- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 31 October 2017 17:33
- Hits: 4731
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
"ผันผวนตามแรงขายนักลงทุนต่างประเทศ "
ทิศทางตลาดหุ้นไทย : คาดตลาดยังคงมีความผันผวน เช่นเดียวกับวันก่อน จับตา 2 ตัวแปร คือ การขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ และประชุม ครม. ....... นักลงทุนต่างประเทศ ยังขายหุ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ปัจจัยที่กดดันให้มีแรงขายจากนักลงทุนกลุ่มนี้ จะเป็นการลดความเสี่ยงก่อนทราบชื่อประธาน Fed ที่คาดว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯจะเผยชื่อในวันพฤหัสบดีนี้ ตัวเต็งพลิกไปเป็น นายเจอโรม พาวเวล (ซึ่งมีแนวคิดเหมือนนางเยลเลน) การประชุม FOMC ที่จะเริ่มวันนี้ และแผนภาษีของสหรัฐฯ ทั้ง 3 ปัจจัย บวกกับค่าเงินดอลล่าร์ยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น (เงินบาทอ่อน) ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน จึงมีผลมาถึงตลาดหุ้นไทยที่ได้แรงซื้อจากนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมาเป็นตัวหนุนดัชนีฯให้ขึ้นมาเกือบ 10% …… ปัจจัยในประเทศ แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ยังแข็งแกร่ง สศค.ปรับ GDP ปีนี้ ว่ามีโอกาสถึง 4.0% และนักลงทุนต่างคาดหวังในเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจส่งท้ายปีจากรัฐบาลอยู่ การเข้ามาเก็งกำไรในงบ 3Q ที่เริ่มมีการรายงานอีกครั้ง ...... เรามองว่า ปัจจัยในประเทศจะยังคงเป็นตัวบวกของตลาด แต่การขายทำกำไรเกิดจากปัจจัยในต่างประเทศ และการลดพอร์ตของนักลงทุนต่างประเทศ
กลยุทธ์การลงทุน : ตลาดที่ผันผวน ทำให้กลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ ยังต้องเป็น selective buy สลับกับการเปลี่ยนตัวเล่นหุ้นที่ราคาขึ้นมามากและเริ่มไปต่อไม่ไหว โดยเน้นสองปัจจัยหลัก คือกลุ่มได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐฯ และหุ้นมีปัจจัยเฉพาะตัว รวมทั้งหุ้นงบ 3Q ที่คาดว่าจะออกมาดี
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ประจำวัน : สำหรับหุ้นที่เราคาดว่าอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุนในวันนี้ อาทิ KCE, MAJOR, VGI*, ROBINS
หุ้นแนะนำทางเทคนิค : JMART, SAT, SIS
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
บทวิเคราะห์และความเห็นข่าวสำคัญ
(+) HMPRO : ประกาศกำไรสุทธิ 3Q17 ที่ 1,186 ล้านบาทใกล้เคียงที่เราคาด คาดยอดขายสาขาเดิมปรับตัวดีขึ้นและผลประกอบการดีต่อเนื่องใน 4Q17
(+) KBANK : มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อการตั้งสำรองที่ลดลงในปี 2018
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (30 ต.ค.) ปิดที่1,718.66 จุด เพิ่มขึ้น 2.63 จุด หรือ +0.15% มูลค่าการซื้อขาย 63,223.79 ล้านบาท ตลาดแกว่งตัวขึ้นลงในระหว่างวัน แต่ได้แรงหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานในช่วงบ่าย หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น
ตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,348.74 จุด ลดลง 85.45 จุด หรือ -0.36% จากการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลของสหรัฐอาจดำเนินไปอย่างล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ อีกทั้งนักลงทุนยังชะลอการลงทุนเพื่อติดตามการเลือกประธานธนาคารกลางสหรัฐฯคนใหม่ .... แต่ด้าน Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น +0.1% ปิดที่ 393.91 จุด
