- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 08 November 2017 16:55
- Hits: 1315
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET กลับมาสู่การปรับฐานอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ผ่าน 1720 จุด ขณะที่ราคาน้ำมันดิบโลกอ่อนตัวช่วงสั้น หลังจากทำสถิติสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี รวมถึงแรงขายรับงบ 3Q60 ยังมีอยู่ และน่าจะต่อเนื่องถึงกลางเดือนนี้ Top pick เลือก BJC(FV@60) ได้ประโยชน์จากนโยบายช็อปช่วยชาติที่มีระยะยาวกว่าคาด บวกกับ SSSG กลับมาเป็นบวก 8% ใน 3Q60 และน่าจะดีต่อในงวด 4Q60 จะหนุนกำไรทั้งปีนี้เติบโต 50% ปี 2560 และเติบโตอีก 16.5% ในปี 2561
กลยุทธ์การลงทุน
SET กลับมาสู่การปรับฐานอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ผ่าน 1720 จุด ขณะที่ราคาน้ำมันดิบโลกอ่อนตัวช่วงสั้น หลังจากทำสถิติสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี รวมถึงแรงขายรับงบ 3Q60 ยังมีอยู่ และน่าจะต่อเนื่องถึงกลางเดือนนี้ Top pick เลือก BJC(FV@60) ได้ประโยชน์จากนโยบายช็อปช่วยชาติที่มีระยะยาวกว่าคาด บวกกับ SSSG กลับมาเป็นบวก 8% ใน 3Q60 และน่าจะดีต่อในงวด 4Q60 จะหนุนกำไรทั้งปีนี้เติบโต 50% ปี 2560 และเติบโตอีก 16.5% ในปี 2561
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย ... ดัชนีแผ่วปลายช่วงท้าย
วานนี้ SET Index แกว่งตัวบริเวณ 1720 จุด แต่เมื่อผ่านไปไม่ได้ก็เจอแรงขายกดดัชนีในช่วงท้ายตลาดลงมาปิดที่ 1712.75 จุด เพิ่มขึ้นเพียง 1.01 จุด หรือ 0.06% มูลค่าการซื้อขาย 5.67 หมื่นล้านบาท กลุ่มที่ปรับขึ้นโดดเด่น คือ กลุ่มพลังงาน ปัจจัยบวกมาจากราคาน้ำมันโลกปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี โดย PTT เพิ่มขึ้น 0.47% ส่วน PTTEP เพิ่มขึ้นโดดเด่นอีก 3% อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น PTTEP ยัง underperform ตลาดฯ ตั้งแต่ต้นปียังให้ผลตอบแทน -1.81% ฝ่ายวิจัยฯ ให้มูลค่าพื้นฐานปี 2561 อยู่ที่ 118 บาท มี upside กว่า 25% ส่วน IRPC และ TOP เพิ่มขึ้น 0.78% และ 0.51% ตามลำดับ
ส่วนกลุ่ม ICT เริ่มกลับมาฟื้นตัวหลังตลาดซึมซับประเด็นลบในช่วงก่อนหน้าไปมากแล้ว โดย THCOM ขยับขึ้นอีก 3.94% ทำให้นับตั้งแต่วันที่ 2 พ.ย. ที่ราคาลงไปทำจุดต่ำสุดจนถึงวานนี้ ราคาหุ้นฟื้นกลับมาแล้วถึง 9.09% ส่วน INTUCH เพิ่มขึ้น 0.89% ส่วนกลุ่มค้าปลีกที่ได้ sentiment บวกจากมาตรการช็อปช่วยชาติที่ผ่านการพิจารณาของ ครม. วานนี้ มีทั้งปรับเพิ่มขึ้นและลดลง โดย BJC เพิ่มขึ้น 0.95% ขณะที่ ROBINS ลดลง 0.34%
ตรงข้ามหุ้นที่ปรับลดลงคือ กลุ่มอาหาร-เครื่องดื่ม นำโดย TKN ลดลงแรง 5.63% เช่นเดียวกับกลุ่มหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล ทั้ง BH และ BDMS ลดลง 0.46% และ 0.47% ตามลำดับ
สำหรับแนวโน้มตลาดวันนี้ คาดดัชนีน่าจะกลับมาแกว่งพักตัว หลังจากเริ่มหมดปัจจัยใหม่ๆ โดย SET Index มีแนวรับที่ 1700 จุด แนวต้าน 1720 จุด
