- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 07 November 2017 15:49
- Hits: 2473
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
คาด SET ยังได้แรงหนุนจากหุ้นน้ำมันที่ทะลุ 60 เหรียญฯ เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปีครึ่ง และหุ้นมือถือ ที่น่าจะตอบรับผลกระทบการแข่งขันประมูลคลื่น 1800 ไปแล้ว แต่แรงขายรับงบ 3Q60 และแรงขายต่างชาติ แม้จะมีแรงแรงซื้อ LTF หนุน แต่โดยรวมยังกดดัน SET ยังผันผวน Top picks ยังเลือก PTTEP(FV@B118) มีโอกาสปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบในปี 2561 หากราคาน้ำมันยังเดินหน้าต่อ ซึ่งจะหนุนกำไรสุทธิเติบโตเกิน 50% และเพิ่มหุ้น BJC(FV@60) เพราะ SSSG งวด 3Q60 กลับมาเป็นบวก 8% หนุนกำไรทั้งปีนี้เติบโต 50%
กลยุทธ์การลงทุน
คาด SET ยังได้แรงหนุนจากหุ้นน้ำมันที่ทะลุ 60 เหรียญฯ เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปีครึ่ง และหุ้นมือถือ ที่น่าจะตอบรับผลกระทบการแข่งขันประมูลคลื่น 1800 ไปแล้ว แต่แรงขายรับงบ 3Q60 และแรงขายต่างชาติ แม้จะมีแรงแรงซื้อ LTF หนุน แต่โดยรวมยังกดดัน SET ยังผันผวน Top picks ยังเลือก PTTEP(FV@B118) มีโอกาสปรับเพิ่มสมมติฐานราคาน้ำมันดิบในปี 2561 หากราคาน้ำมันยังเดินหน้าต่อ ซึ่งจะหนุนกำไรสุทธิเติบโตเกิน 50% และเพิ่มหุ้น BJC(FV@60) เพราะ SSSG งวด 3Q60 กลับมาเป็นบวก 8% หนุนกำไรทั้งปีนี้เติบโต 50%
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย ... กลุ่มพลังงาน หนุนตลาดปิดบวก
วานนี้ตลาดหุ้นไทยผันผวนสลับบวก-ลบในช่วงเช้า ก่อนที่จะปรับขึ้นตลอดช่วงบ่าย หนุน SET ปิด 1711.74 จุด เพิ่มขึ้นถึง 10.27 จุด หรือ 0.60% มูลค่าการซื้อขาย 5.34 หมื่นล้านบาท แรงหนุนจากหุ้น Big Cap ในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะหุ้นปิโตรเลี่ยม PTT เพิ่มขึ้น 1.44% และ PTTEP เพิ่มขึ้น 3.09% หลังจากราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบจากการบันทึกการด้อยค่าของเงินลงทุนใน oilsand ประเทศแคนาดา และหุ้นปิโตรเคมี นำโดย IVL เพิ่มขึ้น 2.08%
ตามด้วยหุ้นค้าปลีกเป็นการฟื้นตัว HMPRO เพิ่มขึ้นแรงกว่า 6.50% เช่นเดียวกับ ROBINS เพิ่มขึ้น 4.64%, COM7 เพิ่มขึ้น 1.96% และ BJC เพิ่มขึ้น 1.93% หลังสัปดาห์ที่ผ่านมา ถูกแรงขายรับงบ 3Q60 แต่ในงวด 4Q60 ยังคงได้ประโยชน์จากมาตรการช็อปช่วยชาติ รวมถึงหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม อย่าง MINT ที่จะได้อานิสงส์ไปด้วย ซึ่งราคาหุ้นวานนี้ปรับขึ้นโดดเด่นกว่า 3.43%
อีกกลุ่มฟื้นตัวคือ ICT เชื่อว่าได้ซึมซับผลกระทบประมูลคลื่น 1800 ที่คาดจะรุนแรงขึ้น โดย DTAC เพิ่มขึ้นกว่า 7.26% ตามด้วย ADVANC 1.08% และ THCOM 0.79% และ INTUCH 0.45% เพราะเชื่อว่าการที่รัฐจะยึดคืนดาวเทียมไทยคม 7 และ 8 น่าจะเกิดขึ้นหลังสิ้นสุดใบอนุญาตปี 2575 จึงจะกลับไปใช้สัญญาสัมปทาน ที่รัฐสามารถเรียกเก็บส่วนแบ่งรายได้ที่แพงขึ้นตามความปรารถนา
