- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 19 October 2017 18:03
- Hits: 8805
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
“เลือกซื้อ/ถือต่อด้วยค่าบวก”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : เมื่อวานนี้ SET พักใหญ่ ปิดตลาด -16.94 จุดที่ 1707.53 โดยมีการ Take profit หุ้น Big Cap (พวกแบงค์ใหญ่ พลังงาน ปิโตรเคมี ท่องเที่ยว ค้าปลีก เป็นต้น) นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างชาติขายสุทธิเพิ่มเป็น 2.9 และ 1.6 พันลบ.
สำหรับวันนี้ ถ้าตลาดรีบาวด์จะช่วยให้ Sentiment ดีขึ้น แต่ถ้าลงต่อจนหลุด 1700 จุดจะดูไม่ค่อยดี เพราะอาจมี Downside จาก 1700 ลงไป 30-50 จุดได้ ปัจจัยที่มีน้ำหนักช่วงนี้ยังคงเป็นกำไร 3Q60 ที่อยู่ในช่วงเวลาทำ Preview และวิเคราะห์งบ 3Q60 ที่ประกาศออกมาแล้ว ซึ่งในยามที่ตลาดปรับขึ้นมากพอควรและมีความเสี่ยงพักฐาน เราก็อาจลดความเสี่ยงด้วยการเพิ่มสัดส่วนลงทุนในหุ้น Defensive ปันผลสูง
# 1 ในหุ้นปันผลสูงที่เราชอบ คือ DIF ทั้งนี้แม้ว่ากองทุนจะใช้ Debt ในการซื้อส/ทน้อยกว่าที่คาด คือใช้ 14.9 พันลบ.ที่เหลือใช้เพิ่มทุน 56 พันลบ.ทำให้ Cost สูงขึ้น (คาดราคาเพิ่มทุนในปีหน้าไม่ต่ำกว่า 13 บาท/หุ้น) แต่ในด้าน Yield ปันผลยังสูง 7% ต่อปี และมีข้อดีที่ TRUE จะเช่าส/ทที่ขายเข้ากองรอบใหม่ 16 ปี (สิ้นสุดปี 2576) และขยายเวลาเช่าส/ทเดิมไปถึงปี 2576 ด้วย ส่งผลให้กองทุนมีกระแสเงินสดที่มั่นคงไปใน 16 ปีข้างหน้า นอกจากนั้นแล้วกองทุนยังสามารถเรียกให้ TRUE ต่อสัญญาเช่าส/ทไปได้อีก 10 ปีด้วย แนะนำซื้อ ให้ TP 16.3 บาท
# ด้าน TCAP กำไร 3Q60 ออกมาดีตามคาดที่ 1.8 พันลบ. (+19%YoY, +7%QoQ) ทั้งนี้กำไรก่อนสำรองฯดีกว่าคาดเพราะคชจ.ดำเนินงานต่ำกว่าที่ประเมินไว้ รับรู้กำไรจากขายเงินลงทุน 236 ลบ.ซึ่งนำไปตั้งสำรองฯทั้งก้อน ด้าน NPL ratio ลดลงต่อเป็น 2.21% Coverage 143%
# ส่วน TMB มีความโดดเด่นเรื่องการเติบโต หลังประสบสำเร็จจากการใช้กลยุทธ์เงินฝากนำ ทำให้ฐานลูกค้ารายย่อยและ SME ใหญ่ขึ้นการจับมือกับ FWD เพื่อขายประกับทำให้มีรายได้ค่าธรรมเนียมคงที่ 330 ลบ./ไตรมาส (10-15% ของกำไรสุทธิ) เชื่อว่าธนาคารจะต่อยอดธุรกิจได้อีกและทำให้ Non-NII ขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง คาดกำไรปี 61 โต 15% ต่อจาก 6% ในปีนี้ แนะซื้อ ปรับเพิ่ม TP เป็น 3.2 บาท
กลยุทธ์ลงทุน : เลือกซื้อ/ถือต่อ เมื่อ SET เหนือ 1700 จุด) สำหรับหุ้นแนะนำรายสัปดาห์ (18-24 ต.ค.) คือ BBL, ERW ส่วนหุ้น Picks ใน Wealth Perspective-Equity เดือนต.ค.60 คือ ERW, MTLS, KBANK, PTTGC, TISCO และ Dark Horse เป็น COM7
ส่วนหุ้นเทคนิคดีมีโอกาสทำ New High ได้แก่ JMT, SGP, CBG, BJC, RCL, STAR ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและให้ถือต่อ คือ SENA, PTTGC, RJH, TMB, ROJNA, IRPC, WORK, CHG, M, LH, BPP, ESSO ส่วนหุ้นที่แนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะขายทำกำไร คือ COM7 หุ้นที่หลุด List คือ BCH, KTC, RS, GLOW
