- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 06 November 2017 16:55
- Hits: 1099
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily
ภาพตลาดวันวาน
ดัชนีเปิดตัวแรงกระโดดขึ้นทำจุดสูงสุดของวันที่ 1707.87 จุด เพิ่มขึ้น 5.94 จุด ก่อนที่จะมีแรงขายหลักจากหุ้นในกลุ่มสื่อสารกดดัชนีไหลลงเข้าสู่แดนลบมีจุดต่ำสุดของวันที่ 1696.66 จุด ลดลง 5.27 จุด หลังจากนั้นเป็นการแกว่งตัวผันผวนสลับขึ้นลงที่ยืนทั้งบวกและลบ แต่ส่วนใหญ่อิงทางลงมากกว่าโดยมีกรอบการเคลื่อนไหวทั้งวันที่ 11.21 จุด ทั้งนี้หุ้นที่กดดัชนีลงได้แก่ ADVANC, DTAC, TRUE, PRM, HMPRO, GPSC ก่อนดัชนีจะทำปิดที่ 1701.47 จุด ลดลง 0.46 จุด (-0.03%) มูลค่าการซื้อขาย 52,037 ล้านบาท
ภาพตลาดวันวาน
ดัชนีเปิดตัวแรงกระโดดขึ้นทำจุดสูงสุดของวันที่ 1707.87 จุด เพิ่มขึ้น 5.94 จุด ก่อนที่จะมีแรงขายหลักจากหุ้นในกลุ่มสื่อสารกดดัชนีไหลลงเข้าสู่แดนลบมีจุดต่ำสุดของวันที่ 1696.66 จุด ลดลง 5.27 จุด หลังจากนั้นเป็นการแกว่งตัวผันผวนสลับขึ้นลงที่ยืนทั้งบวกและลบ แต่ส่วนใหญ่อิงทางลงมากกว่าโดยมีกรอบการเคลื่อนไหวทั้งวันที่ 11.21 จุด ทั้งนี้หุ้นที่กดดัชนีลงได้แก่ ADVANC, DTAC, TRUE, PRM, HMPRO, GPSC ก่อนดัชนีจะทำปิดที่ 1701.47 จุด ลดลง 0.46 จุด (-0.03%) มูลค่าการซื้อขาย 52,037 ล้านบาท
ภาพตลาดวันนี้
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีเริ่มมีการปรับฐานตั้งแต่กลางสัปดาห์ หลังจากที่ขึ้นไปทดสอบ High เดิม (1729) แล้วไม่สามารถผ่านได้ โดยวันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 1696 จุด ถือว่าเข้าใกล้แนวรับสำคัญที่ 1695 จุด บวกกับตลอดทั้งวันดัชนีมีความพยายามยืน 1700 จุด ก่อนที่จะทำปิดที่ 1701 จุด ซึ่งทำให้ภาพของการฟื้นตัวหรือ Rebound ในระยะสั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่หากจะลบภาพของการปรับฐานนั้นดัชนีควรจะต้องกลับขึ้นไปยืน 1718 จุด มองแนวต้าน 1708-1710 // 1713 จุด แนวรับ 1690-1696 จุด
แกว่งตัวผันผวน - มีโอกาส Rebound หลังไม่หลุด 1700 จุด แต่ยังไม่ลบภาพการปรับฐาน
Support 1690 // 1670 จุด Resistance 1728 // 1735 จุด
พรรณนภา เขมะสุรัตน์
Technical Analyst
เลขทะเบียน : 060110
Tel 02- 6481124
Email: [email protected]
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีเริ่มมีการปรับฐานตั้งแต่กลางสัปดาห์ หลังจากที่ขึ้นไปทดสอบ High เดิม (1729) แล้วไม่สามารถผ่านได้ โดยวันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีลงมาทำจุดต่ำสุดที่ 1696 จุด ถือว่าเข้าใกล้แนวรับสำคัญที่ 1695 จุด บวกกับตลอดทั้งวันดัชนีมีความพยายามยืน 1700 จุด ก่อนที่จะทำปิดที่ 1701 จุด ซึ่งทำให้ภาพของการฟื้นตัวหรือ Rebound ในระยะสั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่หากจะลบภาพของการปรับฐานนั้นดัชนีควรจะต้องกลับขึ้นไปยืน 1718 จุด มองแนวต้าน 1708-1710 // 1713 จุด แนวรับ 1690-1696 จุด
แกว่งตัวผันผวน - มีโอกาส Rebound หลังไม่หลุด 1700 จุด แต่ยังไม่ลบภาพการปรับฐาน
Support 1690 // 1670 จุด Resistance 1728 // 1735 จุด
พรรณนภา เขมะสุรัตน์
Technical Analyst
เลขทะเบียน : 060110
Tel 02- 6481124
Email: [email protected]
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
"แรงขายคาดจะเบาลง เน้นเล่นข่าวเฉพาะตัว "
