- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 10 November 2017 16:49
- Hits: 3685
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“เลือกซื้อจังหวะอ่อนตัว”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : CPN, LPN, SYNTEC (จากซื้อเป็นถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET เมื่อวานนี้ร่วง 11.62 จุดปิดที่ 1703.03 โดยทั้งต่างชาติและสถาบันในปท.จับมือกันขายสุทธิ
# สำหรับปัจจัย ต่างประเทศ – หุ้นสหรัฐร่วงแรง (ดัชนี DJIA เมื่อคืนต่ำสุด -253 จุด) หลังนสพ.วอชิงตันโพสต์รายงานว่าสมาชิกพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาเสนอให้เลื่อนการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลออกไปเป็นปี 62 อย่างไรก็ตามดัชนี DJIA ลดช่วงลบลงเหลือ -101 จุดในระดับปิดเมื่อคณะกรรมาธิการพิจารณาวิธีการจัดหารายได้ของสภาผู้แทนราษฎรมีมติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีพรรครีพับลิกันเมื่อวานนี้ (9 พ.ย.) ด้วยคะแนนเสียง 24 ต่อ 16 และจะส่งร่างกฎหมายดังกล่าวเข้ารับการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรเต็มคณะในสัปดาห์หน้า ส่วนดัชนี CPI เดือนต.ค.ของจีน +1.9%YoY ส่วน 10M60 +1.5% ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 3% อย่างมาก ปัจจัยติดตาม คือ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือนพ.ย. และดัชนี PMI ภาคผลิต&บริการ ของประเทศชั้นนำต่างๆ ในประเทศ – ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ต.ค.60 เพิ่มเป็น 76.7 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 หนุนโดยส่งออกที่โตดี มาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาล เงินบาทอ่อนเล็กน้อย และการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้น
# ส่วนผลประกอบการ 3Q60 ออกมาพบว่า COM7 กำไรดีกว่าคาด โดย +66%YoY, +20%QoQ ยังแนะนำซื้อ และอยู่ระหว่างปรับประมาณการ & TP ขึ้น, MTLS กำไร 3Q60 โตแกร่ง +62%YoY, +17%QoQ ยังแนะนำซื้อ ให้ TP 42 บาท, UTP กำไร +130%YoY, +38%QoQ หลังใช้กำลังผลิตเครื่องจักรใหม่ได้เพิ่มขึ้น แนะนำซื้อ ปรับเพิ่ม TP เป็น 11.2 บาท, BEM กำไร +17%YoY, +30%QoQ ดีกว่าคาด แนะนำซื้อ ให้ TP 8.6 บาท, GFPT กำไร +2%YoY, +2%QoQ ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย แนะนำถือ ปรับลด TP เป็น 19.50 บาท, CPN กำไร +6%YoY รอขายสินทรัพย์เข้า CPNREIT ในธ.ค.60 ปรับเป็นถือ คง TP ไว้ที่ 85 บาท, MALEE กำไร -51%YoY, +30%QoQ ธุรกิจฟื้นช้ายังคง Fully Valued ลด TP เป็น 39.50 บาท, CHG กำไรน้อยกว่าคาด โดย +5%YoY, +48%QoQ ปรับคำแนะนำเป็นถือ ให้ TP 2.40 บาท
กลยุทธ์ : เน้นซื้อตามด้วยค่าบวก/หรืออ่อนที่แนวรับ สิ่งที่ควรระวัง คือ Sell on Fact หลังบจ.รายงานกำไร 3Q60 ออกมาตามคาด/แย่กว่าคาด ในทางเทคนิคให้แนวรับระยะสั้นของ SET ไว้ที่ 1695-1690, 1680 แนวต้าน 1710-1720 หุ้นแนะนำรายสัปดาห์ (8-14 พ.ย.) คือ AOT, MCS ส่วน Top Picks ใน Wealth Perspective เดือนพ.ย. คือ AMATA, ERW, DIF, SPALI, TMB และ Dark Horse เป็น GOLD
ส่วนหุ้นเทคนิคดีมีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ SVOA, MDX, RS, PERM, TMW, BRR ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและให้ถือต่อเป็น SENA, BEM, SUSCO, ASAP, AMATA, BR, WORK, AMATAV, PT, PTTGC, PLAT, ROBINS ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะขายทำกำไร ได้แก่ COM7, ECL, EA หุ้นที่หลุด List เป็น TMB, QH, ASK, VGI, SPPT
“เลือกซื้อจังหวะอ่อนตัว”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : CPN, LPN, SYNTEC (จากซื้อเป็นถือ)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET เมื่อวานนี้ร่วง 11.62 จุดปิดที่ 1703.03 โดยทั้งต่างชาติและสถาบันในปท.จับมือกันขายสุทธิ
