- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 16 November 2017 16:53
- Hits: 4651
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 16
“ซื้ออ่อนตัว/หรือซื้อตามเมื่อยืนเหนือ 1700”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ANAN, VNG (จากซื้อเป็นถือ), FN (จากถือเป็น Fully Valued)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET วานนี้ปิด -12.37 จุดที่ 1690.26 นำโดยกลุ่มพลังงาน & ปิโตรเคมีเมื่อจบรายงานกำไร 3Q60 และราคาน้ำมันดิบอ่อนลง ซึ่งโดยปกติสำหรับการ Trading แล้ว เมื่อจบกำไรไตรมาสก็จะ Take Profit ตามรอบ แล้วออกมารอดูปัจจัย และ Catalyst ใหม่เพื่อลงทุนในรอบต่อไป เมื่อวานนี้นลท.ต่างชาติขายสุทธิต่อ 1.5 พันลบ. รายย่อยซื้อสุทธิ 1.6 พันลบ.
# สำหรับปัจจัย ต่างประเทศ – ตัวเลข CPI เดือนต.ค.สหรัฐออกมา +0.1%MoM, +2.0%YoY และยอดค้าปลีกต.ค. +0.2%MoM, +4.6%YoY หนุนความเชื่อว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุม 13 ธ.ค.นี้ และทำให้ค่าเงิน US$ กลับมาแข็งขึ้น นอกจากนั้นร่างปฎิรูปภาษีของทรัมป์ก็อาจผ่านสภาไม่ง่ายและการบังคับใช้อาจเลื่อนออกไปเป็นปี 62 (ถ้าสภาฯลงมติผ่านร่างฯ) ซึ่งกดดันตลาดหุ้นและราคาทองคำให้อ่อนลง ด้านราคาน้ำมันดิบก็อ่อนต่อ (WTI : 55, BRENT : 62 US$/bbl) หลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่ม 1.9 ล้านบาร์เรล (ตลาดคาดว่าจะลด 2.2 ล้านบาร์เรล) และสหรัฐผลิตน้ำมันเพิ่มเป็น 9.65 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็น Record High ซึ่งประเด็นนี้ก็กดดันหุ้น กลุ่มพลังงาน & ปิโตรเคมีและตลาดหุ้นโดยรวมอีกประการหนึ่ง นอกเหนือจาก Sell on fact ที่มักเกิดขึ้นหลังประกาศกำไร
ส่วนในประเทศ – จบรายงานกำไร 3Q60 ซึ่งจากการรวบรวมของ DBSVT Research พบว่ากำไรตลาดหุ้นไทยไตรมาสนี้ทรงตัว YoY ที่ 2.1 แสนลบ.และงวด 9M60 โต 3%YoY ซึ่งต่ำกว่าที่เราไว้ อย่างไรก็ตาม ทั้งปี 60 ที่คาดการณ์ไว้ว่า EPS ตลาดจะ +6% ยังเป็นไปได้อยู่เพราะเดิมทำประมาณการกำไร 4Q60 ไว้ต่ำขณะที่มีแนวโน้มว่าจะดีกว่าคาดเพราะราคาน้ำมันดิบ MTD สูงกว่าประมาณการ ดังนั้นเราคง SET Index Target ปีนี้ไว้ที่ 1,650 จุดและปีหน้า 1,815 จุด ซึ่งระดับดัชนี 1700+/- จุดในปัจจุบัน เป็นการซื้อขายที่สะท้อนกำไรปีหน้าไปบ้างแล้ว
กลยุทธ์ : เลือกซื้อจังหวะอ่อนตัว หรือเมื่อเหนือ 1700 แนวต้านระยะสั้น 1695-1700, 1710-1720 อ่อนตัวต่ำกว่า 1700 มีแนวรับ 1680, 1670-1660 หุ้นแนะนำรายสัปดาห์ (15-21 พ.ย.) คือ AMATA, RJH สำหรับหุ้นปันผลเด่นเป็น DIF, KKP, SENA, TMT ส่วน Top Picks เดือนพ.ย. คือ AMATA, ERW, DIF, SPALI, TMB และ Dark Horse เป็น GOLD
หุ้นเทคนิคดีมีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ KKP, ESSO, BJC, TCH ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและให้ถือต่อ เป็น PTTGC, TMW, TTW, NOK, TISCO, SGP, CBG, BBL, ECL, WHA, JMART, SMPC, ERW ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะขายทำกำไร ได้แก่ RS หุ้นที่หลุด List เป็น SENA, AMATAV, TMW
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
- สหรัฐ : มีความไม่แน่นอนในการปฎิรูปภาษี อาจใช้เวลาในการถกเนื้อหาและการบังคับใช้ล่าช้าออกไป
