WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASIAwealthบล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 

กลยุทธ์การลงทุน
  การปรับฐานยังมีอยู่ วันนี้มีโอกาสแกว่งตัว 1690-1710 จุดได้ จากแรงขายต่างชาติ และแรงขายรับงบภาคการผลิตใน 3Q60 แม้คาดหวังว่าจะมีแรงหนุน LTF เข้ามาหนุน Top picks เลือกหุ้น Laggards  PTTEP(FV@B118)  เชื่อผ่านจุดเลวร้ายไปแล้ว ขณะที่คาดว่างบจะดีขึ้นในงวดถัดไป และปี 2560 กำไรสุทธิจะเติบโต 50% และยังชื่นชอบ MINT(FV@50) ได้รับแรงหนุนช็อปช่วยชาติ  
 
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย...SET Index ปรับฐานลงมาใกล้ 1700 จุดอีกครั้ง
  วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงหนักสุดในภูมิภาค โดยดัชนีพยายามที่จะดันขึ้นมาในแดนบวก แต่ก็เจอแรงขายกดดันหนักช่วงท้ายตลาด ส่งผลให้ดัชนีปิดที่ 1701.93 จุด ลดลงแรง 12.62 จุด หรือ 0.74% มูลค่าการซื้อขายกว่า 6.3 หมื่นล้านบาท โดยภาพรวมปรับลดทุกกลุ่มฯ  นำโดยกลุ่ม ICT ที่ปรับลดลงแรงเป็นส่วนแทบทั้งกลุ่ม นำโดย DTAC ลดลงกว่า 10.29%, TRUE ลดลง 4.88%, ADVANC ลดลง 2.85%  ตามด้วย THCOM ที่ยังปรับลดลงต่อเนื่องอีก 7.63% และ INTUCH ลดลง 1.74%
  รองลงมาคือ ธนาคารพาณิชย์ นำโดย BBL ลดลง 1.29%, KBANK ลดลง 0.45% SCB ลดลง 0.34% และ TMB ลดลง 0.76% ตามมาด้วยกลุ่มพลังงาน นำโดยหุ้นปิโตรเลี่ยมอย่าง PTT ลดลง 0.95% ปิโตรเคมี PTTGC ลดลง 0.96% IRPC ลดลง 1.56% และ TOP ลดลง 1.01% กลุ่มโรงไฟฟ้า SUPER, BCP, BPP, BANPU และ BCPG ลดลง 1.61%, 2.47%, 2.50%, 0.57% และ 0.84%
  ตรงข้ามกับหุ้นที่ปรับขึ้นสวนตลาดคือ  TPIPP บวก 4.43% ขึ้นทำ New high นับแต่เข้ามาตลาดเดือนเมษายน  เช่นเดียวกับ PTTEP  กลับปรับตัวขึ้นกว่า 2.33% หลังจากผลประกอบการใน 3Q60 ออกมาดีกว่าที่คาดแม้ขาดทุนสุทธิ 8.7 พันล้านบาท และหากตัดรายการพิเศษที่เกิดขึ้นจากการตั้งสำรองด้อยค่า oilsand ที่แคนาดา (คงเหลือมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 45 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยตั้งสำรองด้อยค่ารวม 3 ครั้งเป็นเงิน 1800 ล้านเหรียญฯ )จะมีกำไรปกติ 7.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.1% qoq  ราคาหุ้นที่ปรับลดลงมาก่อนหน้านี้ได้สะท้อนข่าวลบไประดับหนึ่งแล้ว ขณะที่ระยะสั้นมีแรงหนุน ราคาน้ำมันที่ฟื้นตัวแตะ 60 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล หนุนกำไรสุทธิปี 2561 เติบโต 50.5% มูลค่าพื้นฐานปี 2561 คือ 118 บาท (ปัจจุบันมีโครงลงทุน LPG ที่โมซัมบิก 72000 ล้านบาท ที่ยังดำเนินงานปกติ)
  แนวโน้มตลาดฯ วันนี้ ต้องลุ้นให้ SET Index ไม่หลุด 1690 จุด แต่หากรับไม่อยู่ แนวรับถัดไปจะเป็น 1680 จุด แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการปรับฐานจะไม่ลงลึกเช่นนั้น ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1710 จุด
BOE ขึ้นดอกเบี้ย เพื่อสกัดเงินเฟ้อ และลดเศรษฐกิจร้อนแรง 
  ที่ประชุม BOE วานนี้สรุปว่า ขึ้นดอกเบี้ยตามหลังสหรัฐ และแคนาดาที่นำร่องขึ้นดอกเบี้ยไปก่อน แต่คือ  เป็นไปตามที่ตลาดคาด คือขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกในรอบ 10 ปี 25bps เป็น 0.5% เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ล่าสุด เดือน ก.ย. อยู่ที่ 3% จาก 2.9% เดือน ส.ค. และ 2.6% ก.