ส่วนหุ้นรายตัวอื่นๆ ที่ปรับตัวขึ้นคือ TU เพิ่มขึ้น 5.59% รับงบ 3Q60 ที่ดีกว่าคาด คือ กำไรสุทธิ 1.73 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% yoy และ 23% qoq TTW ปรับขึ้นต่อเนื่องเป็น 8% ในช่วง 1 สัปดาห์ น่าจะเป็นเพราะมีโอกาสเข้าคำนวณใน SET100 กลุ่มบันเทิง อย่าง WORK และ MONO เพิ่มขึ้น 5.08% และ 5.48% ตามลำดับ
ตรงข้ามหุ้นปรับลงกระจุกตัวในหุ้น Mid-Small Cap ในกลุ่มเช่าซื้อ ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในช่วงก่อนหน้านี้ คือ SAWAD, THANI, TK ลดลง 3.44% 1.08% และ 2.31% ตามลำดับ ส่วนหุ้น GL ลดลงอีก 3.16% และตลาดหลักทรัพย์ยังคงขึ้นเครื่องหมาย NP ต่อไปจนกว่า GL จะแก้ไขข้อมูลงบการเงินให้ถูกต้องและนำส่งต่อ ก.ล.ต.
แนวโน้มตลาดวันนี้ คาดดัชนีมีโอกาสแกว่งตัวในทิศทางบวก โดยมีแนวต้าน 1716 จุด และหากผ่านได้แนวต้านหลักถัดไปก็จะกลับไปที่ 1730 จุดอีกครั้ง ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1700 จุด
วานนี้ตลาดหุ้นไทยผันผวนสลับบวก-ลบในช่วงเช้า ก่อนที่จะปรับขึ้นตลอดช่วงบ่าย หนุน SET ปิด 1711.74 จุด เพิ่มขึ้นถึง 10.27 จุด หรือ 0.60% มูลค่าการซื้อขาย 5.34 หมื่นล้านบาท แรงหนุนจากหุ้น Big Cap ในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะหุ้นปิโตรเลี่ยม PTT เพิ่มขึ้น 1.44% และ PTTEP เพิ่มขึ้น 3.09% หลังจากราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบจากการบันทึกการด้อยค่าของเงินลงทุนใน oilsand ประเทศแคนาดา และหุ้นปิโตรเคมี นำโดย IVL เพิ่มขึ้น 2.08%
ตามด้วยหุ้นค้าปลีกเป็นการฟื้นตัว HMPRO เพิ่มขึ้นแรงกว่า 6.50% เช่นเดียวกับ ROBINS เพิ่มขึ้น 4.64%, COM7 เพิ่มขึ้น 1.96% และ BJC เพิ่มขึ้น 1.93% หลังสัปดาห์ที่ผ่านมา ถูกแรงขายรับงบ 3Q60 แต่ในงวด 4Q60 ยังคงได้ประโยชน์จากมาตรการช็อปช่วยชาติ รวมถึงหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม อย่าง MINT ที่จะได้อานิสงส์ไปด้วย ซึ่งราคาหุ้นวานนี้ปรับขึ้นโดดเด่นกว่า 3.43%
อีกกลุ่มฟื้นตัวคือ ICT เชื่อว่าได้ซึมซับผลกระทบประมูลคลื่น 1800 ที่คาดจะรุนแรงขึ้น โดย DTAC เพิ่มขึ้นกว่า 7.26% ตามด้วย ADVANC 1.08% และ THCOM 0.79% และ INTUCH 0.45% เพราะเชื่อว่าการที่รัฐจะยึดคืนดาวเทียมไทยคม 7 และ 8 น่าจะเกิดขึ้นหลังสิ้นสุดใบอนุญาตปี 2575 จึงจะกลับไปใช้สัญญาสัมปทาน ที่รัฐสามารถเรียกเก็บส่วนแบ่งรายได้ที่แพงขึ้นตามความปรารถนา
ส่วนหุ้นรายตัวอื่นๆ ที่ปรับตัวขึ้นคือ TU เพิ่มขึ้น 5.59% รับงบ 3Q60 ที่ดีกว่าคาด คือ กำไรสุทธิ 1.73 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% yoy และ 23% qoq TTW ปรับขึ้นต่อเนื่องเป็น 8% ในช่วง 1 สัปดาห์ น่าจะเป็นเพราะมีโอกาสเข้าคำนวณใน SET100 กลุ่มบันเทิง อย่าง WORK และ MONO เพิ่มขึ้น 5.08% และ 5.48% ตามลำดับ
ตรงข้ามหุ้นปรับลงกระจุกตัวในหุ้น Mid-Small Cap ในกลุ่มเช่าซื้อ ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในช่วงก่อนหน้านี้ คือ SAWAD, THANI, TK ลดลง 3.44% 1.08% และ 2.31% ตามลำดับ ส่วนหุ้น GL ลดลงอีก 3.16% และตลาดหลักทรัพย์ยังคงขึ้นเครื่องหมาย NP ต่อไปจนกว่า GL จะแก้ไขข้อมูลงบการเงินให้ถูกต้องและนำส่งต่อ ก.ล.ต.