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯเริ่มฟื้นตัว แต่ยังคงอยู่ในช่วงของการปรับฐาน กรอบ 1690-1730 จุด ...... แรงขายหุ้นบางตัวหลังราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามาก คาดใกล้จบ แต่การดีดตัวกลับของดัชนีฯ อาจไปไม่ได้ไกลนัก เป็นเพราะราคาหุ้นส่วนใหญ่ของตลาด ยังคงยืนอยู่ในระดับสูง เหลือ upside ไม่มาก อีกทั้งตลาดยังคงต้องรอดูท่าทีและทิศทางปัจจัยต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประธานา Fed หรือแผนปรับลดภาษี ...... ปัจจัยในประเทศ ที่สำคัญ ยังคงเป็นมาตรการช้อปช่วยชาติ ที่เราคาดว่าจะประกาศในการประชุมครม.สัปดาห์นี้ (เป็นอย่างเร็ว) และการเก็งงบ 3Q ช่วง 2 สัปดาห์สุดท้าย ....... หากมีปัจจัยหรือตัวแปรที่กระตุ้นให้เกิดแรงซื้อรอบใหม่ ดัชนีฯจึงจะขยับขึ้นเหนือกรอบที่เราให้ไว้
กลยุทธ์การลงทุน : การปรับฐานที่ยังมีต่อในสัปดาห์นี้ ทำห้นักลงทุนต้องเลือกทำ ทั้งขายหุ้นที่หมดปัจจัยเล่น และเลือกซื้อหุ้นที่ยังไม่ได้สะท้อนต่อปัจจัยบวกของตัวเอง หรือราคาหุ้นยังไม่สอดคล้องกับกำไรที่ถูกคาดว่าจะออกมาดี โดยเรายังเน้นสองปัจจัยหลัก คือกลุ่มได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐฯ และหุ้นมีปัจจัยเฉพาะตัว รวมทั้งหุ้นงบ 3Q ที่คาดว่าจะออกมาดี
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ : KTB, TMILL*, PSH, STEC, EKH*, MINT
หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค : TNR, TNP, CHG
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเครำห์
"แรงขายคาดจะเบาลง เน้นเล่นข่าวเฉพาะตัว "
ทิศทางตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ : คาดดัชนีฯเริ่มฟื้นตัว แต่ยังคงอยู่ในช่วงของการปรับฐาน กรอบ 1690-1730 จุด ...... แรงขายหุ้นบางตัวหลังราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามาก คาดใกล้จบ แต่การดีดตัวกลับของดัชนีฯ อาจไปไม่ได้ไกลนัก เป็นเพราะราคาหุ้นส่วนใหญ่ของตลาด ยังคงยืนอยู่ในระดับสูง เหลือ upside ไม่มาก อีกทั้งตลาดยังคงต้องรอดูท่าทีและทิศทางปัจจัยต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประธานา Fed หรือแผนปรับลดภาษี ...... ปัจจัยในประเทศ ที่สำคัญ ยังคงเป็นมาตรการช้อปช่วยชาติ ที่เราคาดว่าจะประกาศในการประชุมครม.สัปดาห์นี้ (เป็นอย่างเร็ว) และการเก็งงบ 3Q ช่วง 2 สัปดาห์สุดท้าย ....... หากมีปัจจัยหรือตัวแปรที่กระตุ้นให้เกิดแรงซื้อรอบใหม่ ดัชนีฯจึงจะขยับขึ้นเหนือกรอบที่เราให้ไว้
กลยุทธ์การลงทุน : การปรับฐานที่ยังมีต่อในสัปดาห์นี้ ทำห้นักลงทุนต้องเลือกทำ ทั้งขายหุ้นที่หมดปัจจัยเล่น และเลือกซื้อหุ้นที่ยังไม่ได้สะท้อนต่อปัจจัยบวกของตัวเอง หรือราคาหุ้นยังไม่สอดคล้องกับกำไรที่ถูกคาดว่าจะออกมาดี โดยเรายังเน้นสองปัจจัยหลัก คือกลุ่มได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐฯ และหุ้นมีปัจจัยเฉพาะตัว รวมทั้งหุ้นงบ 3Q ที่คาดว่าจะออกมาดี
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ : KTB, TMILL*, PSH, STEC, EKH*, MINT
หุ้นแนะนำเชิงเทคนิค : TNR, TNP, CHG
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเครำห์
ภาพตลาดสัปดาห์ที่ผ่านมา
SET Index สัปดาห์ก่อนปิดที่ระดับ 1,701.47 จุด ปรับตัวลงจากสัปดาห์ก่อน 1,716.03 จุด หรือ -0.85% ปรับตัวลงจากสัปดาห์ก่อน มองเป็นผลมาจากการขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติหลังราคาหุ้นของไทยถูกมองว่ามี valuation ที่ค่อนข้างสูง
