- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 10 November 2017 16:40
- Hits: 2183
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ปรับฐานเป็นสิ่งที่คาดหมายไว้เพราะเกิดจากแรงขายรับงบ อย่างไรก็ตามยกเว้นบางหุ้นที่มีผลกำไรดีกว่าคาดทำให้ต้องมีการปรับเพิ่มกำไรขึ้นคือ WORK(FV@B135) และหันไปใช้ Fair Value ปี 2561 จะมี upside 30% จึงเลือกเป็น Top pick และเพิ่ม SAWAD(FV@B80) คาดรายงานงบ 3Q60 วันนี้ โดยน่าจะทำกำไรตามคาด แต่มีประเด็นบวกคือ เป็น 1 ใน 3 หุ้นที่จะเข้าคำนวณ SET50 ที่ราคาหุ้นยังมี upside 14% ยังชอบ BJC(FV@60) ได้ประโยชน์จากนโยบายช็อปช่วยชาติ และ CCI ที่ดีต่อเนื่อง และ PTTEP(FV@B181) ราคาน้ำมันแตะ 62 เหรียญฯ ในรอบ 2.5 ปี
กลยุทธ์การลงทุน
SET ปรับฐานเป็นสิ่งที่คาดหมายไว้เพราะเกิดจากแรงขายรับงบ อย่างไรก็ตามยกเว้นบางหุ้นที่มีผลกำไรดีกว่าคาดทำให้ต้องมีการปรับเพิ่มกำไรขึ้นคือ WORK(FV@B135) และหันไปใช้ Fair Value ปี 2561 จะมี upside 30% จึงเลือกเป็น Top pick และเพิ่ม SAWAD(FV@B80) คาดรายงานงบ 3Q60 วันนี้ โดยน่าจะทำกำไรตามคาด แต่มีประเด็นบวกคือ เป็น 1 ใน 3 หุ้นที่จะเข้าคำนวณ SET50 ที่ราคาหุ้นยังมี upside 14% ยังชอบ BJC(FV@60) ได้ประโยชน์จากนโยบายช็อปช่วยชาติ และ CCI ที่ดีต่อเนื่อง และ PTTEP(FV@B181) ราคาน้ำมันแตะ 62 เหรียญฯ ในรอบ 2.5 ปี
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย ... ตลาดเริ่มพักฐาน ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวลง
วานนี้ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนลบตลอดทั้งวันและปิดที่ 1703.03 จุด ลดลงกว่า 11.62 จุด หรือ 0.68% มูลค่าการซื้อขาย 5.50 หมื่นล้านบาท และเป็นการปรับตัวลงทุกกลุ่มอุตสาหกรรม นำโดยกลุ่มพลังงานกดดันตลาดฯ มากสุด คือ PTT และ PTTEP ลดลง 0.95% และ 1.06% ตามลำดับ รวมถึงกลุ่มปิโตรเคมีอย่าง IVL ที่ปรับลดลง 2.02% ตามแรงขาย sell on fact หลังรายงานงบงวด 3Q60 กำไรสุทธิอยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.7% qoq และ 10.4% yoy โดยกำไรปกติปรับตัวขึ้นโดดเด่นกว่า 21.7% qoq อยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หนุนจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น และ spread ผลิตภัณฑ์โดยรวมที่ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับกลุ่มอื่นๆ ที่ปรับลดลง คือกลุ่ม ICT นำโดย ADVANC ลดลงอีก 2.17% INTUCH, THCOM ลดลง 0.88% และ 0.78% เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ปรับลดลงแทบทั้งกลุ่ม โดย KBANK ลดลง 0.90% SCB ลดลง 0.34% TMB ลดลง 1.54% และ BAY ลดลง 0.64% ส่วน BBL ปรับตัวขึ้นสวนทางกลุ่มฯ 0.26% อีกกลุ่มที่ปรับลดลงคือกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะ
แนวโน้มตลาดฯ วันนี้ ยังอยู่ในช่วงปรับฐาน โดยระหว่างวันจะมีแนว 1700 จุด เป็นแนวรับสำคัญทางจิตวิทยา แต่หากดัชนีลงแรงกว่าคาดหลุด 1700 จุด ลงมา จะถือเป็นสัญญาณลบ ที่ดัชนีอาจลงมาที่แนวรับ 1695 จุด ได้