แนวโน้มตลาดวันนี้ คาดดัชนีมีโอกาสแกว่งตัวในทิศทางบวก โดยมีแนวต้าน 1716 จุด และหากผ่านได้แนวต้านหลักถัดไปก็จะกลับไปที่ 1730 จุดอีกครั้ง ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1700 จุด
ทรัมป์เยือน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน เพื่อลดขาดดุลการค้า
ประเด็นต่างประเทศที่ยังให้น้ำหนัก คือ การเดินทางเยือนเอเซียครั้งแรกตลอดสัปดาห์นี้ของประธานาธิปดี ทรัมป์ ซึ่งน่าจะมีเป้าหมายลดขาดดุลการค้าเป็นหลัก โดยวานนี้ไปเยือน ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก สหรัฐ เสนอให้ญี่ปุ่นซื้ออาวุธเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ และดึงให้บริษัทญี่ปุ่นลงทุนในสหรัฐเพิ่มขึ้น ส่วนวันนี้จะเยือนเกาหลีใต้ เป็นประเทศที่ 2 เชื่อว่าน่าจะมีลักษณะคล้ายกับญี่ปุ่น คือหารือ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และการค้า (พิจารณามูลค่าการค้า(X+M) ของเกาหลีใต้ พบว่าตลาดสหรัฐ ใหญ่เป็นอันดับ 2 ราว 12.1%ของการค้ารวมเกาหลีใต้ รองจาก จีนมากที่สุดราว 26.3% สินค้าหลักส่งออกไปสหรัฐ คือ รถยนต์ (24% ของยอดส่งออกรวมของเกาหลีใต้ไปสหรัฐ), อุปกรณ์โทรคมนาคม (9.7%) ชิ้นส่วนยานพาหนะ (8.7%), ปิโตรเลียม (3.6%) ,คอมพิวเตอร์ (2.2%) ตรงกันข้ามเกาหลีใต้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐ คือ แผงวงจรไฟฟ้า (8%ของการนำเข้าทั้งหมดจากสหรัฐ) รถยนต์ (3.9%) อุปกรณ์ถ่ายภาพ (3.8%) อากาศยานและชิ้นส่วน (3.4%) ปิโตรเลียม (2.8%) เป็นต้น
และวันที่ 9 พ.ย. ถึงคิวเยือนจีน ซึ่งเป็นประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้ามากที่สุด ราว 40%ของการขาดดุลการค้าทั้งหมดของสหรัฐ ทั้งนี้หากพิจารณา มูลค่าการค้า(X+M) ของจีน พบว่า สหรัฐเป็นตลาดใหญ่สุด สัดส่วนราว 15.6% ของการค้ารวมจีน สินค้าส่งออกหลัก คือ คอมพิวเตอร์ (11%ของยอดส่งออกรวมของจีนไปสหรัฐ) อุปกรณ์โทรคมนาคม (6.8%) โทรศัพท์ (3%) เฟอนิเจอร์ (2.2%) สิ่งทอ (2.1%) ตรงกันข้าม สินค้านำเข้าสินค้าจากสหรัฐของจีน คือ ถั่วเหลือง (10%ของการนำเข้าทั้งหมดจากสหรัฐ) อากาศยานและชิ้นส่วน (9.3%) รถยนต์ (8.8%) แผงวงจร (6.5%) เครื่องยนต์กังหันก๊าซ (Gas turbine) (2.2%)
ช็อปช่วยชาติหนุนหุ้นค้าปลีกงวด 4Q60 ชอบ BJC, COM7
วันนี้คาดว่า ครม. น่าจะผ่านการพิจารณามาตรการช็อปช่วยชาติ ติดต่อเป็นปีที่ 3 ระยะเวลา 17 วัน ในช่วงครึ่งหลังของ พ.ย. จำนวนวันเท่ากับปี 2559 ระยะเวลา 17 วัน (15-31 ธ.ค.2559) เพราะเห็นว่าเดือน ธ.ค. ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยอยู่แล้ว โดยให้นำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการในประเทศ อาทิ ค่าซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้า, ค่าอาหารในร้านหรือโรงแรม ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาทมาลดหย่อนภาษีปี 2560
ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยหนุนอุตสาหกรรมค้าปลีก โดยข้อมูลจากสมาคมผู้ค้าปลีกไทย สรุปว่าการมีมาตรการส่งเสริม จะหนุนยอดใช้จ่ายซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลปีใหม่เพิ่มขึ้น 20% หรือราว 2.5 หมื่นล้านบาท หนุนอุตสาหกรรมค้าปลีกเติบโตขึ้นอีก 0.3% ในปี 2558 เทียบกับปี 2559 ผลบวกของการมีมาตรการฯ นี้ในช่วงวันที่ 14-31 ธ.ค. ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนราว 2.25 หมื่นล้านบาท ช่วยให้อุตสาหกรรมค้าปลีกเติบโตขึ้นอีก 0.2%