ปัจจัยที่ควรติดตาม
ปัจจัยต่างประเทศ / ราคาน้ำมันดิบ
1) ประธาน Fed คนใหม่นาย เจอโรม พาวเวล - ปธน. ทรัมป์เสนอชื่อประธาน Fed คนใหม่เป็น นายเจอโรม พาวเวล ตรงข้ามกับที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเป็น นายเควิน วอร์ช เรามองประเด็นดังกล่าวเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนายเจอโรม พาวเวล มีแนวคิดคล้ายๆกับนางเจเนต เยลเลน การขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นไปตามที่ตลาดคาดเดิม นั่นคือ 3 ครั้งในปีหน้า ความผันผวนของค่าเงินจะไม่สูงเท่าที่คาดการณ์ว่าหากวอร์ชเป็นประธาน Fed คนใหม่
2) ราคาน้ำมันดิบ - เรายังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อราคาน้ำมันดิบ จากการที่ OPEC ขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตออกไปจนถึงสิ้นปี อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันได้ปรับตัวขึ้นมาสูงรับประเด็นราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นมามากแล้ว
SET Index สัปดาห์ก่อนปิดที่ระดับ 1,701.47 จุด ปรับตัวลงจากสัปดาห์ก่อน 1,716.03 จุด หรือ -0.85% ปรับตัวลงจากสัปดาห์ก่อน มองเป็นผลมาจากการขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติหลังราคาหุ้นของไทยถูกมองว่ามี valuation ที่ค่อนข้างสูง
ปัจจัยที่ควรติดตาม
ปัจจัยต่างประเทศ / ราคาน้ำมันดิบ
1) ประธาน Fed คนใหม่นาย เจอโรม พาวเวล - ปธน. ทรัมป์เสนอชื่อประธาน Fed คนใหม่เป็น นายเจอโรม พาวเวล ตรงข้ามกับที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเป็น นายเควิน วอร์ช เรามองประเด็นดังกล่าวเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนายเจอโรม พาวเวล มีแนวคิดคล้ายๆกับนางเจเนต เยลเลน การขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นไปตามที่ตลาดคาดเดิม นั่นคือ 3 ครั้งในปีหน้า ความผันผวนของค่าเงินจะไม่สูงเท่าที่คาดการณ์ว่าหากวอร์ชเป็นประธาน Fed คนใหม่
2) ราคาน้ำมันดิบ - เรายังคงมีมุมมองในเชิงบวกต่อราคาน้ำมันดิบ จากการที่ OPEC ขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตออกไปจนถึงสิ้นปี อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันได้ปรับตัวขึ้นมาสูงรับประเด็นราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นมามากแล้ว
ปัจจัยในประเทศ
1) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ - ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกฯ ได้มีการสั่งการให้ศึกษาความเป็นไปได้ถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ "ช็อปช่วยชาติ" เรามองว่าในสัปดาห์นี้ ตัวเลขและรายละเอียดสำหรับมาตรการดังกล่าวจะเข้ามติครม. ในวันอังคารนี้ ประเด็นดังดังกล่าวจะเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีก
2) การทยอยประกาศงบ 3Q17 - ในช่วงสัปดาห์นี้ หุ้นหลายๆตัวจะมีการทยอยประกาศงบสำหรับช่วง 3Q17 มองว่าหุ้นส่วนใหญ่จะประกาศผลการดำเนินงานออกมาดี หุ้นขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะประกาศผลการดำเนินงาน 3Q17 ภายในสัปดาห์นี้ ได้แก่ SAWAD (KTBST คาดที่ 640 ล้านบาท +18% YoY, +2% QoQ), MTLS (KTBST คาดที่ 606 ล้านบาท +51% YoY, +6% QoQ), BCH (KTBST คาดที่ 301 ล้านบาท +24% YoY, +75% QoQ), และ PTTGC (Bloomberg คาดที่9,323 ล้านบาท +50% YoY, +41% QoQ)