ค. เนื่องจากค่าเงินปอนด์เทียบดอลลาร์อ่อนค่าราว 9.6% นับจาก Brexit ส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น   ซึ่งทำให้ส่วนต่าง เงินเฟ้อ หัก ดอกเบี้ยนโยบายยังสูงถึง 2.5% นอกจากนี้เศรษฐกิจอังกฤษที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง  ด้วยเหตุนี้ทำให้ BOE  ยังมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยได้ในการประชุมหลังจากนี้   ซึ่งจากผลสำรวจของ Bloomberg คาด BOE จะขึ้นดอกเบี้ยปีหน้าราว 2 ครั้งๆละ 0.25%  จะทำให้ดอกเบี้ยสิ้นปี 2561 อยู่ที่ 1%  ทำให้ส่วนต่าง เงินเฟ้อ หักดอกเบี้ย เหลือ 2% ทำให้อังกฤษยังมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้งในปี 2561 ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ย โดยที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวต่อเนื่องถือเป็นปัจจัยหนุนตลาด  โดยหากเทียบเคียงกับในอดีต เงินเฟ้ออังกฤษ เดือน ก.ค. 2546 อยู่ที่  1.3%yoy และพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 2.3%ในปี ก.ค. 2548   ทำให้ BOE ขึ้นดอกเบี้ยฯ ติดต่อกัน 5 ครั้งๆละ 25bps (จาก 3.5%  ก.ค. 2546 เป็น  4.75% ก.ค. 2548) พบว่าตลาดหุ้นได้ตอบรับด้านบวกก่อนการขึ้นดอกเบี้ยนาน  4-6 เดือน
   ขณะที่สหรัฐ ผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นประธาน Fed คนถัดไปต่อจากนางเจเน็ต เยลเลนที่จะครบวาระ ก.พ.2561  เป็นไปตามที่ตลาดคาด คือ นาย Jerome Powell 1 ในคณะกรรมการ Fed ปัจจุบัน (ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2555) ซึ่งมีแนวคิดใช้นโยบายการเงินเข้มงวด แต่น้อยกว่าประธาน Fed คนปัจจุบัน  ซึ่งขั้นตอนถัดไปคือ จะต้องได้การรับรองจากวุฒิสภา  
  ส่วนประเด็นการปฎิรูปภาษีสหรัฐ  ล่าสุดมีการเผยร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีเป็นไปตามที่ตลาดคาด คือ  ภาษีนิติบุคคลจะลดเหลืออัตรา 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 35% (แต่น้อยกว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์หาเสียงที่ 15%)  ส่วนภาษีบุคคลธรรมดา จะลดลงเหลือ 4 ขั้นจาก 7 ขั้นบันได คือ 12%, 25%, 35% และ 39.6%  ต่างจากรัฐบาลนำเสนอ คือ ลดเหลือ 3 ขั้นจาก 7 ขั้นบันได คือ 12%, 25%, 35%  อย่างไรก็ตามการปรับลดภาษีนิติบุคคลจะเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจในสหรัฐโดยตรง โดยนักวิเคราะห์ในตลาดมีการคาดการณ์ หากภาษีบุคคลธรรมดามีผลบังคับใช้ในปีหน้า คาดว่าจะทำให้กำไรตลาดหุ้นสหรัฐ (Eps Growth) ในปี 2561 เติบโตที่  15.4% จากเดิมคาด 12% (EPS  ของตลาดเพิ่มขึ้นราวหุ้นละ  4-6 เหรียญ จากเดิมคาดเฉลี่ย 145.69 เหรียญต่อหุ้น)  แต่ยังต้องติดตามขั้นตอนการพิจารณาของสภาล่าง (ส.ส.) คือก่อน 23 พ.ย.  และน่าจะผลักดันให้ออกเป็นกฎหมายภายใน 25 ธ.ค.  แม้เป็นประเด็นบวกต่อตลาด แต่เชื่อว่าหุ้นได้ตอบรับไปมากแล้ว 
PTTEP, ADVANC เผชิญแรงขายรับงบ และปัจจัยภายนอกกดดันช่วงสั้น
ในช่วงการรายงานงบ 3Q60 หุ้น real sector ที่มี Market Cap ใหญ่ ที่รายงานเมื่อวานนี้คือ
  PTTEP (FV@B118)  งวด 3Q60 กำไรดีกว่าคาด แม้รายงานขาดทุนสุทธิเพียง 8.7 พันล้านบาท แต่เป็นเพราะมีค่าใช้จ่ายพิเศษ 1.58 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ (Impairment Charge) โครงการมาเรียนา ออยล์ แซนด์ ในประเทศแคนาดา 1.85 หมื่นล้านบาท และการบันทึกผลประโยชน์ทางภาษีฯ ราว 2.7 พันล้านบาท แต่หากตัดรายการพิเศษออกจะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 7.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.1%qoq  จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น 5.9%qoq และราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 1.8%qoq นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากต้นทุนต่อหน่วย (unit cost) ปรับตัวลดลงอีก 2.0%qoq โดรวมผลการดำเนินสุทธิงวด 9M60 ยังคงเป็นกำไรสุทธิที่ 1.1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 55.5% ของประมาณการทั้งปีที่ประเมินไว้ ทั้งนี้ เชื่อว่า ราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับตัวลดลงสะท้อนประเด็นลบต่างๆที่เกิดขึ้นไปในระดับหนึ่งแล้ว ประกอบกับในภาพระยะยาวคงมุมมองบวกต่อทิศทางราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในช่วงขาขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะช่วยหนุนให้รายได้จากการขายปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง ฝ่ายวิจัยจึงยังแนะนำ ซื้อ โดย Fair Value ปี 2561 อยู่ที่ 118 บาท ทั้งยังคาดหวังอัตราผลตอบแทนเงินปันผลได้เฉลี่ยกว่า 4% ต่อปี