วานนี้ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนลบตลอดทั้งวันและปิดที่ 1703.03 จุด ลดลงกว่า 11.62 จุด หรือ 0.68% มูลค่าการซื้อขาย 5.50 หมื่นล้านบาท และเป็นการปรับตัวลงทุกกลุ่มอุตสาหกรรม นำโดยกลุ่มพลังงานกดดันตลาดฯ มากสุด คือ PTT และ PTTEP ลดลง 0.95% และ 1.06% ตามลำดับ รวมถึงกลุ่มปิโตรเคมีอย่าง IVL ที่ปรับลดลง 2.02% ตามแรงขาย sell on fact หลังรายงานงบงวด 3Q60 กำไรสุทธิอยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.7% qoq และ 10.4% yoy โดยกำไรปกติปรับตัวขึ้นโดดเด่นกว่า 21.7% qoq อยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หนุนจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น และ spread ผลิตภัณฑ์โดยรวมที่ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับกลุ่มอื่นๆ ที่ปรับลดลง คือกลุ่ม ICT นำโดย ADVANC ลดลงอีก 2.17% INTUCH, THCOM ลดลง 0.88% และ 0.78% เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ปรับลดลงแทบทั้งกลุ่ม โดย KBANK ลดลง 0.90% SCB ลดลง 0.34% TMB ลดลง 1.54% และ BAY ลดลง 0.64% ส่วน BBL ปรับตัวขึ้นสวนทางกลุ่มฯ 0.26% อีกกลุ่มที่ปรับลดลงคือกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะ
แนวโน้มตลาดฯ วันนี้ ยังอยู่ในช่วงปรับฐาน โดยระหว่างวันจะมีแนว 1700 จุด เป็นแนวรับสำคัญทางจิตวิทยา แต่หากดัชนีลงแรงกว่าคาดหลุด 1700 จุด ลงมา จะถือเป็นสัญญาณลบ ที่ดัชนีอาจลงมาที่แนวรับ 1695 จุด ได้
ทรัมป์ปากหวานไม่กล้าตำหนิจีนที่ได้ดุลการค้าสหรัฐสูงสุด แต่โทษรัฐบาลชุดก่อน
ปัจจัยต่างประเทศยังให้น้ำหนักไปที่การเดินทางเยือนจีนของประธานาธิปดี ทรัมป์ หลังจากเยือนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่มีประเด็นที่เหนือความคาดหมาย คือ ขอให้จีนช่วยกดดันเกาหลีเหนืออย่างจริงจัง เพราะจีนเป็นคู่ค้าสำคัญของเกาหลีเหนือ (ราว 85% ของมูลค้าการค้ารวมของเกาหลีเหนือ) และ ตามมาด้วย ต้องการลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ ที่เกิดจีนมากสุด ราว 40%ของการขาดดุลการค้าของจีน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ได้กล่าวโทษรัฐบาลจีนว่าเป็นสาเหตุที่สหรัฐขาดดุล หากแต่โทษรัฐบาลสหรัฐชุดก่อน ที่ละเลยจนทำให้การขาดดุลสูงขึ้นมาก แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการเจรจาการค้าของทั้งสองประเทศจะไม่น่าส่งผลกระทบต่อภาพรวมการค้ามากนัก เนื่องจากทั้งสองล้วนเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งคู่
ถัดมาคือคณะกรรมาธิการพิจารณาวิธีการจัดหารายได้ของสภาผู้แทนราษฎร (House Ways and Means Committee) ของสหรัฐ มีมติผ่านร่างกฎหมายปฎิรูปภาษี ส่งผลให้ร่างกฎหมายดังกล่าว เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐต่อไป ซึ่งกำหนดการเบื้องต้น ต้องการให้มีการพิจารณาผ่านร่างกฎหมายภาษี ในขั้นตอนของสภาล่างภายน 23 พ.ย. 60 และคาดจะสามารถบังคับใช้ได้ภายในวันที่ 25 ธ.ค. 60 โดยการปฎิรูปภาษีจะส่งผลให้ ภาษีนิติบุคคลลดเหลืออัตรา 20% จากปัจจุบันที่ 35% และภาษีบุคคลธรรมดาลดลงเหลือ 4 ขั้นจาก 7 ขั้น คือ 12%, 25%, 35% และ 39.6% ซึ่งประเด็นนี้ถือว่าตลาดน่าจะซัมซับไปแล้ว
ปัจจัยต่างประเทศยังให้น้ำหนักไปที่การเดินทางเยือนจีนของประธานาธิปดี ทรัมป์ หลังจากเยือนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ไปก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่มีประเด็นที่เหนือความคาดหมาย คือ ขอให้จีนช่วยกดดันเกาหลีเหนืออย่างจริงจัง เพราะจีนเป็นคู่ค้าสำคัญของเกาหลีเหนือ (ราว 85% ของมูลค้าการค้ารวมของเกาหลีเหนือ) และ ตามมาด้วย ต้องการลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐ ที่เกิดจีนมากสุด ราว 40%ของการขาดดุลการค้าของจีน อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ได้กล่าวโทษรัฐบาลจีนว่าเป็นสาเหตุที่สหรัฐขาดดุล หากแต่โทษรัฐบาลสหรัฐชุดก่อน ที่ละเลยจนทำให้การขาดดุลสูงขึ้นมาก แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการเจรจาการค้าของทั้งสองประเทศจะไม่น่าส่งผลกระทบต่อภาพรวมการค้ามากนัก เนื่องจากทั้งสองล้วนเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งคู่