# สำหรับปัจจัย ต่างประเทศ – หุ้นสหรัฐร่วงแรง (ดัชนี DJIA เมื่อคืนต่ำสุด -253 จุด) หลังนสพ.วอชิงตันโพสต์รายงานว่าสมาชิกพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาเสนอให้เลื่อนการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลออกไปเป็นปี 62 อย่างไรก็ตามดัชนี DJIA ลดช่วงลบลงเหลือ -101 จุดในระดับปิดเมื่อคณะกรรมาธิการพิจารณาวิธีการจัดหารายได้ของสภาผู้แทนราษฎรมีมติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีพรรครีพับลิกันเมื่อวานนี้ (9 พ.ย.) ด้วยคะแนนเสียง 24 ต่อ 16 และจะส่งร่างกฎหมายดังกล่าวเข้ารับการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎรเต็มคณะในสัปดาห์หน้า ส่วนดัชนี CPI เดือนต.ค.ของจีน +1.9%YoY ส่วน 10M60 +1.5% ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 3% อย่างมาก ปัจจัยติดตาม คือ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือนพ.ย. และดัชนี PMI ภาคผลิต&บริการ ของประเทศชั้นนำต่างๆ ในประเทศ – ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ต.ค.60 เพิ่มเป็น 76.7 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 หนุนโดยส่งออกที่โตดี มาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาล เงินบาทอ่อนเล็กน้อย และการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้น
# ส่วนผลประกอบการ 3Q60 ออกมาพบว่า COM7 กำไรดีกว่าคาด โดย +66%YoY, +20%QoQ ยังแนะนำซื้อ และอยู่ระหว่างปรับประมาณการ & TP ขึ้น, MTLS กำไร 3Q60 โตแกร่ง +62%YoY, +17%QoQ ยังแนะนำซื้อ ให้ TP 42 บาท, UTP กำไร +130%YoY, +38%QoQ หลังใช้กำลังผลิตเครื่องจักรใหม่ได้เพิ่มขึ้น แนะนำซื้อ ปรับเพิ่ม TP เป็น 11.2 บาท, BEM กำไร +17%YoY, +30%QoQ ดีกว่าคาด แนะนำซื้อ ให้ TP 8.6 บาท, GFPT กำไร +2%YoY, +2%QoQ ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย แนะนำถือ ปรับลด TP เป็น 19.50 บาท, CPN กำไร +6%YoY รอขายสินทรัพย์เข้า CPNREIT ในธ.ค.60 ปรับเป็นถือ คง TP ไว้ที่ 85 บาท, MALEE กำไร -51%YoY, +30%QoQ ธุรกิจฟื้นช้ายังคง Fully Valued ลด TP เป็น 39.50 บาท, CHG กำไรน้อยกว่าคาด โดย +5%YoY, +48%QoQ ปรับคำแนะนำเป็นถือ ให้ TP 2.40 บาท
กลยุทธ์ : เน้นซื้อตามด้วยค่าบวก/หรืออ่อนที่แนวรับ สิ่งที่ควรระวัง คือ Sell on Fact หลังบจ.รายงานกำไร 3Q60 ออกมาตามคาด/แย่กว่าคาด ในทางเทคนิคให้แนวรับระยะสั้นของ SET ไว้ที่ 1695-1690, 1680 แนวต้าน 1710-1720 หุ้นแนะนำรายสัปดาห์ (8-14 พ.ย.) คือ AOT, MCS ส่วน Top Picks ใน Wealth Perspective เดือนพ.ย. คือ AMATA, ERW, DIF, SPALI, TMB และ Dark Horse เป็น GOLD
ส่วนหุ้นเทคนิคดีมีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ SVOA, MDX, RS, PERM, TMW, BRR ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและให้ถือต่อเป็น SENA, BEM, SUSCO, ASAP, AMATA, BR, WORK, AMATAV, PT, PTTGC, PLAT, ROBINS ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะขายทำกำไร ได้แก่ COM7, ECL, EA หุ้นที่หลุด List เป็น TMB, QH, ASK, VGI, SPPT
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
• จีน : ดัชนี CPI เดือนต.ค. +1.9%YoY หนุนโดยราคาหมวดที่ไม่ใช่อาหารที่เพิ่มขึ้น
# สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) +1.9%YoY (+0.1%MoM) ในเดือนต.ค. โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาสินค้านอกหมวดอาหาร (+2.4%YoY) แต่หมวดอาหารลดลง (-0.4%YoY)
# ช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ดัชนี CPI +1.5%YoY ยังต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลจีนที่ 3% สำหรับปี 60
• สหรัฐ : ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์มากกว่าคาด ส่วนสต็อกสินค้าคงคลังเพิ่มตามคาด
# จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 10,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 239,000 ราย ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 231,000 ราย
# สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งประจำเดือนก.ย. +0.3%MoM สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
-/• ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีร่วงแรงเพราะกังวลว่าการบังคับใช้กฎหมายปฎิรูปภาษีอาจล่าช้ากว่าที่คาดไว้