วานนี้ SET Index แกว่งตัวบริเวณ 1720 จุด แต่เมื่อผ่านไปไม่ได้ก็เจอแรงขายกดดัชนีในช่วงท้ายตลาดลงมาปิดที่ 1712.75 จุด เพิ่มขึ้นเพียง 1.01 จุด หรือ 0.06% มูลค่าการซื้อขาย 5.67 หมื่นล้านบาท กลุ่มที่ปรับขึ้นโดดเด่น คือ กลุ่มพลังงาน ปัจจัยบวกมาจากราคาน้ำมันโลกปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี โดย PTT เพิ่มขึ้น 0.47% ส่วน PTTEP เพิ่มขึ้นโดดเด่นอีก 3% อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น PTTEP ยัง underperform ตลาดฯ ตั้งแต่ต้นปียังให้ผลตอบแทน -1.81% ฝ่ายวิจัยฯ ให้มูลค่าพื้นฐานปี 2561 อยู่ที่ 118 บาท มี upside กว่า 25% ส่วน IRPC และ TOP เพิ่มขึ้น 0.78% และ 0.51% ตามลำดับ
ส่วนกลุ่ม ICT เริ่มกลับมาฟื้นตัวหลังตลาดซึมซับประเด็นลบในช่วงก่อนหน้าไปมากแล้ว โดย THCOM ขยับขึ้นอีก 3.94% ทำให้นับตั้งแต่วันที่ 2 พ.ย. ที่ราคาลงไปทำจุดต่ำสุดจนถึงวานนี้ ราคาหุ้นฟื้นกลับมาแล้วถึง 9.09% ส่วน INTUCH เพิ่มขึ้น 0.89% ส่วนกลุ่มค้าปลีกที่ได้ sentiment บวกจากมาตรการช็อปช่วยชาติที่ผ่านการพิจารณาของ ครม. วานนี้ มีทั้งปรับเพิ่มขึ้นและลดลง โดย BJC เพิ่มขึ้น 0.95% ขณะที่ ROBINS ลดลง 0.34%
ตรงข้ามหุ้นที่ปรับลดลงคือ กลุ่มอาหาร-เครื่องดื่ม นำโดย TKN ลดลงแรง 5.63% เช่นเดียวกับกลุ่มหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล ทั้ง BH และ BDMS ลดลง 0.46% และ 0.47% ตามลำดับ
สำหรับแนวโน้มตลาดวันนี้ คาดดัชนีน่าจะกลับมาแกว่งพักตัว หลังจากเริ่มหมดปัจจัยใหม่ๆ โดย SET Index มีแนวรับที่ 1700 จุด แนวต้าน 1720 จุด
การเยือนเอเชียของทรัมป์ มุ่งเจรจาการค้าและลดขาดดุลการค้าเป็นหลัก
การเดินทางเยือนเกาหลีใต้ของประธานาธิปดี ทรัมป์ ซึ่งเป็นประเทศที่ 2 หลังจากเยือนญี่ปุ่นไปเมื่อต้นสัปดาห์ ได้ข้อสรุปคล้ายๆกัน คือ เสนอให้ซื้ออาวุธเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ และมุ่งไปที่ประเด็นการลดขาดดุลการค้าเป็นหลัก จึงไม่น่าจะสร้างแรงกดดดันต่อเอเซียเท่าใดนัก
ทั้งนี้ที่สหรัฐ มีการนำข้อตกลงรการค้าระหว่าง สหรัฐ-เกาหลีใต้ (Korus FTA) ที่ค้างไว้ในปี 2555 นำมาปัดฝุ่น เพื่อให้สหรัฐมีความได้เปรียบการค้ามากขึ้น เพราะปัจจุบันสหรัฐขาดดุลการค้ากับเกาหลีใต้ราว 3.2% ของขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ทั้งหมด ขณะที่มูลค่าการค้า(X+M) ของเกาหลีใต้ สหรัฐถือเป็นตลาดส่งออกใหญ่เป็นอันดับ 2 ราว 12.1%ของการค้ารวมเกาหลีใต้ รองจากตลาดส่งออกจีนใหญ่สุดราว 26.3% ส่วนสินค้าหลักส่งออกไปสหรัฐ คือ รถยนต์ (24% ของยอดส่งออกรวมของเกาหลีใต้ไปสหรัฐ), อุปกรณ์โทรคมนาคม (9.7%) ชิ้นส่วนยานพาหนะ (8.7%), ปิโตรเลียม (3.6%), คอมพิวเตอร์ (2.2%) ตรงกันข้ามเกาหลีใต้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐ คือ แผงวงจรไฟฟ้า (8% ของการนำเข้าทั้งหมดจากสหรัฐ) รถยนต์ (3.9%) อุปกรณ์ถ่ายภาพ (3.8%) อากาศยานและชิ้นส่วน (3.4%) ปิโตรเลียม (2.8%)
ส่วนวันพรุ่งนี้ 9 พ.ย. ถึงคิวเยือนจีน ซึ่งเป็นประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้ามากที่สุด ราว 40% ของการขาดดุลการค้าทั้งหมดของสหรัฐ โดยเชื่อว่าน่าจะคล้ายกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ทั้งนี้หากพิจารณา มูลค่าการค้า(X+M) ของจีน พบว่า สหรัฐเป็นตลาดใหญ่สุด สัดส่วนราว 15.6% สินค้าส่งออกหลัก คือ คอมพิวเตอร์ (11%ของยอดส่งออกรวมของจีนไปสหรัฐ) อุปกรณ์โทรคมนาคม (6.8%) โทรศัพท์ (3%) เฟอนิเจอร์ (2.2%) สิ่งทอ (2.1%) ตรงกันข้าม สินค้านำเข้าสินค้าจากสหรัฐของจีน คือ ถั่วเหลือง (10%ของการนำเข้าทั้งหมดจากสหรัฐ) อากาศยานและชิ้นส่วน (9.3%) รถยนต์ (8.8%) แผงวงจร (6.5%) เครื่องยนต์กังหันก๊าซ (Gas turbine) (2.2%)