ถัดมาคือคณะกรรมาธิการพิจารณาวิธีการจัดหารายได้ของสภาผู้แทนราษฎร (House Ways and Means Committee) ของสหรัฐ มีมติผ่านร่างกฎหมายปฎิรูปภาษี ส่งผลให้ร่างกฎหมายดังกล่าว เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐต่อไป ซึ่งกำหนดการเบื้องต้น ต้องการให้มีการพิจารณาผ่านร่างกฎหมายภาษี ในขั้นตอนของสภาล่างภายน 23 พ.ย. 60 และคาดจะสามารถบังคับใช้ได้ภายในวันที่ 25 ธ.ค. 60 โดยการปฎิรูปภาษีจะส่งผลให้ ภาษีนิติบุคคลลดเหลืออัตรา 20% จากปัจจุบันที่ 35% และภาษีบุคคลธรรมดาลดลงเหลือ 4 ขั้นจาก 7 ขั้น คือ 12%, 25%, 35% และ 39.6% ซึ่งประเด็นนี้ถือว่าตลาดน่าจะซัมซับไปแล้ว
ความเชื่อมั่นผู้บริโภค(CCI) เพิ่ม 3 เดือนติดต่อ หนุนหุ้นค้าปลีกดีต่อ BJC , COM7
วานนี้มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค(CCI) เดือน ต.ค. เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ราว 2.3%mom อยู่ที่ 76.7 จุด เนื่องจากประชาชนมั่นใจต่อเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งภาคการส่งออกและท่องเที่ยวที่สดใส , รัฐแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และคลายความกังวลสถานการณ์ทางการเมือง นอกเหนือจากก่อนหน้านี้ที่ ครม. อนุมัติ มาตรการช็อปช่วยชาติ เป็นเวลา 23 วัน (11 พ.ย. ถึง 3 ธ.ค.) น่าจะหนุนกำลังซื้อในช่วงที่เหลือของปี เป็นปัจจัยหนุนค้าปลีกต่อเนื่องในงวด 4Q60
ทั้งนี้มีสัญญาณบวกที่ดีขึ้นของกลุ่มค้าปลีก คือ ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่กลับมาเป็นบวก นับจากงวด 3Q60 ตัวอย่างเช่น HMPRO พบว่า SSSG 3Q60 พลิกกลับมาขยายตัว 2.8%yoy จาก -6.3%yoy ใน 2Q60, TNP มี SSSG พลิกมาเป็น +0.8%yoy จาก -0.1%yoy ใน 2Q60 และ COM7 เพิ่มขึ้น 20% yoy ต่อเนื่องจาก 12% yoy ใน 1H60 ส่วนผู้ที่ยังไม่ประกาศงบ คือ BJC คาดเพิ่มขึ้น +8 ถึง +9% yoy จาก -15.2% yoy ใน 2Q60 , CPALL คาดเพิ่มขึ้น +1% ถึง +2% yoy จาก -1% yoy ใน 2Q60 ยกเว้น ROBINS ที่คาดยังหดตัว yoy แต่น่าจะหดตัวในอัตราที่ลดลงจาก -4.7% yoy ใน 2Q60 ขณะที่ BEAUTY เชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% yoy ต่อเนื่องจาก +20.8% yoy ใน 2Q60 ทั้งนี้ จากภาพดังกล่าวข้างต้น หนุนคาด SSSG ทุกรายจะเป็นบวกใน 4Q60 และต่อเนื่องในปี 2561 ตามทิศทางเศรษฐกิจในประเทศที่ดีขึ้น หนุนคาดกำไรกลุ่มปีนี้เติบโต 19.6% และเพิ่มอีก 14.7% ในปี 2561
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นในกลุ่มค้าปลีกส่วนใหญ่ปรับขึ้นสะท้อนประเด็นดังกล่าวจนบวกไปแล้ว จนมี upside จำกัด ยกเว้น คือ BJC (FV’61@B60) และ COM7 (FV’61@B19) โดยเลือกเป็น Top picks จุดเด่นในเรื่องการเติบโตของกำไรทั้ง 2 บริษัท กล่าวคือ BJC จะมีกำไรเติบโต 50%yoy ในปีนี้ และ 16.5%yoy ในปี 2561 ขณะที่ COM7 คาดเติบโต 30%yoy และ 26%yoy มีโอกาสที่นักวิเคราะห์จะปรับเพิ่มประมาณการ (รอภายหลังจาก Analyst Meeting วันนี้)
แม้มีแรงขายรับงบ 3Q60 แต่เลือกหุ้นที่ปรับเพิ่มกำไรขึ้นคือ WORK
