลยุทธ์การลงทุน : ดัชนีฯและราคาหุ้นตัวหลักๆ ถือว่าอยู่ในระดับสูง (ราคาไม่ต่ำ)...... กลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ เราแนะให้ selective ในหุ้น ที่อยู่ในกลุ่มหลักๆ ที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้า คือ กลุ่มธนาคาร ค้าปลีก หุ้นได้ประโยชน์จาก EEC ขณะที่หุ้นในกลุ่มอื่นๆ นั้น เน้นลงทุนในหุ้นที่มีกำไรดีมีการเติบโตในอนาคต
# คำแนะนำหรือมุมมองของหุ้นแต่ละกลุ่มในเชิงกลยุทธ์ #
พิจารณาข้อมูล NVDR Trading หุ้นที่ปริมาณซื้อขายสูง มีทั้งหุ้นที่ถูกคาดว่าจะมีแรงซื้อ และถูกขาย
หุ้นคาดจะมีแรงซื้อ : IRPC, PTTGC, TOP, CPN, ROBINS, STEC, TCAP, BANPU
หุ้นเสี่ยง : PTT, TMB, INTUCH
ราคาน้ำมันดิบที่ดีดกลับขึ้นมา อาจมีผลต่อราคาหุ้นผู้ผลิตน้ำมัน(PTTEP) ที่อาจขยับขึ้นตาม .... หุ้นที่ใช้น้ำมันดิบเป็นวัตถุดิบ คือ โรงกลั่นน้ำมัน-โรงงานปิโตรเคมีขั้นต้น ต้นทุนวัตถุดิบ 4Q จะสูงกว่า 2Q และ 3Q-17 spread จะขึ้นกับ demand ว่าจะดันราคาผลิตภัณฑ์ขึ้นได้หรือไม่ แต่เราเริ่มเห็นแรงซื้อหุ้นหลัก (PTTGC, TOP) หลังราคาปรับลงมาพอควร
หุ้นได้ประโยชน์จาก นโยบาย EEC ของภาครัฐฯ ที่มีการลงทนจริงและมีเม็ดเงินเข้าโซนนี้ : WHA, AMATA, WHAUP, WICE
หุ้นที่มี Dividend Yiedl สูง : VNT(คาด 5.6%) , AIT (คาด 7.8%). ...... [ข้อมูลจาก Bloomberg]
หุ้นที่กำไร 3Q-17 ออกมาดี และยังมีแนวโน้มดีต่อ : LIT, PLAT, RICHY, M
Stock Picks of The Week 20 -24 November 2017
BBL :
ราคาปิด 196.50 บาท ราคาเหมาะสม 222.00 บาท
เนื่องจากเรามองว่า Flow จากต่างชาติจะเริ่มกลับเข้าตลาดหุ้นไทย จึงแนะนำ BBL ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่เป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้เรายังมองว่าพรวมสินเชื่อใน 4Q17 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงของการเบิกจ่ายของสินเชื่อรายใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการภาครัฐ
KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 33,140 ล้านบาท (+4% YoY) และเติบโตต่อเนื่องในปี 2018 ที่ 36,743 ล้านบาท (+11% YoY) นอกจากนี้ BBL ยังได้ผลบวกจากการเป็นพันธมิตรกับ AIA ขายประกันผ่าน 1,200 สาขา ซึ่งจะเริ่มออกผลิตภัณฑ์แรกในช่วงกลางปี 2018
ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 222.00 บาท
CPALL :
ราคาปิด 74.00 บาท ราคาเหมาะสม 84.00 บาท
เช่นเดียวกับ BBL เรามองว่า CPALL จะได้รับความสนใจจาก Flow ต่างชาติที่กลับมายังตลาดหุ้นไทย โดยเราคาดว่า CPALL จะสามารถเติบโตได้ดีต่อเนื่องในช่วง 4Q17 จากการที่ภาคบริโภคอยู่ในระดับสูงตามเทศกาล และมาตรการการจากภาครัฐมีส่วนในการกระตุ้นสนับสนุน เช่น ช็อปช่วยชาติ
KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 19,467 ล้านบาท (+17% YoY) และปี 2018 ที่ 22,388 ล้านบาท (+15% YoY) โดยเราคาดว่าบริษัทจะสามารถเติบโตได้อย่างต่ำปีละ 700 สาขา และจะสามารถถึงเป้าหมาย 13,000 สาขาได้ในปี 2021
ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 84.00 บาท