ขณะที่ไทย วันนี้ให้น้ำหนักการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) (ทราบผล 14.00 น.) ซึ่งคาดว่าจะยังคงดอกเบี้ยฯ ที่ 1.5% ตามเดิม (ตั้งแต่ เม.ย.2558) โดย กนง.น่าจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ แต่น่าจะไปขึ้นกลางปีหน้า เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อไทยยังต่ำล่าสุดอยู่ที่ 0.86% ในเดือน ต.ค. แต่เริ่มฟื้นตัวตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้น
ช็อปช่วยชาติหนุนหุ้นค้าปลีก ชอบหุ้นเติบโตเด่นและมี upside BJC, COM7
สรุปว่าที่ประชุม ครม. วานนี้ เห็นชอบมาตรการช็อปช่วยชาติ เป็นปีที่ 3 ระยะเวลา 23 วัน นับจาก 11 พ.ย. ถึง 3 ธ.ค. มากกว่าปี 2559 ที่กำหนดเวลา 17 วัน ในช่วง 15-31 ธ.ค. 2559 ถือว่าดีกว่าตลาดคาดหมาย และน่าจะหนุนกำลังซื้อในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งน่าจะหนุนการซื้อขายสินค้าในกลุ่มค้าปลีก สดใส ต่อเนื่องในงวด 4Q60 หลังจากที่ภาพรวมธุรกิจมีสัญญาณฟื้นตัวที่ดีขึ้น สะท้อนจากยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ดีนับจากงวด 3Q60 ตัวอย่างเช่น HMPRO พบว่า SSSG 3Q60 พลิกกลับมาขยายตัว 2.5%yoy จาก -6.3%yoy ใน 2Q60 และ -2.9%yoy ใน 1Q60, TNP มี SSSG พลิกมาเป็น +1%yoy จาก -0.1%yoy ใน 2Q60 และ -0.3%yoy ใน 1Q60
ส่วนหุ้นค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังไม่รายงานงบ 3Q60 แต่คาดจะเพิ่มขึ้น คือ BJC คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 8-9%yoy จากหดตัว 15.2%yoy ใน 2Q60 ตามด้วย CPALL คาด SSSG 3Q60 กลับมาเติบโต 1%-2%yoy จากที่หดตัว yoy ในงวด 2Q60 ยกเว้น ROBINS แม้จะยังหดตัว แต่ก็เป็นไปในอัตราที่น้อยลง
ขณะที่กลุ่มค้าปลีกอื่นๆ ที่มี SSSG เติบโตได้ต่อเนื่องคือ BEAUTY และ COM7 ที่คาดเพิ่มขึ้น 10-15%yoy จากเพิ่มราว 12%yoy ใน 2Q60 โดยภาพรวมใน 4Q60 SSSG ก็ยังโตได้ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นในกลุ่มค้าปลีกส่วนใหญ่ปรับขึ้นสะท้อนประเด็นบวกไปแล้ว จนมี upside จำกัด ยกเว้นที่ยังมี upside มากสุดในกลุ่ม คือ BJC (FV’61@B60) และ COM7 (FV’61@B19) นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นในเรื่องการเติบโตของกำไรทั้ง 2 บริษัท กล่าวคือ BJC จะมีกำไรเติบโต 50% ในปีนี้ และ 16.5% ในปีหน้า ขณะที่ COM7 จะเติบโต 30% และ 26% ตามลำดับ
การเดินทางเยือนเกาหลีใต้ของประธานาธิปดี ทรัมป์ ซึ่งเป็นประเทศที่ 2 หลังจากเยือนญี่ปุ่นไปเมื่อต้นสัปดาห์ ได้ข้อสรุปคล้ายๆกัน คือ เสนอให้ซื้ออาวุธเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ และมุ่งไปที่ประเด็นการลดขาดดุลการค้าเป็นหลัก จึงไม่น่าจะสร้างแรงกดดดันต่อเอเซียเท่าใดนัก