การรายงานงบฯ 3Q60 จนถึงช่วงค่ำวานนี้ จากข้อมูลที่ฝ่ายวิจัยรวบรวม มีบริษัทจดทะเบียนประกาศงบฯ แล้วราว 161 บริษัท คิดเป็น 47% ของ Market Cap. ทั้งตลาดฯ ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 1.16 แสนล้านบาท ลดลงเพียง 3.6%yoy และ 2.4%qoq ส่วนผลการดำเนินงานเฉพาะภาคธุรกิจที่มิใช่ธนาคารพาณิชย์ (Real Sector) พบว่า กำไรสุทธิ 3Q60 รวมกันอยู่ที่ 6.62 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8%yoy และ 0.6%qoq ขณะที่ภาพรวมกำไรสุทธิงวด 9M60 (เฉพาะที่ประกาศงบฯ แล้ว) อยู่ที่ 3.87 แสนล้านบาท โตขึ้น 1.84%yoy เมื่อเทียบกับ 9M59 ที่ทำได้ 3.80 แสนล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ 9M60 ของ Real sector อยู่ที่ 2.42 แสนล้านบาท ดีกว่า 9M59 ที่ 2.29 แสนล้านบาท หรือ 5.68%yoy
หุ้นที่ผลประกอบการเติบโตโดดเด่นและดีกว่าคาด อาทิ COM7 (+66%yoy, +19%qoq) WORK (+251%yoy, 2%qoq) IVL (+10.5%yoy, +20%qoq) SAT (+34%yoy, +67%qoq)
หุ้นที่กำไรสุทธิใกล้เคียงกับที่คาด เช่น MTLS (+62%yoy, 14%qoq) TK (+18.4%yoy, 10.6%qoq) BH (+9.3%yoy, +9.9%qoq) GFPT (+2%yoy, +2.4%qoq) BCH (24%yoy, 76%qoq)
หุ้นที่กำไรสุทธิต่ำกว่าคาด เช่น BANPU (+2788%yoy, -10%qoq) BPP (+71%yoy, -54%qoq) GUNKUL (+11%yoy, +10%qoq) CHG (5%yoy, 41%qoq) LPN (-35%yoy, -19%qoq)
ส่วน JWD ไตรมาสนี้เติบโต 14%qoq และพลิกจากขาดทุนใน 3Q59 ตรงข้ามกับ BLA ไตรมาสนี้พลิกมาขาดทุน จากที่เป็นกำไรใน 2Q60 และ 3Q59 แต่น่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว ทำให้นักวิเคราะห์ ASPS ปรับเพิ่มคำแนะนำจากเดิม switch เป็นซื้อหุ้น BLA
แม้ยังมีแรงขายรับงบ อย่างไรก็ตาม อาจจะยกเว้นเพียงบางหุ้น คือ WORK ทั้งนี้เพราะ พบว่างบ 3Q60 ดีกว่าคาดมาก ทำให้นักวิเคราะห์ ASPS ปรับประมาณการกำไรปี 2560 ขึ้นจากเดิม 25.5% และ ปี 2561 35.9% เพื่อสะท้อนต้นทุนการผลิตและ SG&A ต่ำกว่าคาด รวมถึงผลจากการปรับลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตลดลงตามขั้นบันไดในอัตราใหม่ที่มีผลในปี 2561 ทำให้กำไรในปี 2560 เติบโต 431% จากปี 2559 (ปีนี้เติบโตแรงเพราะค่าโฆษณาที่เพิ่มจาก 5 หมื่นบาทต่อนี เป็น 6.9 หมื่นบาท หรือเพิ่มขึ้น 38% )และ 33% ในปี 2561 และ หันไปใช้ fair value 135 บาท มี upside 30% อ่านรายละเอียด Equity Talk วันนี้
และ SAWAD คาดว่าจะประกาศงบ 3Q60 วันนี้ ที่ราว 681 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% qoq 25% yoy เกิดจากช่วงฤดูกาลของธุรกิจที่จะโดดเด่นในงวดนี้ และคาดว่าจะต่อเนื่องใน 4Q60 ทำให้ทั้งปี 2560 เติบโต 25.5% ส่วนปี 2561 จะเติบโต 34.6% (หลังทำงบการเงินรวมกับ BFIT แล้ว) และ เมื่อหันไปใช้ Fair Value ปี 2561 จะอยู่ 80 บาท มี upside 14% ประกอบกับนักวิเคราะห์เชิงปริมาณคาดว่าจะเข้าคำนวณใน SET50 (ติดตามอ่านรายละเอียด Quantitative Report ได้ในวันนี้) และมีโอกาสเข้าคำนวณในดัชนี MSCI Global Standard อีกด้วย ซึ่งคาดว่าจะมีการรายงานในเช้าวันอังคาร 14 พ.ย. นี้ จึงเลือกเป็น Top pick
วานนี้มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค(CCI) เดือน ต.ค. เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ราว 2.3%mom อยู่ที่ 76.7 จุด เนื่องจากประชาชนมั่นใจต่อเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งภาคการส่งออกและท่องเที่ยวที่สดใส , รัฐแจกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และคลายความกังวลสถานการณ์ทางการเมือง นอกเหนือจากก่อนหน้านี้ที่ ครม. อนุมัติ มาตรการช็อปช่วยชาติ เป็นเวลา 23 วัน (11 พ.ย. ถึง 3 ธ.ค.) น่าจะหนุนกำลังซื้อในช่วงที่เหลือของปี เป็นปัจจัยหนุนค้าปลีกต่อเนื่องในงวด 4Q60