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
• สหรัฐ : จับตาการพิจารณาแผนปฎิรูปภาษีของวุฒิสภาสหรัฐ
นักลงทุนจับตาวุฒิสภาสหรัฐ ซึ่งมีกำหนดจะพิจารณาแผนการปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในสัปดาห์นี้ หลังจากที่พรรครีพับลิกันยังไม่สามารถผลักดันให้ร่างกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ได้ในช่วงที่ผ่านมา
• สหรัฐ : ภาคก่อสร้างก.ย.อ่อนลง MoM แต่เพิ่ม YoY
# ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านเดือนก.ย. อ่อนลง 4.7%MoM สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี เนื่องจากการก่อสร้างบ้านสำหรับครอบครัวเดี่ยวในภาคใต้ของสหรัฐปรับตัวลดลง เพราะได้รับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์และเออร์มา แต่เพิ่มขึ้น 6.1%YoY ส่วนการอนุญาตก่อสร้างบ้านเดือนก.ย. -4.5%MoM และ -4.3%YoY
# เฟดเปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ Beige Book บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐขยายตัวในอัตราเล็กน้อยถึงปานกลาง
- "ริโอ ทินโต" ถูกก.ล.ต.สหรัฐตั้งข้อหาฉ้อโกง เหตุรายงานมูลค่าสินทรัพย์เกินจริง
# คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ได้ตั้งข้อหาฉ้อโกงต่อบริษัท ริโอ ทินโต ผู้ผลิตเหมืองแร่ยักษ์ใหญ่ของออสเตรเลีย รวมถึงอดีตผู้บริหารของบริษัทอีก 2 รายประกอบด้วยนายโทมัส อัลเบนีส อดีตประธานบริหาร และนายกาย เอลเลียต อดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ฐานไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีและนโยบายบริษัท จนเป็นเหตุให้รายงานมูลค่าสินทรัพย์ไม่ถูกต้อง
# สินทรัพย์ที่ ริโอ ทินโต ได้รายงานมูลค่าเกินจริงคือธุรกิจถ่านหินที่ประเทศโมซัมบิก ซึ่งทางบริษัทได้ซื้อไปวงเงิน 3.7 พันล้านดอลลาร์เมื่อปี 2554 แต่หลังจากนั้นไม่กี่ปีได้ขายไปมูลค่าเพียง 50 ล้านดอลลาร์
# นอกจากนั้นสำนักงานกำกับตลาดการเงินอังกฤษ (FCA) ยังได้สั่งปรับ ริโอ ทินโต เป็นเงิน 27 ล้านปอนด์ด้วยฐานฝ่าฝืนระเบียบการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจเดียวกัน ทางด้านริโอ ทินโต อยู่ระหว่างการสู้คดี
+ ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก : ดัชนี DJIA ปิดเหนือ 23,000 จุด หนุนโดยผลประกอบการ
# ดัชนี DJIA ปิด 23,157.60 จุด เพิ่มขึ้น 160.16 จุด หรือ +0.70% ดัชนี S&P 500 ปิด 2,561.26 จุด เพิ่มขึ้น 1.90 จุด หรือ +0.07% ดัชนี Nasdaq ปิด 6,624.22 จุด เพิ่มขึ้น 0.56 จุด หรือ +0.01%
# หนุนโดยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน เช่น IBM ซึ่งได้แรงหนุนจากการขยายตัวของธุรกิจดั้งเดิมอย่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
+ ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาขยับขึ้นเล็กน้อย