ทั้งนี้ที่สหรัฐ มีการนำข้อตกลงรการค้าระหว่าง สหรัฐ-เกาหลีใต้ (Korus FTA) ที่ค้างไว้ในปี 2555 นำมาปัดฝุ่น เพื่อให้สหรัฐมีความได้เปรียบการค้ามากขึ้น เพราะปัจจุบันสหรัฐขาดดุลการค้ากับเกาหลีใต้ราว 3.2% ของขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ทั้งหมด ขณะที่มูลค่าการค้า(X+M) ของเกาหลีใต้ สหรัฐถือเป็นตลาดส่งออกใหญ่เป็นอันดับ 2 ราว 12.1%ของการค้ารวมเกาหลีใต้ รองจากตลาดส่งออกจีนใหญ่สุดราว 26.3% ส่วนสินค้าหลักส่งออกไปสหรัฐ คือ รถยนต์ (24% ของยอดส่งออกรวมของเกาหลีใต้ไปสหรัฐ), อุปกรณ์โทรคมนาคม (9.7%) ชิ้นส่วนยานพาหนะ (8.7%), ปิโตรเลียม (3.6%), คอมพิวเตอร์ (2.2%) ตรงกันข้ามเกาหลีใต้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐ คือ แผงวงจรไฟฟ้า (8% ของการนำเข้าทั้งหมดจากสหรัฐ) รถยนต์ (3.9%) อุปกรณ์ถ่ายภาพ (3.8%) อากาศยานและชิ้นส่วน (3.4%) ปิโตรเลียม (2.8%)
ส่วนวันพรุ่งนี้ 9 พ.ย. ถึงคิวเยือนจีน ซึ่งเป็นประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้ามากที่สุด ราว 40% ของการขาดดุลการค้าทั้งหมดของสหรัฐ โดยเชื่อว่าน่าจะคล้ายกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ทั้งนี้หากพิจารณา มูลค่าการค้า(X+M) ของจีน พบว่า สหรัฐเป็นตลาดใหญ่สุด สัดส่วนราว 15.6% สินค้าส่งออกหลัก คือ คอมพิวเตอร์ (11%ของยอดส่งออกรวมของจีนไปสหรัฐ) อุปกรณ์โทรคมนาคม (6.8%) โทรศัพท์ (3%) เฟอนิเจอร์ (2.2%) สิ่งทอ (2.1%) ตรงกันข้าม สินค้านำเข้าสินค้าจากสหรัฐของจีน คือ ถั่วเหลือง (10%ของการนำเข้าทั้งหมดจากสหรัฐ) อากาศยานและชิ้นส่วน (9.3%) รถยนต์ (8.8%) แผงวงจร (6.5%) เครื่องยนต์กังหันก๊าซ (Gas turbine) (2.2%)
ขณะที่ไทย วันนี้ให้น้ำหนักการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) (ทราบผล 14.00 น.) ซึ่งคาดว่าจะยังคงดอกเบี้ยฯ ที่ 1.5% ตามเดิม (ตั้งแต่ เม.ย.2558) โดย กนง.น่าจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ แต่น่าจะไปขึ้นกลางปีหน้า เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อไทยยังต่ำล่าสุดอยู่ที่ 0.86% ในเดือน ต.ค. แต่เริ่มฟื้นตัวตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับขึ้น
ช็อปช่วยชาติหนุนหุ้นค้าปลีก ชอบหุ้นเติบโตเด่นและมี upside BJC, COM7
สรุปว่าที่ประชุม ครม. วานนี้ เห็นชอบมาตรการช็อปช่วยชาติ เป็นปีที่ 3 ระยะเวลา 23 วัน นับจาก 11 พ.ย. ถึง 3 ธ.ค. มากกว่าปี 2559 ที่กำหนดเวลา 17 วัน ในช่วง 15-31 ธ.ค. 2559 ถือว่าดีกว่าตลาดคาดหมาย และน่าจะหนุนกำลังซื้อในช่วงที่เหลือของปี ซึ่งน่าจะหนุนการซื้อขายสินค้าในกลุ่มค้าปลีก สดใส ต่อเนื่องในงวด 4Q60 หลังจากที่ภาพรวมธุรกิจมีสัญญาณฟื้นตัวที่ดีขึ้น สะท้อนจากยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ดีนับจากงวด 3Q60 ตัวอย่างเช่น HMPRO พบว่า SSSG 3Q60 พลิกกลับมาขยายตัว 2.5%yoy จาก -6.3%yoy ใน 2Q60 และ -2.9%yoy ใน 1Q60, TNP มี SSSG พลิกมาเป็น +1%yoy จาก -0.1%yoy ใน 2Q60 และ -0.3%yoy ใน 1Q60
ส่วนหุ้นค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังไม่รายงานงบ 3Q60 แต่คาดจะเพิ่มขึ้น คือ BJC คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 8-9%yoy จากหดตัว 15.2%yoy ใน 2Q60 ตามด้วย CPALL คาด SSSG 3Q60 กลับมาเติบโต 1%-2%yoy จากที่หดตัว yoy ในงวด 2Q60 ยกเว้น ROBINS แม้จะยังหดตัว แต่ก็เป็นไปในอัตราที่น้อยลง