  ADVANC (FV@B230)  งวด 3Q60 กำไรเป็นไปตามคาด คือเติบโต 14%yoy และ 3.5%qoq โดยรายได้ค่าบริการ (ไม่รวม IC) ทรงตัว โดยเติบโตเล็กน้อย 0.9%qoq (+6%yoy) จากการขยายฐานลูกค้ารายเดือนที่เพิ่มขึ้น แม้ลูกค้าระบบเติมเงินลดลงก็ตาม  แต่พบว่าอัตรากำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้นเป็น 19.4% จาก 17.6% ในงวด 3Q59 และ 18.5% ในงวด 2Q60  ทำให้แนวโน้มกำไรใน 4Q60 คาดจะเติบโตทั้ง qoq และ yoy  โดยรวมแนวโน้มผลประกอบการปีนี้แม้จะอ่อนตัวลงเล็กน้อยราว 3.2%yoy แต่จะกลับมาเติบโต 8% ในปี 2561 ยัแนะนำ ซื้อ Fair Value ที่ 230 บาท โดยจุดเด่นอยู่ที่ความพร้อมเติบโตระยะยาวทั้งกลุ่มลูกค้าบุคคลและองค์กร ราคาหุ้นที่ลดลงเร็ว เป็นโอกาสสะสม
ต่างชาติสลับมาขายหุ้นในภูมิภาค รวมถึงไทย
  วานนี้ต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคราว 436 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 3 วัน) และเป็นการขายสุทธิเกือบทุกประเทศ ยกเว้นตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เพียงแห่งเดียวที่ถูกซื้อสุทธิ 15 ล้านเหรียญ (หลังจากหยุดทำการไป 2 วัน) ส่วนตลาดหุ้นที่เหลืออีก 4 แห่งถูกขายสุทธิทั้งหมด เริ่มจากอินโดนีเซียถูกขายสุทธิกว่า 331 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) ตามมาด้วยไต้หวัน 57 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3), เกาหลีใต้ 14 ล้านเหรียญ (หลังจากซื้อสุทธิ 4 วัน) และไทยที่ต่างชาติยังคงขายสุทธิอีก 48 ล้านเหรียญ หรือ 1.58 พันล้านบาท (ขายสุทธิติดต่อกัน 6 วัน มีมูลค่ารวมกว่า 1.02 หมื่นล้านบาท) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิเล็กน้อย 48 ล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2)
  ส่วนทางด้านตลาดตราสารหนี้ไทย สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 2.28 หมื่นล้านบาท สวนทางกับต่างชาติที่ยังคงขายสุทธิ 4.00 พันล้านบาท (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4 ด้วยมูลค่ารวม 1.07 หมื่นล้านบาท)
ตลาดฯ ปรับฐาน เน้นหุ้นพื้นฐานแกร่งราคา Laggard
  นับตั้งแต่ SET Index ปรับขึ้นผ่าน 1600 จุด เมื่อ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา จนถึงวานนี้ดัชนีปรับขึ้นไปแล้วถึง7.32% มาอยู่ที่ 1701.93 จุด จนทำให้หุ้นหลายๆ บริษัทพุ่งขึ้นมาจนเกินมูลค่าพื้นฐานไปมากแล้ว เช่น BCPG, RS, ORI และ TKN เพิ่มขึ้นมาในช่วงเวลาดังกล่าวกว่า 50.64%, 47.59%, 47.89% และ 29.49% ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายหุ้นที่ราคาปรับขึ้นสะท้อนประเด็นบวกในเรื่องของผลประกอบการที่เติบโต แม้จะปรับไปใช้ Fair Value ของปีหน้าแล้ว แต่ upside ก็ยังเหลือน้อย อย่างไรก็ตาม ยังมีบางหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง แต่ราคาหุ้นยังปรับขึ้นน้อยกว่ากลุ่มฯ หรือตลาดฯ ทำให้ยังมี upside เหลืออยู่ จึงเชื่อว่าหุ้น laggard เหล่านี้น่าจะ outperform ได้ในช่วงถัดไป
 
ภรณี ทองเย็น  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์  เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
OO1931

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!