# รายงานล่าสุดระบุว่า นายรอน จอห์นสัน วุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันยืนยันว่าเขาจะไม่โหวตสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับของวุฒิสภา หลังจากวุฒิสภาได้สร้างเงื่อนไขใหม่ด้วยการพ่วงการยกเลิกเนื้อหาส่วนหนึ่งของกฎหมายโอบามาแคร์เข้ากับแผนการปฏิรูปภาษี
# นายจอห์นสันกล่าวว่า ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับวุฒิสภาไม่มีความเป็นธรรมต่อผู้เสียภาษีที่อยู่ในกลุ่มชนชั้นกลางพร้อมกับเตือนว่าแม้ชนชั้นกลางมีแนวโน้มที่จะได้รับการลดหย่อนภาษี แต่คนกลุ่มนี้ก็จะต้องเผชิญกับการจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพที่สูงขึ้น หากมีการยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพ Affordable Care Act (ACA) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า "โอบามาแคร์"
• สหรัฐ : ดัชนี CPI +0.1%MoM, +2%YoY ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นไปตามคาด
# ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) +0.1%MoM, +2.0%YoY ในเดือนต.ค. เป็นไปตามคาดของตลาด (+0.5%MoM ในเดือนก.ย.เพราะราคาน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 13.1%MoM) หนุนโดยการปรับขึ้นของค่าเช่าและค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ
# ด้าน Core CPI +0.2%MoM, +1.8%YoY ในเดือนต.ค. (หลัง +0.1%MoM ในเดือนก.ย.)
•/+ สหรัฐ : สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจทรงตัวในเดือนก.ย. ส่วนยอดค้าปลีกต.ค.เพิ่มขึ้น
# สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจทรงตัวในเดือนก.ย.60 หลัง +0.6%MoM ในเดือนส.ค.60 ส่วนสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าปลีก -0.9%MoM ในเดือนก.ย.60
# ยอดค้าปลีก +0.2%MoM, +4.6%YoY ในเดือนต.ค. ซึ่งดีกว่าคาดการณ์ที่มองว่าจะทรงตัว หนุนโดยการซื้อรถยนต์ ส่วนยอดค้างปลีกพื้นฐาน +0.3%MoM
• สหรัฐ : ดัชนีภาวะธุรกิจชะลอตัวหลังพุ่งสูงสุดรอบ 3 ปีในเดือนต.ค.60
# ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก รายงานดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) ชะลอตัวเป็น 19.4 ในเดือน พ.ย. หลังจากมีการขยายตัวสูงสุดรอบ 3 ปีในเดือนต.ค.ที่ 30.2 แต่ดัชนีที่สูงกว่า 0 บ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคผลิต
- ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีร่วง นำโดยกลุ่มพลังงาน
# ดัชนี DJIA ปิดที่ 23,271.28 จุด ร่วงลง 138.19 จุด หรือ -0.59% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,564.62 จุด ลดลง 14.25 จุด หรือ -0.55% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,706.21 จุด ลดลง 31.66 จุด หรือ -0.47%
# หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงหลังจากราคาน้ำมันดิบอ่อนลงต่อ เมื่อสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้นเกินคาด, ขายทำกำไรหลังประกาศผลประกอบการด้วย และกังวลเรื่องการปฎิรูปภาษีว่าอาจจะล่าช้า
- ภาวะตลาดน้ำมัน: ราคาอ่อนลงหลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งแรงเกินคาด & สหรัฐผลิตน้ำมันเป็น Record High