ฝ่ายวิจัยคาดว่าหุ้นกลุ่มค้าปลีกน่าจะได้ประโยชน์จากการใช้มาตรการนี้ เพราะคาดว่าจะช่วยหนุน ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ดีนับจากงวด 3Q60 ตัวอย่างเช่น HMPRO พบว่า SSSG 3Q60 พลิกกลับมาขยายตัว 2.5%yoy จาก -6.3%yoy ใน 2Q60 และ -2.9%yoy ใน 1Q60, TNP มี SSSG พลิกมาเป็น + 1%yoy จาก -0.1%yoy ใน 2Q60 และ -0.3%yoy ใน 1Q60
ส่วนหุ้นค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังไม่รายงานงบ 3Q60 แต่คาดจะเพิ่มขึ้น คือ BJC คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 8-9%yoy จากหดตัว 15.2%yoy ใน 2Q60 ตามด้วย CPALL คาด SSSG 3Q60 กลับมาเติบโต 1%-2%yoy จากที่หดตัว yoy ในงวด 2Q60 ยกเว้น ROBINS แม้จะยังหดตัว แต่ก็เป็นไปในอัตราที่น้อยลง
ขณะที่กลุ่มค้าปลีกอื่น ๆ ที่มี SSSG เติบโตได้ต่อเนื่อง คือ BEAUTY และ COM7 ที่คาดเพิ่มขึ้น 10-15%yoy จากเพิ่มราว 12%yoy ใน 2Q60 โดยภาพรวมใน 4Q60 SSSG ก็ยังโตได้ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นในกลุ่มค้าปลีกส่วนใหญ่ปรับขึ้นสะท้อนประเด็นบวกไปแล้ว จนมี upside จำกัด จึงแนะนำหุ้นที่มี upside เหลือ คือ BJC (FV’61@B60) และ COM7 (FV’61@B19) เลือกเป็น Top picks
หลากหลายปัจจัยบวกหนุนราคาน้ำมันดิบแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีครึ่ง
วานนี้ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง และแตะระดับสูงสุดเกินกว่า 2 ปี ทุกตลาดฯ โดย Brent, Dubai และ WTI ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 64.27 เหรียญ/บาร์เรล, 60.40 เหรียญ/บาร์เรล และ 57.35 เหรียญ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยมีหลากหลายปัจจัยบวกดังนี้
เจ้าชาย “โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน” แห่งซาอุดิอาระเบีย ได้ทำการกวาดล้างการทุจริตครั้งใหญ่ในประเทศ ซึ่งนำไปสู่การจับกุมเจ้าชาย อัลวาลีด บิน ทาลาล รวมถึงรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่หลายคน โดยการกวาดล้างดังกล่าว อาจเป็นการทำลายตลาดมืดในการซื้อขายน้ำมัน หนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น
ตัวเลขปริมาณกำลังการผลิตน้ำมันดิบล่าสุดประจำเดือน ต.ค.2560 ของกลุ่มโอเปกปรับตัวลดลงราว 0.7% มาที่ระดับ 32.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน) โดยหลักๆ เป็นการปรับตัวลดลงในประเทศ อิรัก จากสถานการณ์ตึงเครียดในเมืองเคอร์คุกกดดันต่ออุปทานและการส่งออกน้ำมันดิบ ตามมาด้วยอิหร่าน และไนจีเรีย ตามลำดับ
มีแรงหนุนจากการที่ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียจะเป็นแกนหลักในการสนับสนุนให้ผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกมีการขยายระยะเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตราว 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่สิ้นสุดเดือน มี.ค. 2561มีโอกาสขยายออกไปอีกจนถึงสิ้นปี 2561 ในการประชุมที่จะเกิดขึ้น ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย วันที่ 30 พ.ย. 2560 นี้