Weekly Portfolio 20 -24 November 2017
หุ้น เหตุผล
BBL(ราคาปิด 196.50) เนื่องจากเรามองว่า Flow จากต่างชาติจะเริ่มกลับเข้าตลาดหุ้นไทย จึงแนะนำ BBL ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่เป็นเป้าหมายของนักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้เรายังมองว่าพรวมสินเชื่อใน 4Q17 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงของการเบิกจ่ายของสินเชื่อรายใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการภาครัฐบาท …. KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 33,140 ล้านบาท (+4% YoY) และเติบโตต่อเนื่องในปี 2018 ที่ 36,743 ล้านบาท (+11% YoY) นอกจากนี้ BBL ยังได้ผลบวกจากการเป็นพันธมิตรกับ AIA ขายประกันผ่าน 1,200 สาขา ซึ่งจะเริ่มออกผลิตภัณฑ์แรกในช่วงกลางปี 2018 …. (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 222.00 บาท)
CPALL(ราคาปิด 74.00) เช่นเดียวกับ BBL เรามองว่า CPALL จะได้รับความสนใจจาก Flow ต่างชาติที่กลับมายังตลาดหุ้นไทย โดยเราคาดว่า CPALL จะสามารถเติบโตได้ดีต่อเนื่องในช่วง 4Q17 จากการที่ภาคบริโภคอยู่ในระดับสูงตามเทศกาล และมาตรการการจากภาครัฐมีส่วนในการกระตุ้นสนับสนุน เช่น ช็อปช่วยชาติ …. KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 19,467 ล้านบาท (+17% YoY) และปี 2018 ที่ 22,388 ล้านบาท (+15% YoY) โดยเราคาดว่าบริษัทจะสามารถเติบโตได้อย่างต่ำปีละ 700 สาขา และจะสามารถถึงเป้าหมาย 13,000 สาขาได้ในปี 2021 .... (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 84.00 บาท)
GUNKUL*(ราคาปิด 4.18) GUNKUL เติบโตได้ดีในช่วง 3Q17 กำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 193 ล้านบาท (+91% YoY, +58% QoQ) จากรายได้จากทุกธุรกิจ ทั้งธุรกิจรับเหมาฯ, พลังงานทดแทน, และธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้น มูลค่า backlog ของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 1,500 ล้านบาท โดยในช่วงปีหน้าจะมีการเข้าร่วมประมูลโครงการเคเบิ้ลใต้น้ำ 2,400 ล้านบาท และ โครงการอื่นๆอีกราว 200-300 ล้านบาท .... Bloomberg คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 831 ล้านบาท (+55% YoY) และปี 2018 ที่ 1,643 ล้านบาท (+98% YoY) .... (ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 5.04 บาท)
SENA(ราคาปิด 3.78) SENA รายงานผลการดำเนินงานช่วง 3Q17 ในระดับสูงที่ 152 ล้านบาท (+45% YoY, +74% QoQ) โดยช่วงที่เหลือของปีจะเริ่มมีการโอนโครงการใหญ่ได้แก่โครงการ Niche Pride เพชรบุรี ที่มีมูลค่าโครงการ 2,382 ล้านบาท …. KTBST คาดกำไรสุทธิสำหรับปี 2017 ที่ 780 ล้านบาท (-4% YoY) และปี 2018 ที่ 793 ล้านบาท (+2% YoY) โดยเรามองว่า SENA มีจุดเด่นที่การคาดการณ์ dividend yield ปี 2017 ที่ระดับสูงที่ประมาณ 6-7% …. (ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 4.70 บาท)
Analyst : Mongkol Puangpetra
+662 648 1123
[email protected]
Analyst
Nontapat Rushtasomboon
+662 648 1127
[email protected]
OO2551