Stock Picks of The Week 06-10 November 2017
KTB
ราคาปิด 18.20 บาท ราคาเหมาะสม 20.30 บาท
เรามอง KTB จะได้ผลบวกในช่วงปลายปีจากการนำทรัพย์สินพร้อมขาย NPA จำนวนกว่า 1,400 รายการ มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ออกขายในงานมหกรรม "KTB NPA Grand Sale"
KTB ประกาศกำไรสุทธิใน 3Q17 ออกมาที่ 5.9 พันล้านบาท ลดลง 32% YoY แต่เพิ่มขึ้น 82% QoQ จากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญเพิ่มขึ้นถึง 30% YoY มาอยู่ที่ระดับ 9.9 พันล้านบาท โดยมองว่าแนวโน้มการตั้งสำรองยังคงกดดันต่อเนื่องไปจนถึง 4Q17
เราคาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 24,873 ล้านบาท (-23% YoY) ปรับตัวลงค่อนข้างมากจากการ write-off หนี้เสีย แต่คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ดีในปี 2018 ที่ 28,236 ล้านบาท (+14% YoY)
ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 20.30 บาท
TMILL*
ราคาปิด 6.35 บาท ราคาเหมาะสม 7.10 บาท
ในเบื้องต้นเราคาดว่า TMILL จะรายงานผลประกอบการช่วง 3Q17 ที่ประมาณ 30-40 ล้านบาท จากการที่บริษัทหันมาขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น อีกทั้งยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาวัตถุดิบที่อยู่ในระดับต่ำอีกด้วย
นอกจากนี้เรามองว่าช่วงที่เหลือของปี TMILL จะมีผลการดำเนินงานที่ดีจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น จากความต้องการแป้งในช่วงเทศกาลกินเจ โดย Bloomberg คาดผลประกอบการปี 2017 ที่ 100 ล้านบาท (+44% YoY) และคาดจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2018 ที่ 122 ล้านบาท (+22% YoY)
ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 7.10 บาท
1) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ - ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกฯ ได้มีการสั่งการให้ศึกษาความเป็นไปได้ถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ "ช็อปช่วยชาติ" เรามองว่าในสัปดาห์นี้ ตัวเลขและรายละเอียดสำหรับมาตรการดังกล่าวจะเข้ามติครม. ในวันอังคารนี้ ประเด็นดังดังกล่าวจะเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีก
2) การทยอยประกาศงบ 3Q17 - ในช่วงสัปดาห์นี้ หุ้นหลายๆตัวจะมีการทยอยประกาศงบสำหรับช่วง 3Q17 มองว่าหุ้นส่วนใหญ่จะประกาศผลการดำเนินงานออกมาดี หุ้นขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะประกาศผลการดำเนินงาน 3Q17 ภายในสัปดาห์นี้ ได้แก่ SAWAD (KTBST คาดที่ 640 ล้านบาท +18% YoY, +2% QoQ), MTLS (KTBST คาดที่ 606 ล้านบาท +51% YoY, +6% QoQ), BCH (KTBST คาดที่ 301 ล้านบาท +24% YoY, +75% QoQ), และ PTTGC (Bloomberg คาดที่9,323 ล้านบาท +50% YoY, +41% QoQ)
Stock Picks of The Week 06-10 November 2017
KTB
ราคาปิด 18.20 บาท ราคาเหมาะสม 20.30 บาท
เรามอง KTB จะได้ผลบวกในช่วงปลายปีจากการนำทรัพย์สินพร้อมขาย NPA จำนวนกว่า 1,400 รายการ มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ออกขายในงานมหกรรม "KTB NPA Grand Sale"
KTB ประกาศกำไรสุทธิใน 3Q17 ออกมาที่ 5.9 พันล้านบาท ลดลง 32% YoY แต่เพิ่มขึ้น 82% QoQ จากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญเพิ่มขึ้นถึง 30% YoY มาอยู่ที่ระดับ 9.9 พันล้านบาท โดยมองว่าแนวโน้มการตั้งสำรองยังคงกดดันต่อเนื่องไปจนถึง 4Q17
เราคาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 24,873 ล้านบาท (-23% YoY) ปรับตัวลงค่อนข้างมากจากการ write-off หนี้เสีย แต่คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ดีในปี 2018 ที่ 28,236 ล้านบาท (+14% YoY)
ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 20.30 บาท
TMILL*
ราคาปิด 6.35 บาท ราคาเหมาะสม 7.10 บาท
ในเบื้องต้นเราคาดว่า TMILL จะรายงานผลประกอบการช่วง 3Q17 ที่ประมาณ 30-40 ล้านบาท จากการที่บริษัทหันมาขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น อีกทั้งยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาวัตถุดิบที่อยู่ในระดับต่ำอีกด้วย
นอกจากนี้เรามองว่าช่วงที่เหลือของปี TMILL จะมีผลการดำเนินงานที่ดีจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น จากความต้องการแป้งในช่วงเทศกาลกินเจ โดย Bloomberg คาดผลประกอบการปี 2017 ที่ 100 ล้านบาท (+44% YoY) และคาดจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2018 ที่ 122 ล้านบาท (+22% YoY)
ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 7.10 บาท
Weekly Portfolio 06-10 November 2017
หุ้น เหตุผล
KTB(ราคาปิด 18.20) เรามอง KTB จะได้ผลบวกในช่วงปลายปีจากการนำทรัพย์สินพร้อมขาย NPA จำนวนกว่า 1,400 รายการ มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ออกขายในงานมหกรรม "KTB NPA Grand Sale" …. KTB ประกาศกำไรสุทธิใน 3Q17 ออกมาที่ 5.9 พันล้านบาท ลดลง 32% YoY แต่เพิ่มขึ้น 82% QoQ จากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญเพิ่มขึ้นถึง 30% YoY มาอยู่ที่ระดับ 9.9 พันล้านบาท โดยมองว่าแนวโน้มการตั้งสำรองยังคงกดดันต่อเนื่องไปจนถึง 4Q17…. เราคาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 24,873 ล้านบาท (-23% YoY) ปรับตัวลงค่อนข้างมากจากการ write-off หนี้เสีย แต่คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ดีในปี 2018 ที่ 28,236 ล้านบาท (+14% YoY) …. (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 20.30 บาท)
TMILL*(ราคาปิด 6.35) ในเบื้องต้นเราคาดว่า TMILL จะรายงานผลประกอบการช่วง 3Q17 ที่ประมาณ 30-40 ล้านบาท จากการที่บริษัทหันมาขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น อีกทั้งยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาวัตถุดิบที่อยู่ในระดับต่ำอีกด้วย …. นอกจากนี้เรามองว่าช่วงที่เหลือของปี TMILL จะมีผลการดำเนินงานที่ดีจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น จากความต้องการแป้งในช่วงเทศกาลกินเจ โดย Bloomberg คาดผลประกอบการปี 2017 ที่ 100 ล้านบาท (+44% YoY) และคาดจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2018 ที่ 122 ล้านบาท (+22% YoY) …. (ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 7.10 บาท)
PSH(ราคาปิด 25.50) มอง PSH เป็นทั้งหุ้นที่มีปันผลจ่ายสูง ราว 6-7% ต่อปี และ P/E ยังอยู่ในระดับต่ำที่ราว 11 เท่า เท่านั้น โดย คาดกำไรสุทธิ 2H17 ยังคงมีทิศทางที่ดีขึ้นทั้ง YoY และ HoH เนื่องจากยังคงมียอดโอนคอนโดใหม่ใน 2Q17 อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีคอนโดใหม่เริ่มโอนในงวด 2H17 อีกจำนวน 3 โครงการ …. คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 6,225 ล้านบาท (+4.8% YoY) และ ปี 2018 ที่ 6,816 ล้านบาท (+11% YoY) .... (ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 29.50 บาท)