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 16 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 52.04 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 27 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 58.15 ดอลลาร์/บาร์เรล เพราะการลำเลียงน้ำมันดิบจากพื้นที่ทางตอนเหนือของอิรักผ่านมายังท่าเรือซีย์ฮานของตุรกีลดลงมาก และนักลงทุนจับตาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและอิหร่านเรื่องนิวเคลียร์
- ภาวะตลาดทองคำ : ราคาทองคำร่วงต่อ
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ปรับตัวลดลง 3.2 ดอลลาร์ หรือ 0.25% ปิดที่ระดับ 1283.0 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ และข่าวเด่น
ผลกระทบกับกลุ่มธุรกิจเมื่อต้องดำเนินการตามมาตรฐานบัญชีใหม่ตั้งแต่ต้นปี 2562
# กลุ่มธนาคารพาณิชย์ : มาตรฐานบัญชีใหม่ที่จะเริ่มใช้ตั้งแต่ต้นปี 2562 ที่เกี่ยวข้องกับธ.พ.คือ เรื่องการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งจะต้องตั้งบนการคาดการณ์ไปในอนาคตว่าลูกหนี้อาจผิดนัดชำระหนี้ แม้ว่าลูกหนี้จะยังไม่ผิดนัดชำระในปัจจุบันก็ตาม ต่างจากเกณฑ์ปัจจุบันที่ส่วนใหญ่ตั้งสำรองค่าเผื่อฯตามกรอบระยะเวลา...ทาง DBS เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์รับรู้ถึงการต้องปฎิบัติตามมาตรฐานบัญชีใหม่และได้เริ่มดำเนินการล่วงหน้ามาระยะหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม บางธนาคารก็อาจจะยังตั้งสำรองค่าเผื่อฯ ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ได้ไม่มาก จึงจะเป็นภาระที่จะยังคงต้องตั้งสำรองฯสูงต่อในปี 2561 ผนวกกับการต้องลงทุนในระบบดิจิตอลแบงค์กิ้งเพื่อรองรับการใช้บริการการเงินระบบออนไลน์ที่จะสูงขึ้นเป็นลำดับ ส่งผลให้การเติบโตของกำไรกลุ่มธนาคารพาณิชย์อาจจะไม่มากเท่าใดนัก แม้ว่ากำไรจากการดำเนินงานจะขยายตัวได้ดีขึ้น
# กลุ่มสายการบิน & กลุ่มสื่อสาร : ทั้งสองกลุ่มนี้จะถูกกระทบจากการที่ต้องบันทึกสัญญาเช่าประเภท Operating Lease เป็นหนี้สิน จากปัจจุบันที่ไม่ได้บันทึกไว้ ซึ่งจะทำให้ D/E Ratio ของบริษัทสูงขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทที่เกี่ยวข้องพยายามปรับตัวเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2559-2560 และส่วนนี้ไม่กระทบต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ซึ่งธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อก็พิจารณาการให้สินเชื่อจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นหลัก
# กลุ่มธุรกิจที่มีโปรโมชั่นต่างๆ ทางการตลาด & รับคืนสินค้า : ตามมาตรฐานบัญชีใหม่จะต้องบันทึกรายได้ที่หักประมาณการค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากกิจกรรมการตลาด โปรโมชั่น และความเสี่ยงในการคืนสินค้าจากลูกค้าก่อนแล้ว จากปัจจุบันที่หลายบริษัทรับรู้เป็นรายได้เข้ามาทั้งหมดก่อนแล้วค่อยหักเมื่อมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นจริงในภายหลัง จากการสอบถามบริษัทจดทะเบียนพบว่าหลายบริษัทได้ดำเนินการตามมาตรฐานบัญชีใหม่นี้แล้วตั้งแต่ปี 2560 ทำให้ผลกระทบจะไม่ได้เกิดขึ้นรุนแรงมากในปี 2562 ที่เริ่มมีผลบังคับใช้จริง
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]
OO1455