ทั้งนี้มีสัญญาณบวกที่ดีขึ้นของกลุ่มค้าปลีก คือ ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่กลับมาเป็นบวก นับจากงวด 3Q60 ตัวอย่างเช่น HMPRO พบว่า SSSG 3Q60 พลิกกลับมาขยายตัว 2.8%yoy จาก -6.3%yoy ใน 2Q60, TNP มี SSSG พลิกมาเป็น +0.8%yoy จาก -0.1%yoy ใน 2Q60 และ COM7 เพิ่มขึ้น 20% yoy ต่อเนื่องจาก 12% yoy ใน 1H60 ส่วนผู้ที่ยังไม่ประกาศงบ คือ BJC คาดเพิ่มขึ้น +8 ถึง +9% yoy จาก -15.2% yoy ใน 2Q60 , CPALL คาดเพิ่มขึ้น +1% ถึง +2% yoy จาก -1% yoy ใน 2Q60 ยกเว้น ROBINS ที่คาดยังหดตัว yoy แต่น่าจะหดตัวในอัตราที่ลดลงจาก -4.7% yoy ใน 2Q60 ขณะที่ BEAUTY เชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% yoy ต่อเนื่องจาก +20.8% yoy ใน 2Q60 ทั้งนี้ จากภาพดังกล่าวข้างต้น หนุนคาด SSSG ทุกรายจะเป็นบวกใน 4Q60 และต่อเนื่องในปี 2561 ตามทิศทางเศรษฐกิจในประเทศที่ดีขึ้น หนุนคาดกำไรกลุ่มปีนี้เติบโต 19.6% และเพิ่มอีก 14.7% ในปี 2561
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นในกลุ่มค้าปลีกส่วนใหญ่ปรับขึ้นสะท้อนประเด็นดังกล่าวจนบวกไปแล้ว จนมี upside จำกัด ยกเว้น คือ BJC (FV’61@B60) และ COM7 (FV’61@B19) โดยเลือกเป็น Top picks จุดเด่นในเรื่องการเติบโตของกำไรทั้ง 2 บริษัท กล่าวคือ BJC จะมีกำไรเติบโต 50%yoy ในปีนี้ และ 16.5%yoy ในปี 2561 ขณะที่ COM7 คาดเติบโต 30%yoy และ 26%yoy มีโอกาสที่นักวิเคราะห์จะปรับเพิ่มประมาณการ (รอภายหลังจาก Analyst Meeting วันนี้)
แม้มีแรงขายรับงบ 3Q60 แต่เลือกหุ้นที่ปรับเพิ่มกำไรขึ้นคือ WORK
การรายงานงบฯ 3Q60 จนถึงช่วงค่ำวานนี้ จากข้อมูลที่ฝ่ายวิจัยรวบรวม มีบริษัทจดทะเบียนประกาศงบฯ แล้วราว 161 บริษัท คิดเป็น 47% ของ Market Cap. ทั้งตลาดฯ ทำกำไรสุทธิรวมกันได้ 1.16 แสนล้านบาท ลดลงเพียง 3.6%yoy และ 2.4%qoq ส่วนผลการดำเนินงานเฉพาะภาคธุรกิจที่มิใช่ธนาคารพาณิชย์ (Real Sector) พบว่า กำไรสุทธิ 3Q60 รวมกันอยู่ที่ 6.62 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.8%yoy และ 0.6%qoq ขณะที่ภาพรวมกำไรสุทธิงวด 9M60 (เฉพาะที่ประกาศงบฯ แล้ว) อยู่ที่ 3.87 แสนล้านบาท โตขึ้น 1.84%yoy เมื่อเทียบกับ 9M59 ที่ทำได้ 3.80 แสนล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ 9M60 ของ Real sector อยู่ที่ 2.42 แสนล้านบาท ดีกว่า 9M59 ที่ 2.29 แสนล้านบาท หรือ 5.68%yoy
หุ้นที่ผลประกอบการเติบโตโดดเด่นและดีกว่าคาด อาทิ COM7 (+66%yoy, +19%qoq) WORK (+251%yoy, 2%qoq) IVL (+10.5%yoy, +20%qoq) SAT (+34%yoy, +67%qoq)
หุ้นที่กำไรสุทธิใกล้เคียงกับที่คาด เช่น MTLS (+62%yoy, 14%qoq) TK (+18.4%yoy, 10.6%qoq) BH (+9.3%yoy, +9.9%qoq) GFPT (+2%yoy, +2.4%qoq) BCH (24%yoy, 76%qoq)
หุ้นที่กำไรสุทธิต่ำกว่าคาด เช่น BANPU (+2788%yoy, -10%qoq) BPP (+71%yoy, -54%qoq) GUNKUL (+11%yoy, +10%qoq) CHG (5%yoy, 41%qoq) LPN (-35%yoy, -19%qoq)
ส่วน JWD ไตรมาสนี้เติบโต 14%qoq และพลิกจากขาดทุนใน 3Q59 ตรงข้ามกับ BLA ไตรมาสนี้พลิกมาขาดทุน จากที่เป็นกำไรใน 2Q60 และ 3Q59 แต่น่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว ทำให้นักวิเคราะห์ ASPS ปรับเพิ่มคำแนะนำจากเดิม switch เป็นซื้อหุ้น BLA
