WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBSบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 

“เลือกซื้อค่าบวก/ถือเมื่อยังเหนือ 1710”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : KCE (จากซื้อเป็นถือ)
  ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET เมื่อวานนี้ขยับขึ้นเล็กน้อย 1.9 จุดปิดที่ 1714.65 นำโดยแบงค์ใหญ่ และหุ้นปิโตรเคมี เช่น PTTGC, IVL ส่วนหุ้นกลุ่มค้าปลีกส่วนใหญ่อ่อนตัวจาก Sell on fact หลังรัฐบาลออกมาตรการชอปช่วยชาติออกมาตามคาด ต่างชาติพลิกกลับเป็นซื้อสุทธิ 576 ล้านบาท พอร์ตบล.และรายย่อยซื้อสุทธิกลุ่มละไม่มาก ส่วนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 783 ล้านบาท
  สำหรับปัจจัยต่างประเทศ – ยังไม่มีประเด็นใหม่ที่มีนัยสำคัญ ตลาดรอดูร่างปฎิรูปภาษีของวุฒิสภาสหรัฐ หลังร่างของสภาผู้แทนราษฎรออกมาแล้วในสัปดาห์ก่อน รวมถึงติดตามดูความสัมพันธ์สหรัฐ-จีน การจัดการปัญหาในคาบสมุทรเกาหลี ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือนพ.ย.ดัชนี CPI เดือนต.ค.ของจีน และดัชนี PMI ภาคผลิต&บริการ ของประเทศชั้นนำต่างๆ
  ส่วนในประเทศ – กนง.มีมติคงดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% ตามที่เราและตลาดคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ DBSV ประเมินว่าดอกเบี้ยของไทยจะทรงตัวไปอีกอย่างน้อย 2-3 ไตรมาสข้างหน้า แต่ Yield ในตลาดจะแกว่งไปตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐ
  ด้านรายงานกำไร - PTTGC มีกำไรสุทธิ 3Q60 แข็งแกร่ง 9.95 พันลบ. (+60%YoY, +51%QoQ) และงวด 9M60 เท่ากับ 29.74 พันลบ. (+87%YoY) แม้สเปรดปิโตรเคมีอ่อนลง แต่ค่าการกลั่นสูงขึ้นเพราะมีพายุเฮอร์ริเคนในสหรัฐ ใช้กำลังการผลิตเพิ่ม มีกำไรจากสต็อก ส่วนแบ่งกำไรจากบ.ร่วม +642%YoY หลังรับโอน 6 บริษัทมาจาก PTT และมีกำไรจากโครงการ MAX 778 ล้านบาทช่วยหนุน แนวโน้มปี 61 ไปได้ดีต่อเนื่อง แนะนำซื้อ ในทางเทคนิคให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 82, 84-85 บาท
  กลยุทธ์ : เน้นซื้อตามด้วยค่าบวก/หรืออ่อนที่แนวรับ สิ่งที่ควรระวัง คือ Sell on Fact หลังบจ.รายงานกำไร 3Q60 ออกมาตามคาด/แย่กว่าคาด ในทางเทคนิคให้แนวรับระยะสั้นของ SET ไว้ที่ 1700, 1690-1680 แนวต้าน 1720-1730 แนวฟิวเตอร์ที่ไม่ควรหลุด 1710
  หุ้นแนะนำรายสัปดาห์ (8-14 พ.ย.) คือ AOT, MCS ส่วน Top Picks ใน Wealth Perspective เดือนพ.ย. คือ AMATA, ERW, DIF, SPALI, TMB และ Dark Horse เป็น GOLD
  ส่วนหุ้นเทคนิคดีมีโอกาสทำ New High ที่เข้ามาใหม่คือ AMATAV, PT, PTTGC, ECL, PLAT, EA, ROBINS ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและให้ถือต่อ เป็น SENA, TMB, BEM, QH, SUSCO, ASK, ASAP, AMATA, BR, COM7, VGI, SPPT, WORK ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะขายทำกำไร ได้แก่ TIP, SQ, RJH, AJ หุ้นที่หลุด List เป็น SYNEX

 

ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
+ ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีดาวโจนส์, S&P500 และ Nasdaq ทำนิวไฮ
  # ดัชนีดาวโจนส์, S&P500 และ Nasdaq ทำสถิติปิดทำนิวไฮในวันเดียวกันเป็นครั้งที่ 27 ของปีนี้ โดยดัชนี DJIA ปิดที่ 23,563.36 จุด เพิ่มขึ้น 6.13 จุด หรือ +0.03% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,594.38 จุด เพิ่มขึ้น 3.74 จุด หรือ +0.14% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,789.12 จุด เพิ่มขึ้น 21.34 จุด หรือ +0.32%
  # ปัจจัยหนุน คือ ผลประกอบการบจ.ขนาดใหญ่ที่แข็งแกร่ง ส่วนเรื่องที่ติดตาม คือ ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของสหรัฐ ซึ่งวุฒิสภายังไม่ได้เปิดเผยร่าง ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรเปิดเผยไปแล้วในสัปดาห์ก่อน และขณะนี้ทางคณะกรรมาธิการยังคงดำเนินการอภิปรายร่างกฎหมายดังกล่าว
-/• ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาอ่อนลงแต่ยังอยู่ในระดับสูง
  # สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 39 เซนต์ หรือ 0.7% ปิดที่ 56.81 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 20 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 63.49 ดอลลาร์/บาร์เรล
  # EIA ระบุสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐ +2.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะ -2.9 ล้านบาร์เรล
+ ภาวะตลาดทองคำ : ราคาเพิ่มขึ้น...รอดูความคืบหน้าของร่างปฎิรูปภาษีสหรัฐ
  # สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 7.90 ดอลลาร์ หรือ 0.62% ปิดที่ระดับ 1,283.70 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่น
• กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% ตามตลาดคาด
  # เมื่อวานนี้ (8 พ.ย.) ที่ประชุมกนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี ซึ่งเป็นไปตามตลาดคาด
  # คณะกรรมการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีกว่าที่ประเมินไว้เดิม ตามแรงส่งจากภาคต่างประเทศขณะที่อุปสงค์ในประเทศขยายตัวได้ดีขึ้นต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไป ภาวะการเงินโดยรวมยังอยู่ในระดับผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เสถียรภาพระบบการเงินโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี แต่มีความเสี่ยงในบางจุดที่เปราะบางและต้องติดตามใกล้ชิด เช่น 1) ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐและการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก 2) พฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (search for yield) ในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน ซึ่งอาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร 3) ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและธุรกิจ SMEs
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
OO2176

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!