# นักลงทุนกังวลว่าอาจมีความล่าช้าในการบังคับใช้กฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐ หลังหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์รายงานว่าสมาชิกพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาได้เสนอให้มีการชะลอการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลออกไปเป็นปี 2562
# แต่....ความวิตกผ่อนคลายลงเมื่อคณะกรรมาธิการพิจารณาวิธีการจัดหารายได้ของสภาผู้แทนราษฎร (House Ways and Means Committee) มีมติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกันเมื่อวานนี้ (9 พ.ย.) ด้วยคะแนนเสียง 24 ต่อ 16 และจะส่งร่างกฎหมายดังกล่าว (ครอบคลุมถึงการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ระดับ 35% และการลดจำนวนขั้นบันไดของการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จาก 7 ขั้น เหลือเพียง 4 ขั้น คือ 12%, 25%, 35% และ 39.6%) ให้กับสภาผู้แทนราษฎรเต็มคณะเพื่อทำการพิจารณาในสัปดาห์หน้า
# ดัชนี DJIA ปิดที่ 23,461.94 จุด ลดลง 101.42 จุด หรือ -0.43% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,584.62 จุด ลดลง 9.76 จุด หรือ -0.38% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,750.05 จุด ลดลง 39.07 จุด หรือ -0.58%
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาปรับขึ้นเพราะสถานการณ์ขัดแย้งในตะวันออกกลาง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 36 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 57.17 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 44 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 63.93 ดอลลาร์/บาร์เรล
# ปัจจัยหนุนมาจากความขัดแย้งระหว่างซาอุดิอาระเบียและอิหร่าน (ซาอุดิอาระเบียกล่าวหาเลบานอนว่าประกาศสงครามต่อซาอุดิอาระเบียหลังการรุกรานของกลุ่มฮิสบอลลาห์ในเลบานอนซึ่งได้รับการหนุนหลังจากอิหร่าน) รวมทั้งการที่กษัตริย์ซัลมาน บิน อับดุลาซิส อัล ซาอุด แห่งซาอุดิอาระเบีย ได้ประกาศกวาดล้างการทุจริตครั้งใหญ่
+ ภาวะตลาดทองคำ : ราคาทองคำขยับขึ้น
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 3.80 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่ระดับ 1,287.50 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่น
+ ไทย : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต.ค.อยู่ที่ 76.7...ปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3
# ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ต.ค.60 อยู่ที่ 76.7 จาก 75.0 ในเดือน ก.ย.60 โดยเป็นการปรับดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3
# สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 64.1 จาก 62.5 ในเดือน ก.ย.60 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 71.4 จาก 69.8 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 94.4 จาก 92.7
# ปัจจัยหนุนดัชนี ได้แก่ นโยบายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการของรัฐ, การส่งออกเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 12.22%, ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลง, เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อย และการเมืองในประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น หลังรัฐบาลประกาศเลือกตั้งปลายปี 61
# ปัจจัยลบ ได้แก่ สถานการน้ำท่วมภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้, ราคาพืชผลทางการเกษตร ยังทรงตัวในระดับต่ำ,ผู้บริโภคยังกังวลปัญหาค่าครองชีพ และความกังวลปัญหาการเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะเกาหลีเหนือ ที่หวั่นจะกระทบการส่องออกและเศรษฐกิจของไทยในอนาคต
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
• จีน : ดัชนี CPI เดือนต.ค. +1.9%YoY หนุนโดยราคาหมวดที่ไม่ใช่อาหารที่เพิ่มขึ้น
# สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) +1.9%YoY (+0.1%MoM) ในเดือนต.ค. โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาสินค้านอกหมวดอาหาร (+2.4%YoY) แต่หมวดอาหารลดลง (-0.4%YoY)
# ช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ดัชนี CPI +1.5%YoY ยังต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลจีนที่ 3% สำหรับปี 60
• สหรัฐ : ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์มากกว่าคาด ส่วนสต็อกสินค้าคงคลังเพิ่มตามคาด
# จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 10,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 239,000 ราย ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 231,000 ราย
# สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งประจำเดือนก.ย. +0.3%MoM สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
-/• ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีร่วงแรงเพราะกังวลว่าการบังคับใช้กฎหมายปฎิรูปภาษีอาจล่าช้ากว่าที่คาดไว้
# นักลงทุนกังวลว่าอาจมีความล่าช้าในการบังคับใช้กฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐ หลังหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์รายงานว่าสมาชิกพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาได้เสนอให้มีการชะลอการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลออกไปเป็นปี 2562
# แต่....ความวิตกผ่อนคลายลงเมื่อคณะกรรมาธิการพิจารณาวิธีการจัดหารายได้ของสภาผู้แทนราษฎร (House Ways and Means Committee) มีมติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกันเมื่อวานนี้ (9 พ.ย.) ด้วยคะแนนเสียง 24 ต่อ 16 และจะส่งร่างกฎหมายดังกล่าว (ครอบคลุมถึงการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ระดับ 35% และการลดจำนวนขั้นบันไดของการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จาก 7 ขั้น เหลือเพียง 4 ขั้น คือ 12%, 25%, 35% และ 39.6%) ให้กับสภาผู้แทนราษฎรเต็มคณะเพื่อทำการพิจารณาในสัปดาห์หน้า
# ดัชนี DJIA ปิดที่ 23,461.94 จุด ลดลง 101.42 จุด หรือ -0.43% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,584.62 จุด ลดลง 9.76 จุด หรือ -0.38% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,750.05 จุด ลดลง 39.07 จุด หรือ -0.58%
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาปรับขึ้นเพราะสถานการณ์ขัดแย้งในตะวันออกกลาง
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 36 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 57.17 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 44 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 63.93 ดอลลาร์/บาร์เรล
# ปัจจัยหนุนมาจากความขัดแย้งระหว่างซาอุดิอาระเบียและอิหร่าน (ซาอุดิอาระเบียกล่าวหาเลบานอนว่าประกาศสงครามต่อซาอุดิอาระเบียหลังการรุกรานของกลุ่มฮิสบอลลาห์ในเลบานอนซึ่งได้รับการหนุนหลังจากอิหร่าน) รวมทั้งการที่กษัตริย์ซัลมาน บิน อับดุลาซิส อัล ซาอุด แห่งซาอุดิอาระเบีย ได้ประกาศกวาดล้างการทุจริตครั้งใหญ่
+ ภาวะตลาดทองคำ : ราคาทองคำขยับขึ้น
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 3.80 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่ระดับ 1,287.50 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่น
+ ไทย : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต.ค.อยู่ที่ 76.7...ปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3
# ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ต.ค.60 อยู่ที่ 76.7 จาก 75.0 ในเดือน ก.ย.60 โดยเป็นการปรับดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3
# สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 64.1 จาก 62.5 ในเดือน ก.ย.60 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 71.4 จาก 69.8 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 94.4 จาก 92.7
# ปัจจัยหนุนดัชนี ได้แก่ นโยบายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการของรัฐ, การส่งออกเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 12.22%, ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลง, เงินบาทอ่อนค่าเล็กน้อย และการเมืองในประเทศมีความชัดเจนมากขึ้น หลังรัฐบาลประกาศเลือกตั้งปลายปี 61
# ปัจจัยลบ ได้แก่ สถานการน้ำท่วมภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้, ราคาพืชผลทางการเกษตร ยังทรงตัวในระดับต่ำ,ผู้บริโภคยังกังวลปัญหาค่าครองชีพ และความกังวลปัญหาการเมืองระหว่างประเทศโดยเฉพาะเกาหลีเหนือ ที่หวั่นจะกระทบการส่องออกและเศรษฐกิจของไทยในอนาคต
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
OO2237