แม้ยังมีแรงขายรับงบ อย่างไรก็ตาม อาจจะยกเว้นเพียงบางหุ้น คือ WORK ทั้งนี้เพราะ พบว่างบ 3Q60 ดีกว่าคาดมาก ทำให้นักวิเคราะห์ ASPS ปรับประมาณการกำไรปี 2560 ขึ้นจากเดิม 25.5% และ ปี 2561 35.9% เพื่อสะท้อนต้นทุนการผลิตและ SG&A ต่ำกว่าคาด รวมถึงผลจากการปรับลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตลดลงตามขั้นบันไดในอัตราใหม่ที่มีผลในปี 2561 ทำให้กำไรในปี 2560 เติบโต 431% จากปี 2559 (ปีนี้เติบโตแรงเพราะค่าโฆษณาที่เพิ่มจาก 5 หมื่นบาทต่อนี เป็น 6.9 หมื่นบาท หรือเพิ่มขึ้น 38% )และ 33% ในปี 2561 และ หันไปใช้ fair value 135 บาท มี upside 30% อ่านรายละเอียด Equity Talk วันนี้
และ SAWAD คาดว่าจะประกาศงบ 3Q60 วันนี้ ที่ราว 681 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.1% qoq 25% yoy เกิดจากช่วงฤดูกาลของธุรกิจที่จะโดดเด่นในงวดนี้ และคาดว่าจะต่อเนื่องใน 4Q60 ทำให้ทั้งปี 2560 เติบโต 25.5% ส่วนปี 2561 จะเติบโต 34.6% (หลังทำงบการเงินรวมกับ BFIT แล้ว) และ เมื่อหันไปใช้ Fair Value ปี 2561 จะอยู่ 80 บาท มี upside 14% ประกอบกับนักวิเคราะห์เชิงปริมาณคาดว่าจะเข้าคำนวณใน SET50 (ติดตามอ่านรายละเอียด Quantitative Report ได้ในวันนี้) และมีโอกาสเข้าคำนวณในดัชนี MSCI Global Standard อีกด้วย ซึ่งคาดว่าจะมีการรายงานในเช้าวันอังคาร 14 พ.ย. นี้ จึงเลือกเป็น Top pick
ต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นในภูมิภาคทุกแห่ง
วานนี้ต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่ารวมกว่า 285 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) และเป็นการขายสุทธิในตลาดหุ้นทุกแห่งในภูมิภาค นำโดย เกาหลีใต้ มูลค่า 113 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) ตามด้วย ไต้หวัน 101 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2), อินโดนิเซีย 13 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) ,ฟิลิปปินส์ต่างชาติสลับมาขายสุทธิ 5 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยซึ่งต่างชาติสลับมาขายสุทธิ 52 ล้านเหรียญ หรือ 1.73 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วันก่อนหน้า) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิ 1.05 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 3.69 พันล้านบาท เช่นเดียวกับต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิเป็นวันแรก มูลค่าราว 412 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกันนานถึง 8 วัน มูลค่ารวม 1.51 หมื่นล้านบาท)
คาดการณ์หุ้นเข้าคำนวณ SET50 รอบ 1H61 เบื้องต้นชอบ SAWAD, CENTEL
เริ่มเข้าใกล้ช่วงเวลาที่จะปรับเปลี่ยนหุ้นที่เข้า–ออก SET50 และ SET100 (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.– 30 มิ.ย. 2561) เบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯจึงได้ทำการคำนวณและคัดกรองหุ้นที่มีโอกาส เข้า – ออก ตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำหนด อย่างไรก็ตามขณะนี้ข้อมูลที่ใช้คำนวณอาจจะยังไม่ครบทั้ง 100% เนื่องจากฝ่ายวิจัยใช้ข้อมูลจนถึงวันที่ 8 พ.ย. 2560 ซึ่งยังขาดข้อมูลในช่วงเดือน พ.ย. 60 ที่เหลือเกือบทั้งเดือน แต่ในเบื้องต้นพอจะสรุปรายชื่อหุ้นได้ดังนี้