ปัจจัยต่างประเทศ : ติดตามการเลือกประธาน Fed คนใหม่, มาตรการปรับโครงสร้างภาษีทรัมป์มีความล่าช้า คาดว่า ปธน. ทรัมป์จะเสนอชื่อประธาน Fed คนใหม่ในวันพฤหัสบดีนี้ ตัวเต็งปัจจุบันได้แก่นาย เจอโรม พาวเวล ซึ่งนายพาวเวลเป็นสายพิราบ มีแนวคิดผ่อนคลายทางการเงินสูง ซึ่งจะมีนโยบายทางการเงินคล้ายๆกับนางเยลเลน ก่อนหน้านี้คาดกันว่าประธาน Fed คนใหม่จะเป็นสายเหยี่ยว ซึ่งจะมีมาตรการคุมเข้มทางการเงินและจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็ง (ส่งผลดีต่อค่าเงินบาท) ฉนั้น การเปลี่ยนตัวเก็งในตอนนี้จะส่งผลให้ประเด็นบวกดังกล่าวจะหายไป .... มีการรายงานว่าการพิจารณาการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตรงข้ามกับที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าจะสามารถเกิดขึ้นได้ในไม่ช้า เป็นลบต่อตลาด
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ราคาน้ำมันดิบปิดที่ 54.15 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 25 เซนต์ หรือ +0.5% จากการที่ OPEC ขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตออกไปจนถึงสิ้นปีหน้า ประเด็นดังกล่าวเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันของไทย .... ติดตามการประชุมโอเปกในวันที่ 30 พ.ย.นี้ที่กรุงเวียนนา
ปัจจัยในประเทศ : ประเด็นบวกจากโครงการโครงสร้างพื้นฐาน, ติดตามการรายงานผลประกอบการ Q2 มีประเด็นบวกจากประเด็นที่ สนข. ออกมาระบุว่าอยู่ระหว่างการศึกษารถไฟสายใหม่ วงเงิน 1.8 หมื่นล้านบาท นับเป็นการออกมาพูดถึงเรื่องโครงสร้างพื้นฐานครั้งแรกในรอบ 2 เดือน .... เช้านี้ HMPRO ประกาศผลการดำเนินงานช่วง 3Q17 ออกมาที่ 1,183 ล้านบาท +24.7% YoY, +4.6% QoQ และใกล้เคียงกับที่ KTBST คาดไว้ที่ 1,196 ล้านบาท
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)ปรับประมาณการเศรษฐกิจ (GDP) ปี 2560 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 3.6% เป็น 3.8% โดยอยู่ในช่วงคาดการณ์ที่ 3.6 -4.0% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าและบริการที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามการลงทุนภาครัฐมีแนวโน้มชะลอลงบ้างจากการเบิกจ่ายลงทุนภายใต้งบเพิ่มเติมปี 60 ที่ค่อนข้างเป็นไปอย่างล่าช้า แต่คาดว่าจะทยอยเบิกจ่ายและเป็นแรงสนับสนุนเศรษฐกิจในปีถัดไป
Stock in Focus
หุ้น เหตุผล
KCE(ราคาปิด 101.00) ด้วยการคาดการณ์ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยภายในปีนี้และอีก 4-5 ครั้งในปีหน้า ประเด็นดังกล่าวจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ไม่อ่อนค่าไปกว่านี้ ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออกอย่าง KCE นอกจากนี้ KCE จะประกาศผลการดำเนินงานช่วง 3Q17 ในวันที่ 7/11/2017 นี้คาดว่าจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ …. KTBST คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2017 ที่ 2,791 ล้านบาท (-8% YoY) แต่คาดจะเติบโตได้ดีในปี 2018 ที่ 3,321 ล้านบาท (+18% YoY) …. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 79.00 บาท)
MAJOR(ราคาปิด 32.75 ) เลือก MAJOR จากกระแสภาพยนต์เรื่อง Thor Ragnarok ที่มีกระแสตอบรับที่ดี อีกทั้ง บริษัทยังออกมากล่าวว่า ภาพรวมตลาดหนังตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเติบโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน และช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีนี้จะยังเติบโตต่อเนื่อง... ล่าสุด MAJOR ได้จับมือร่วมกับบริษัท เดอะ วอลท์ ดีสนีย์(ประเทศไทย) เจ้าของสิทธิการเผยแพร่ภาพยนตร์จากมาร์เวล สตูดิโอส์ในประเทศไทย เปิดตัวแคมเปญ เยียร์ ออฟ มาร์เวล แอท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ที่จะร่วมกันตั้งแต่ปลายปี 