STEC(ราคาปิด 25.50) มองว่าโครงการภาครัฐต่างๆทยอยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดกระทรวงคมนาคมจะมีการนำโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม-น้ำเงิน และมอเตอร์เวย์ นครปฐม-ชะอำ มูลค่า 8 หมื่นล้านบาทเข้าบอร์ด PPP .... เราเลือก STEC เป็น Top Pick สำหรับกลุ่มรับเหมาฯ เนื่องจาก STEC มีลักษณะธุรกิจเป็น pure contractor .... Backlog ปัจจุบันของ STEC อยู่ที่ระดับราว 113,500 ล้านบาท (รวมโครงการรถไฟทางคู่ที่ประมูลแล้ว) รองรับรายได้ได้สูงถึง 5 ปี คาดกาไรจากการดาเนินงานปกติปี 2017 จะเติบโตที่ 31% และจะเติบโตได้สูงมากต่อเนื่องในปี 2018 ประมาณ 50% YoY …. (ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 35.50 บาท)
EKH *(ราคาปิด 6.05) เรามองว่า EKH จะเป็นอีกหนึ่งหุ้นโรงพยาบาลที่จะมีผลประกอบการดีในช่วง 3Q17 ซึ่งมีแรงหนุนจากจำนวนคนจีนที่จะเข้ามาใช้บริการมากขึ้นหลังประเทศจีนออกมาตรการมีบุตรมากกว่า 1 คนซึ่ง EKH มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ และการระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่มีสูงในช่วงนั้น โดย Bloomberg คาดกำไรสุทธิช่วง 3Q17 ที่ 35 ล้านบาท (+26% YoY, +198% QoQ) .... Bloomberg คาดผลประกอบการปี 2017 ที่ 68 ล้านบาท (-10% YoY) แต่คาดจะเติบโตได้ในปี 2018 ที่ 82 ล้านบาท (+21% YoY)
MINT(ราคาปิด 43.75) ผลประกอบการโรงแรมในยุโรป เริ่มดีขึ้นจากการเข้าสู่ช่วง high season ...... ในประเทศ เรามองจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติท่องเที่ยวต่างชาติสูงขึ้นและการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของท่องเที่ยวเป็นบวกต่อ MINT …. คาด 2H17 กำไรจะเติบโตได้ดี จาก high season ของยุโรปและไทย นอกจากนี้ คาดภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพิ่มเติม .... (ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 45.00 บาท)
Analyst : Mongkol Puangpetra
+662 648 1123
[email protected]
Analyst
Nontapat Rushtasomboon
+662 648 1127
[email protected]
หุ้น เหตุผล
KTB(ราคาปิด 18.20) เรามอง KTB จะได้ผลบวกในช่วงปลายปีจากการนำทรัพย์สินพร้อมขาย NPA จำนวนกว่า 1,400 รายการ มูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ออกขายในงานมหกรรม "KTB NPA Grand Sale" …. KTB ประกาศกำไรสุทธิใน 3Q17 ออกมาที่ 5.9 พันล้านบาท ลดลง 32% YoY แต่เพิ่มขึ้น 82% QoQ จากการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญเพิ่มขึ้นถึง 30% YoY มาอยู่ที่ระดับ 9.9 พันล้านบาท โดยมองว่าแนวโน้มการตั้งสำรองยังคงกดดันต่อเนื่องไปจนถึง 4Q17…. เราคาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 24,873 ล้านบาท (-23% YoY) ปรับตัวลงค่อนข้างมากจากการ write-off หนี้เสีย แต่คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ดีในปี 2018 ที่ 28,236 ล้านบาท (+14% YoY) …. (ราคาพื้นฐานโดย KTBST ที่ 20.30 บาท)