วานนี้ต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นในภูมิภาค มูลค่ารวมกว่า 285 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) และเป็นการขายสุทธิในตลาดหุ้นทุกแห่งในภูมิภาค นำโดย เกาหลีใต้ มูลค่า 113 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) ตามด้วย ไต้หวัน 101 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2), อินโดนิเซีย 13 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) ,ฟิลิปปินส์ต่างชาติสลับมาขายสุทธิ 5 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว) เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยซึ่งต่างชาติสลับมาขายสุทธิ 52 ล้านเหรียญ หรือ 1.73 พันล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิ 2 วันก่อนหน้า) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิ 1.05 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 3.69 พันล้านบาท เช่นเดียวกับต่างชาติที่สลับมาซื้อสุทธิเป็นวันแรก มูลค่าราว 412 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกันนานถึง 8 วัน มูลค่ารวม 1.51 หมื่นล้านบาท)
คาดการณ์หุ้นเข้าคำนวณ SET50 รอบ 1H61 เบื้องต้นชอบ SAWAD, CENTEL
เริ่มเข้าใกล้ช่วงเวลาที่จะปรับเปลี่ยนหุ้นที่เข้า–ออก SET50 และ SET100 (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.– 30 มิ.ย. 2561) เบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯจึงได้ทำการคำนวณและคัดกรองหุ้นที่มีโอกาส เข้า – ออก ตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำหนด อย่างไรก็ตามขณะนี้ข้อมูลที่ใช้คำนวณอาจจะยังไม่ครบทั้ง 100% เนื่องจากฝ่ายวิจัยใช้ข้อมูลจนถึงวันที่ 8 พ.ย. 2560 ซึ่งยังขาดข้อมูลในช่วงเดือน พ.ย. 60 ที่เหลือเกือบทั้งเดือน แต่ในเบื้องต้นพอจะสรุปรายชื่อหุ้นได้ดังนี้
หุ้นทีมีโอกาสคัดเข้า-ออก SET50 ในรอบ 1H61 คือ
หุ้นที่คาดว่าถูกคัดเลือกเข้า SET50 มี 3 บริษัท: SAWAD, TPIPP และ CENTEL
หุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดออกจาก SET50 มี 3 บริษัท : TPIPL, PSH และ KCE
หุ้นสำรอง อาจจะถูกคัดเลือกเข้า SET50 5 บริษัทแรก : KCE, BCP, PSH, JAS และ WHA
หุ้นทีมีโอกาสคัดเข้า-ออก SET100 ในรอบ 1H61 คือ
หุ้นที่คาดว่าน่าจะถูกคัดเลือกเข้า SET100 มี 10 บริษัท: TPIPP, JAS, ESSO, TTW, HANA, ORI, WHAUP, PLAT, COL และ SPCG
หุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดออกจาก SET100 มี 10 บริษัท: SPTI, PTL, BIG, MALEE, MONO, THCOM, TTA, LPN, UNIQ และ ANAN
หุ้นสำรอง อาจจะถูกคัดเลือกเข้า SET100 5 บริษัทแรก : UV, GOLD, KSL, UNIQ และ RS
หมายเหตุ : หุ้นที่ถูกคัดเข้า-ออก SET50 และ SET100 ดังกล่าว เรียงลำดับรายชื่อหุ้นตามโอกาสที่จะถูกคัดเข้า–ออก จากมากไปหาน้อย
***อย่างไรก็ตามในการคำนวณสุดท้ายแล้วยังขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของตลาดฯ เป็นสำคัญ***
หุ้นที่คาดว่าถูกคัดเลือกเข้า SET50 มี 3 บริษัท: SAWAD, TPIPP และ CENTEL
หุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดออกจาก SET50 มี 3 บริษัท : TPIPL, PSH และ KCE
หุ้นสำรอง อาจจะถูกคัดเลือกเข้า SET50 5 บริษัทแรก : KCE, BCP, PSH, JAS และ WHA
หุ้นทีมีโอกาสคัดเข้า-ออก SET100 ในรอบ 1H61 คือ
หุ้นที่คาดว่าน่าจะถูกคัดเลือกเข้า SET100 มี 10 บริษัท: TPIPP, JAS, ESSO, TTW, HANA, ORI, WHAUP, PLAT, COL และ SPCG
หุ้นที่คาดว่าจะถูกคัดออกจาก SET100 มี 10 บริษัท: SPTI, PTL, BIG, MALEE, MONO, THCOM, TTA, LPN, UNIQ และ ANAN
หุ้นสำรอง อาจจะถูกคัดเลือกเข้า SET100 5 บริษัทแรก : UV, GOLD, KSL, UNIQ และ RS
หมายเหตุ : หุ้นที่ถูกคัดเข้า-ออก SET50 และ SET100 ดังกล่าว เรียงลำดับรายชื่อหุ้นตามโอกาสที่จะถูกคัดเข้า–ออก จากมากไปหาน้อย