60-61 ด้วยการจำหน่ายบัตรสะสมลายการ์ตูนมาร์เวลที่จะเข้าฉายทั้งหมด 4 เรื่อง พร้อมกับใช้คะแนนสะสมแลกซื้อตุ๊กตาได้เฉพาะที่โรงหนังเมเจอร์เท่านั้น เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมภาพยนตร์ช่วง 2 เดือนสุดท้าย ตั้งเป้าหมายมียอดขายจากแคมเปญดังกล่าว 1,000 ล้านบาท .... KTBST คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2017 ของ MAJOR ที่ระดับ 1,338 ล้านบาท (+13% YoY) และปี 2018 ที่ 1,527 ล้านบาท (+14% YoY) …. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 36.00 บาท)
VGI*(ราคาปิด 5.90) เรามองว่าสื่อโฆษณาจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งจะเข้าสู่ช่วงเฉลิมฉลองและการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล …. Bloomberg คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 871 ล้านบาท (+5% YoY) และจะเติบโตได้สูงในปี 2018 ที่ 1,067 ล้านบาท (+23% YoY) …. (ราคาที่เหมาะสม โดย Bloomberg ที่ 5.51 บาท)
ROBINS(ราคาปิด 74.75) เราเลือก ROBINS จากที่ สศก. ออกมารายงานภาวะเศรษฐกิจการเกษตรไตรมาส 3 ขยายตัว 4.5% ซึ่งจะส่งผลให้แรงซื้อภาคบริโภคกลับมาสูงขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ROBINS ยังมีแผนการขยายสาขาอีก 2 สาขา …. KTBST คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2017 ของ ROBINS ที่ระดับ 3,060 ล้านบาท (+9% YoY) และปี 2018 ที่ 3,514 ล้านบาท (+15% YoY) …. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 79.00 บาท)
Source: KTBST Research
Sector / Stock Updates
(+) KBANK เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ KBANK มากขึ้นจากการตั้ง Credit Cost ในปี 2018 ที่ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 185 bps ซึ่งต่ำกว่าที่เราและตลาดคาดไว้ เนื่องจากปีนี้มีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญส่วนเกินไปมากแล้ว ทางด้านสินเชื่อมีการตั้งเป้าไว้ที่ 5-7% YoY (เราคาดไว้ที่ 6% YoY) จากการเติบโตของสินเชื่อรายใหญ่เป็นหลัก แต่อย่างไรก็ดี ในด้านของรายได้ค่าธรรมเนียม KBANK มองว่า จะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีนี้จากความเข้มงวดมากขึ้นในการขายประกัน ทั้งนี้ เรามีการปรับประมาณการในปี 2017-2018 เพิ่มขึ้น 1.3-1.4% และปรับคำแนะนำเป็น "ซื้อ" จากเดิมที่ให้ "ถือ" มูลค่าเหมาะสมใหม่ในปี 2018 ที่ 248 บาท อิง PBV ที่ 1.55x เทียบเท่า -0.5SD ย้อนหลัง 5 ปี
(+) HMPRO HMPRO ประกาศกำไรใน 3Q17 ที่ 1,186 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% YoY และ 5%QoQ ใกล้เคียงที่เราคาด ยอดขายของสาขาเดิมพลิกฟื้นขึ้นใน 3Q17 จากที่อ่อนตัวใน 2Q17 อีกทั้งใน 4Q17 จะเป็นช่วงที่การบริโภคอยู่ในระดับสูงตามเทศกาล และขยายสาขาได้ต่อเนื่อง บริษัทมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขยายสาขาโดยจัดสินค้าให้หลากหลายแต่ใช้พื้นที่น้อยลงเสริมด้วยการขายแบบออนไลน์ โดยมีการเปิดสาขาเพิ่มที่เชียงรายและมาเลเซีย รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนของ private brand ทำให้สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ดี เราคาดว่า กำไรจะเติบโตขึ้น 12% ในปี 2017 และ 14% ในปี 2018 หลังจากผ่านพ้นช่วงการบริโภคที่อ่อนตัว เราแนะนำ "ซื้อ" โดยประเมินราคาเป้าหมายโดย DCF ปี 2018 ที่ 13.1 บาท
Source: KTBST Research
Analyst : Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]
Nontapat Rushtasomboon
License No: 081447
+662 648 1127
nontapat[email protected]
OO1748