ด้วยหลากหลายปัจจัยบวกที่กล่าวมาข้างต้น หนุนราคาน้ำมัน Dubai ปรับขึ้นมา 11.87% (ytd) ล่าสุดมาอยู่ที่ 60.40 เหรียญ/บาร์เรล และหากยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสเป็นตามสมมุติฐานที่ฝ่ายวิจัยฯประเมินไว้ 55 เหรียญ/บาร์เรล ในปีนี้ และ 60 เหรียญ/บาร์เรลในปีหน้า ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงลงทุนในหุ้นน้ำมัน อย่าง PTT (FV’61@B500) และ PTTEP (FV’61@B118) ที่ราคาหุ้นน่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และยังถือว่า Laggard ราคาน้ำมันอยู่มาก
ต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคเล็กน้อย รวมทั้งแรงขายหุ้นไทยเริ่มเบาบางลง
แม้วานนี้ต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคอีกราว 49 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) โดยภาพรวมแล้วเป็นการขายสุทธิ 3 แห่ง และซื้อสุทธิ 2 แห่ง ตลาดที่ซื้อ เริ่มจากเกาหลีใต้สลับมาซื้อสุทธิมูลค่าราว 59 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิวันก่อนหน้า) และฟิลิปปินส์ 5 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3)
ส่วนตลาดที่ขายคือ หุ้นไต้หวันและอินโดนิเซีย ขายสุทธิอย่างต่อเนื่องราว 93 ล้านเหรียญ และ 12 ล้านเหรียญ และไทยต่างชาติยังขายสุทธิ แต่ลดน้อยลงเหลือ 8 ล้านเหรียญ หรือ 271 ล้านบาท (ขายสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 8 มูลค่ารวม 1.27 หมื่นล้านบาท) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 618 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย สถาบันในประเทศขายสุทธิ 3.27 พันล้านบาท เช่นเดียวกับต่างชาติที่ยังคงขายสุทธิ 210 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 6 มูลค่ารวม 1.37 หมื่นล้านบาท)
ประเด็นต่างประเทศที่ยังให้น้ำหนัก คือ การเดินทางเยือนเอเซียครั้งแรกตลอดสัปดาห์นี้ของประธานาธิปดี ทรัมป์ ซึ่งน่าจะมีเป้าหมายลดขาดดุลการค้าเป็นหลัก โดยวานนี้ไปเยือน ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก สหรัฐ เสนอให้ญี่ปุ่นซื้ออาวุธเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ และดึงให้บริษัทญี่ปุ่นลงทุนในสหรัฐเพิ่มขึ้น ส่วนวันนี้จะเยือนเกาหลีใต้ เป็นประเทศที่ 2 เชื่อว่าน่าจะมีลักษณะคล้ายกับญี่ปุ่น คือหารือ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และการค้า (พิจารณามูลค่าการค้า(X+M) ของเกาหลีใต้ พบว่าตลาดสหรัฐ ใหญ่เป็นอันดับ 2 ราว 12.1%ของการค้ารวมเกาหลีใต้ รองจาก จีนมากที่สุดราว 26.3% สินค้าหลักส่งออกไปสหรัฐ คือ รถยนต์ (24% ของยอดส่งออกรวมของเกาหลีใต้ไปสหรัฐ), อุปกรณ์โทรคมนาคม (9.7%) ชิ้นส่วนยานพาหนะ (8.7%), ปิโตรเลียม (3.6%) ,คอมพิวเตอร์ (2.2%) ตรงกันข้ามเกาหลีใต้นำเข้าสินค้าจากสหรัฐ คือ แผงวงจรไฟฟ้า (8%ของการนำเข้าทั้งหมดจากสหรัฐ) รถยนต์ (3.9%) อุปกรณ์ถ่ายภาพ (3.8%) อากาศยานและชิ้นส่วน (3.4%) ปิโตรเลียม (2.8%) เป็นต้น
และวันที่ 9 พ.ย. ถึงคิวเยือนจีน ซึ่งเป็นประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้ามากที่สุด ราว 40%ของการขาดดุลการค้าทั้งหมดของสหรัฐ ทั้งนี้หากพิจารณา มูลค่าการค้า(X+M) ของจีน พบว่า สหรัฐเป็นตลาดใหญ่สุด สัดส่วนราว 15.6% ของการค้ารวมจีน สินค้าส่งออกหลัก คือ คอมพิวเตอร์ (11%ของยอดส่งออกรวมของจีนไปสหรัฐ) อุปกรณ์โทรคมนาคม (6.8%) โทรศัพท์ (3%) เฟอนิเจอร์ (2.2%) สิ่งทอ (2.1%) ตรงกันข้าม สินค้านำเข้าสินค้าจากสหรัฐของจีน คือ ถั่วเหลือง (10%ของการนำเข้าทั้งหมดจากสหรัฐ) อากาศยานและชิ้นส่วน (9.3%) รถยนต์ (8.8%) แผงวงจร (6.5%) เครื่องยนต์กังหันก๊าซ (Gas turbine) (2.2%)