***อย่างไรก็ตามในการคำนวณสุดท้ายแล้วยังขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของตลาดฯ เป็นสำคัญ***
หุ้นส่วนใหญ่ที่ถูกคาดการณ์เข้า SET50 และ SET100 ราคาเกินมูลค่าพื้นฐานไปมากแล้ว อย่างไรก็ตามยังมีหุ้นที่น่าสนใจลงทุนยามตลาดหุ้นผันผวนเช่นปัจจุบัน คือ SAWAD และ CENTEL โดยทั้ง 2 บริษัทมีโอกาสเข้าคำนวณใน SET50 สูง และยังมีประเด็นเฉพาะตัว โดยมีรายละเอียดแต่ละบริษัทดังนี้
SAWAD(FV’61@B80) มีโอกาสถูกคัดเลือกเข้า SET50 สูง และคาดว่าทิศทางในช่วงที่เหลือของปียังเติบโตต่อเนื่อง ตามภาพรวมสินเชื่อที่เป็นไปในเชิงรุกขึ้น และ spread ที่ทยอยฟื้นตัว นอกจากนี้ยังมีประเด็นเก็งกำไรระยะสั้นจากการที่ SAWAD มีโอกาสย้ายจากดัชนี MSCI Global Small Cap. มายังดัชนี MSCI Global Standard แทน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา Market Cap. ของ SAWAD ที่เพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง โดยล่าสุดอยู่ที่ 7.31 หมื่นล้านบาท ซึ่งแซงหน้า KCE ที่ปัจจุบันอยู่ในดัชนี MSCI Global Standard แต่กลับมี Market Cap. เพียง 5.00 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ SAWAD จะถูกเข้าคำนวณในดัชนี MSCI Global Standard ในรอบที่จะถึงนี้ โดยนักลงทุนจะทราบผลการปรับพอร์ตในดัชนี MSCI ได้ในเช้าวันที่ 14 พ.ย.60 นี้
CENTEL(FV’61@B52) มีโอกาสถูกคัดเลือกเข้าทั้ง SET50 และคาดกำไรในช่วงที่เหลือของปียังเติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะงวด 4Q60 ที่ได้อานิสงค์จากทั้งธุรกิจโรงแรมเข้า High Season และธุรกิจอาหาร SSSG ฟื้นชัดเจน บวกกับการเร่งขยายสาขาใหม่เพิ่มอีก 54 สาขาจากปีก่อน เพื่อให้สู่เป้าหมาย 884 สาขาภายในสิ้นปีนี้ แม้ CENTEL จะไม่ได้ประโยชน์จากมาตรการช็อปช่วยชาติโดยตรง แต่ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาจึงเป็นโอกาสในการสะสม
SAWAD(FV’61@B80) มีโอกาสถูกคัดเลือกเข้า SET50 สูง และคาดว่าทิศทางในช่วงที่เหลือของปียังเติบโตต่อเนื่อง ตามภาพรวมสินเชื่อที่เป็นไปในเชิงรุกขึ้น และ spread ที่ทยอยฟื้นตัว นอกจากนี้ยังมีประเด็นเก็งกำไรระยะสั้นจากการที่ SAWAD มีโอกาสย้ายจากดัชนี MSCI Global Small Cap. มายังดัชนี MSCI Global Standard แทน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา Market Cap. ของ SAWAD ที่เพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง โดยล่าสุดอยู่ที่ 7.31 หมื่นล้านบาท ซึ่งแซงหน้า KCE ที่ปัจจุบันอยู่ในดัชนี MSCI Global Standard แต่กลับมี Market Cap. เพียง 5.00 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ SAWAD จะถูกเข้าคำนวณในดัชนี MSCI Global Standard ในรอบที่จะถึงนี้ โดยนักลงทุนจะทราบผลการปรับพอร์ตในดัชนี MSCI ได้ในเช้าวันที่ 14 พ.ย.60 นี้
CENTEL(FV’61@B52) มีโอกาสถูกคัดเลือกเข้าทั้ง SET50 และคาดกำไรในช่วงที่เหลือของปียังเติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะงวด 4Q60 ที่ได้อานิสงค์จากทั้งธุรกิจโรงแรมเข้า High Season และธุรกิจอาหาร SSSG ฟื้นชัดเจน บวกกับการเร่งขยายสาขาใหม่เพิ่มอีก 54 สาขาจากปีก่อน เพื่อให้สู่เป้าหมาย 884 สาขาภายในสิ้นปีนี้ แม้ CENTEL จะไม่ได้ประโยชน์จากมาตรการช็อปช่วยชาติโดยตรง แต่ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาจึงเป็นโอกาสในการสะสม
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
OO2225