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 37 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 55.33 ดอลลาร์/บาร์เรล และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 34 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 61.87 ดอลลาร์/บาร์เรล
# EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 2.2 ล้านบาร์เรล และระบุว่าการผลิตน้ำมันของสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 9.65 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
# และเมื่อวันก่อนหน้าสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันราว 100,000 บาร์เรล/วันในปีนี้และปี 61สู่ระดับ 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน และ 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน ตามลำดับ
- ภาวะตลาดทองคำ : ราคาทองอ่อนตัวหลังเงิน US$ แข็งค่าขึ้น
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 5.2 ดอลลาร์ หรือ 0.41% ปิดที่ระดับ 1277.70 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากค่าเงิน US$ แข็งขึ้น หลังมีรายงานว่า CPI เดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 2%YoY ซึ่งกระตุ้นความเชื่อว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 13 ธ.ค.นี้
ปัจจัยในประเทศ และหุ้นเด่น
•/+ DIF : ประชุมผู้ถือหน่วยขออนุมัติเพิ่มทุนเพื่อซื้อสินทรัพย์เข้ากองฯ 23 พ.ย.นี้
# DIF จะประชุมผู้ถือหน่วยเพื่อขออนุมัติเพิ่มทุนและลงทุนทรัพย์สิน TRUE อีก 7.1 หมื่นล้านในวันที่ 23 พ.ย.นี้
# ความเห็น DBSVT : มองว่าการซื้อสินทรัพย์ใหม่ของ DIF เป็นบวก ทั้งนี้ในการซื้อสินทรัพย์เข้ากองทุนเพิ่ม (เดือนธ.ค.60 และมิ.ย.61) จะใช้เงินทั้งหมด 70.9 พันล้านบาท โดยรอบแรก (ธ.ค.60) ทาง DIF ใช้การกู้ยืม 12.9 พันล้านบาท ส่วนรอบที่สอง (มิ.ย.61) จะเป็นการเพิ่มทุน 56 พันล้านบาทและกู้ 2 พันล้านบาท กองทุนคาดว่าจะเพิ่มทุนไม่เกิน 4,300 ล้านหุ้น ซึ่งคำนวณได้ราคาเพิ่มทุนไม่ต่ำกว่า 13 บาทต่อหุ้น และเมื่อสะท้อนการใช้เงินลงทุนตามข้างต้น จะได้ราคาพื้นฐาน DIF เท่ากับ 16.30 บาท โดย Yield ของ Assets อยู่ที่ 5.8% และ Yield ของ Equity เท่ากับ 6.1%
# ระยะเวลาสิทธิการเช่าเพิ่มขึ้นหลังซื้อสินทรัพย์เฟส 2 โดยถ้าที่ประชุมฯอนุมัติ กองทุนจะซื้อสินทรัพย์เฟส 1 ในเดือนธ.ค.นี้ โดยใช้เงินกู้ยืม 12.9 พันล้านบาท (เป็นเสาโทรคมนาคม 459 เสา และไฟเบอร์ 259,755 คอร์กิโลเมตร) อายุบริหาร 16 ปี (หมดอายุปี 2576) และซื้อสินทรัพย์เฟส 2 เดือนมิ.ย.61 ใช้การกู้ 2 พันล้านบาทและเพิ่มทุน 56 พันล้านบาท (เป็นเสาโทรคมนาคม 2,589 เสา และไฟเบอร์ 1,210,292 คอร์กิโลเมตร) ถ้าการซื้อสินทรัพย์เฟส 2 ได้รับการอนุมัติและซื้อเรียบร้อย กองทุนจะได้สิทธิบริหารระยะเวลา 16+10 ปี (โดย DIF สามารถเรียกให้ TRUE เช่าไฟเบอร์ต่อไปอีก 10 ปีหลังหมดอายุปี 2576 แล้ว) และระยะเวลาเช่าสินทรัพย์ในปัจจุบันก็จะขยายไปถึงปี 2576 ด้วย
# DBS ให้ DIF เป็นหนึ่งใน Top Pick ของกลุ่มหุ้นปันผล โดยกองทุนฯ มีสัญญาเช่าบริหารระยะยาว ซึ่งสินทรัพย์ก่อให้เกิดกระแสเงินสดที่ดี ทำให้จ่ายปันผลสูงได้สม่ำเสมอ คาดการณ์ Dividend Yield 7% สำหรับปี 61-62 และให้ราคาพื้นฐาน 16.30 บาท ซึ่งได้สะท้อนการเข้าซื้อสินทรัพย์ใหม่ในเดือนธ.ค.60 และมิ.ย.61 เข้าไปแล้ว
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
OO2451