ช็อปช่วยชาติหนุนหุ้นค้าปลีกงวด 4Q60 ชอบ BJC, COM7
วันนี้คาดว่า ครม. น่าจะผ่านการพิจารณามาตรการช็อปช่วยชาติ ติดต่อเป็นปีที่ 3 ระยะเวลา 17 วัน ในช่วงครึ่งหลังของ พ.ย. จำนวนวันเท่ากับปี 2559 ระยะเวลา 17 วัน (15-31 ธ.ค.2559) เพราะเห็นว่าเดือน ธ.ค. ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยอยู่แล้ว โดยให้นำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการในประเทศ อาทิ ค่าซื้อสินค้าจากห้างสรรพสินค้า, ค่าอาหารในร้านหรือโรงแรม ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาทมาลดหย่อนภาษีปี 2560
ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยหนุนอุตสาหกรรมค้าปลีก โดยข้อมูลจากสมาคมผู้ค้าปลีกไทย สรุปว่าการมีมาตรการส่งเสริม จะหนุนยอดใช้จ่ายซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลปีใหม่เพิ่มขึ้น 20% หรือราว 2.5 หมื่นล้านบาท หนุนอุตสาหกรรมค้าปลีกเติบโตขึ้นอีก 0.3% ในปี 2558 เทียบกับปี 2559 ผลบวกของการมีมาตรการฯ นี้ในช่วงวันที่ 14-31 ธ.ค. ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนราว 2.25 หมื่นล้านบาท ช่วยให้อุตสาหกรรมค้าปลีกเติบโตขึ้นอีก 0.2%
ฝ่ายวิจัยคาดว่าหุ้นกลุ่มค้าปลีกน่าจะได้ประโยชน์จากการใช้มาตรการนี้ เพราะคาดว่าจะช่วยหนุน ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ดีนับจากงวด 3Q60 ตัวอย่างเช่น HMPRO พบว่า SSSG 3Q60 พลิกกลับมาขยายตัว 2.5%yoy จาก -6.3%yoy ใน 2Q60 และ -2.9%yoy ใน 1Q60, TNP มี SSSG พลิกมาเป็น + 1%yoy จาก -0.1%yoy ใน 2Q60 และ -0.3%yoy ใน 1Q60
ส่วนหุ้นค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังไม่รายงานงบ 3Q60 แต่คาดจะเพิ่มขึ้น คือ BJC คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 8-9%yoy จากหดตัว 15.2%yoy ใน 2Q60 ตามด้วย CPALL คาด SSSG 3Q60 กลับมาเติบโต 1%-2%yoy จากที่หดตัว yoy ในงวด 2Q60 ยกเว้น ROBINS แม้จะยังหดตัว แต่ก็เป็นไปในอัตราที่น้อยลง
ขณะที่กลุ่มค้าปลีกอื่น ๆ ที่มี SSSG เติบโตได้ต่อเนื่อง คือ BEAUTY และ COM7 ที่คาดเพิ่มขึ้น 10-15%yoy จากเพิ่มราว 12%yoy ใน 2Q60 โดยภาพรวมใน 4Q60 SSSG ก็ยังโตได้ต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นในกลุ่มค้าปลีกส่วนใหญ่ปรับขึ้นสะท้อนประเด็นบวกไปแล้ว จนมี upside จำกัด จึงแนะนำหุ้นที่มี upside เหลือ คือ BJC (FV’61@B60) และ COM7 (FV’61@B19) เลือกเป็น Top picks
หลากหลายปัจจัยบวกหนุนราคาน้ำมันดิบแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปีครึ่ง
วานนี้ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง และแตะระดับสูงสุดเกินกว่า 2 ปี ทุกตลาดฯ โดย Brent, Dubai และ WTI ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 64.27 เหรียญ/บาร์เรล, 60.40 เหรียญ/บาร์เรล และ 57.35 เหรียญ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยมีหลากหลายปัจจัยบวกดังนี้