TMILL*(ราคาปิด 6.35) ในเบื้องต้นเราคาดว่า TMILL จะรายงานผลประกอบการช่วง 3Q17 ที่ประมาณ 30-40 ล้านบาท จากการที่บริษัทหันมาขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น อีกทั้งยังได้รับปัจจัยบวกจากราคาวัตถุดิบที่อยู่ในระดับต่ำอีกด้วย …. นอกจากนี้เรามองว่าช่วงที่เหลือของปี TMILL จะมีผลการดำเนินงานที่ดีจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น จากความต้องการแป้งในช่วงเทศกาลกินเจ โดย Bloomberg คาดผลประกอบการปี 2017 ที่ 100 ล้านบาท (+44% YoY) และคาดจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2018 ที่ 122 ล้านบาท (+22% YoY) …. (ราคาพื้นฐานโดย Bloomberg ที่ 7.10 บาท)
PSH(ราคาปิด 25.50) มอง PSH เป็นทั้งหุ้นที่มีปันผลจ่ายสูง ราว 6-7% ต่อปี และ P/E ยังอยู่ในระดับต่ำที่ราว 11 เท่า เท่านั้น โดย คาดกำไรสุทธิ 2H17 ยังคงมีทิศทางที่ดีขึ้นทั้ง YoY และ HoH เนื่องจากยังคงมียอดโอนคอนโดใหม่ใน 2Q17 อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีคอนโดใหม่เริ่มโอนในงวด 2H17 อีกจำนวน 3 โครงการ …. คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 6,225 ล้านบาท (+4.8% YoY) และ ปี 2018 ที่ 6,816 ล้านบาท (+11% YoY) .... (ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 29.50 บาท)
STEC(ราคาปิด 25.50) มองว่าโครงการภาครัฐต่างๆทยอยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดกระทรวงคมนาคมจะมีการนำโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม-น้ำเงิน และมอเตอร์เวย์ นครปฐม-ชะอำ มูลค่า 8 หมื่นล้านบาทเข้าบอร์ด PPP .... เราเลือก STEC เป็น Top Pick สำหรับกลุ่มรับเหมาฯ เนื่องจาก STEC มีลักษณะธุรกิจเป็น pure contractor .... Backlog ปัจจุบันของ STEC อยู่ที่ระดับราว 113,500 ล้านบาท (รวมโครงการรถไฟทางคู่ที่ประมูลแล้ว) รองรับรายได้ได้สูงถึง 5 ปี คาดกาไรจากการดาเนินงานปกติปี 2017 จะเติบโตที่ 31% และจะเติบโตได้สูงมากต่อเนื่องในปี 2018 ประมาณ 50% YoY …. (ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 35.50 บาท)
EKH *(ราคาปิด 6.05) เรามองว่า EKH จะเป็นอีกหนึ่งหุ้นโรงพยาบาลที่จะมีผลประกอบการดีในช่วง 3Q17 ซึ่งมีแรงหนุนจากจำนวนคนจีนที่จะเข้ามาใช้บริการมากขึ้นหลังประเทศจีนออกมาตรการมีบุตรมากกว่า 1 คนซึ่ง EKH มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้ และการระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่มีสูงในช่วงนั้น โดย Bloomberg คาดกำไรสุทธิช่วง 3Q17 ที่ 35 ล้านบาท (+26% YoY, +198% QoQ) .... Bloomberg คาดผลประกอบการปี 2017 ที่ 68 ล้านบาท (-10% YoY) แต่คาดจะเติบโตได้ในปี 2018 ที่ 82 ล้านบาท (+21% YoY)
MINT(ราคาปิด 43.75) ผลประกอบการโรงแรมในยุโรป เริ่มดีขึ้นจากการเข้าสู่ช่วง high season ...... ในประเทศ เรามองจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติท่องเที่ยวต่างชาติสูงขึ้นและการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของท่องเที่ยวเป็นบวกต่อ MINT …. คาด 2H17 กำไรจะเติบโตได้ดี จาก high season ของยุโรปและไทย นอกจากนี้ คาดภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพิ่มเติม .... (ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 45.00 บาท)
Analyst : Mongkol Puangpetra
+662 648 1123
[email protected]
Analyst
Nontapat Rushtasomboon
+662 648 1127
[email protected]
OO1994