ขณะที่กลุ่มค้าปลีกอื่นๆ ที่มี SSSG เติบโตได้ต่อเนื่องคือ BEAUTY และ COM7 ที่คาดเพิ่มขึ้น 10-15%yoy จากเพิ่มราว 12%yoy ใน 2Q60 โดยภาพรวมใน 4Q60 SSSG ก็ยังโตได้ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นในกลุ่มค้าปลีกส่วนใหญ่ปรับขึ้นสะท้อนประเด็นบวกไปแล้ว จนมี upside จำกัด ยกเว้นที่ยังมี upside มากสุดในกลุ่ม คือ BJC (FV’61@B60) และ COM7 (FV’61@B19) นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นในเรื่องการเติบโตของกำไรทั้ง 2 บริษัท กล่าวคือ BJC จะมีกำไรเติบโต 50% ในปีนี้ และ 16.5% ในปีหน้า ขณะที่ COM7 จะเติบโต 30% และ 26% ตามลำดับ
ต่างชาติสลับมาซื้อหุ้นทุกแห่งในภูมิภาค รวมถึงไทย
แรงขายหุ้นในภูมิภาคจากต่างชาติที่เริ่มเบาลง จนวานนี้ต่างชาติได้สลับมาซื้อสุทธิอีกครั้ง ด้วยมูลค่ารวม 182 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน) และเป็นการกลับมาซื้อสุทธิทุกประเทศ เริ่มจากเกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิ 114 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 34 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 4 วัน), ไต้หวัน 25 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 5 วัน), ฟิลิปปินส์ 2 แสนเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) และไทยที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อย 8 ล้านเหรียญ หรือ 258 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกันกว่า 8 วัน มีมูลค่ารวมกว่า 1.28 หมื่นล้านบาท) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 969 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1.81 หมื่นล้านบาท สวนทางกับต่างชาติที่ยังคงขายสุทธิ 999 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 7 ด้วยมูลค่ารวม 1.48 หมื่นล้านบาท)
แรงขายหุ้นในภูมิภาคจากต่างชาติที่เริ่มเบาลง จนวานนี้ต่างชาติได้สลับมาซื้อสุทธิอีกครั้ง ด้วยมูลค่ารวม 182 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 3 วัน) และเป็นการกลับมาซื้อสุทธิทุกประเทศ เริ่มจากเกาหลีใต้ถูกซื้อสุทธิ 114 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 34 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 4 วัน), ไต้หวัน 25 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 5 วัน), ฟิลิปปินส์ 2 แสนเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4) และไทยที่ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อย 8 ล้านเหรียญ หรือ 258 ล้านบาท (หลังจากขายสุทธิติดต่อกันกว่า 8 วัน มีมูลค่ารวมกว่า 1.28 หมื่นล้านบาท) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 969 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1.81 หมื่นล้านบาท สวนทางกับต่างชาติที่ยังคงขายสุทธิ 999 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 7 ด้วยมูลค่ารวม 1.48 หมื่นล้านบาท)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
OO2104