เจ้าชาย “โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน” แห่งซาอุดิอาระเบีย ได้ทำการกวาดล้างการทุจริตครั้งใหญ่ในประเทศ ซึ่งนำไปสู่การจับกุมเจ้าชาย อัลวาลีด บิน ทาลาล รวมถึงรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่หลายคน โดยการกวาดล้างดังกล่าว อาจเป็นการทำลายตลาดมืดในการซื้อขายน้ำมัน หนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น
ตัวเลขปริมาณกำลังการผลิตน้ำมันดิบล่าสุดประจำเดือน ต.ค.2560 ของกลุ่มโอเปกปรับตัวลดลงราว 0.7% มาที่ระดับ 32.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน) โดยหลักๆ เป็นการปรับตัวลดลงในประเทศ อิรัก จากสถานการณ์ตึงเครียดในเมืองเคอร์คุกกดดันต่ออุปทานและการส่งออกน้ำมันดิบ ตามมาด้วยอิหร่าน และไนจีเรีย ตามลำดับ
มีแรงหนุนจากการที่ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียจะเป็นแกนหลักในการสนับสนุนให้ผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกมีการขยายระยะเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตราว 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิมที่สิ้นสุดเดือน มี.ค. 2561มีโอกาสขยายออกไปอีกจนถึงสิ้นปี 2561 ในการประชุมที่จะเกิดขึ้น ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย วันที่ 30 พ.ย. 2560 นี้
ด้วยหลากหลายปัจจัยบวกที่กล่าวมาข้างต้น หนุนราคาน้ำมัน Dubai ปรับขึ้นมา 11.87% (ytd) ล่าสุดมาอยู่ที่ 60.40 เหรียญ/บาร์เรล และหากยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสเป็นตามสมมุติฐานที่ฝ่ายวิจัยฯประเมินไว้ 55 เหรียญ/บาร์เรล ในปีนี้ และ 60 เหรียญ/บาร์เรลในปีหน้า ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนจึงลงทุนในหุ้นน้ำมัน อย่าง PTT (FV’61@B500) และ PTTEP (FV’61@B118) ที่ราคาหุ้นน่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และยังถือว่า Laggard ราคาน้ำมันอยู่มาก
ต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคเล็กน้อย รวมทั้งแรงขายหุ้นไทยเริ่มเบาบางลง
แม้วานนี้ต่างชาติยังขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคอีกราว 49 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) โดยภาพรวมแล้วเป็นการขายสุทธิ 3 แห่ง และซื้อสุทธิ 2 แห่ง ตลาดที่ซื้อ เริ่มจากเกาหลีใต้สลับมาซื้อสุทธิมูลค่าราว 59 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิวันก่อนหน้า) และฟิลิปปินส์ 5 ล้านเหรียญ (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3)
ส่วนตลาดที่ขายคือ หุ้นไต้หวันและอินโดนิเซีย ขายสุทธิอย่างต่อเนื่องราว 93 ล้านเหรียญ และ 12 ล้านเหรียญ และไทยต่างชาติยังขายสุทธิ แต่ลดน้อยลงเหลือ 8 ล้านเหรียญ หรือ 271 ล้านบาท (ขายสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 8 มูลค่ารวม 1.27 หมื่นล้านบาท) ต่างกับสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิ 618 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2)
ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย สถาบันในประเทศขายสุทธิ 3.27 พันล้านบาท เช่นเดียวกับต่างชาติที่ยังคงขายสุทธิ 210 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 6 มูลค่ารวม 1.37 หมื่นล้านบาท)
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
OO2061