- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 10 October 2017 16:01
- Hits: 3465
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily
ภาพตลาดวันวาน
ดัชนีเปิดตลาดปรับตัวขึ้นทันที ขยับขึ้นทำจุดสูงสุดของวันที่ 1700.75 จุด เพิ่มขึ้น 4.78 จุด แกว่งตัวผันผวนในกรอบแคบ ๆ ก่อนที่จะทิ้งตัวหนักในช่วงบ่ายจากแรงเทขายหุ้นในกลุ่มพลังงาน อสังหาฯ และพาณิชย์ ไหลลงเข้าสู่แดนลบ ทำจุดต่ำสุดของวันที่ 1691.82 จุด ลดลง 4.15 จุด ทำให้มีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 8.93 จุด ทั้งนี้หุ้นที่มี Impact ต่อการปรับตัวลงของดัชนีได้แก่ PTTGC, SCB, SSP, PTT, GL, BGRIM, IRPC ก่อนดัชนีจะทำปิดที่ 1692.22 จุด ลดลง 3.75 จุด (-0.22%) มูลค่าการซื้อขาย 47,930 ล้านบาท
ภาพตลาดวันนี้
ดัชนีวานนี้เริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัว หลังจากขึ้นทดสอบ 1700 จุด เป็นครั้งที่ 2 ที่ยังไม่สามารถฝ่าขึ้นไปได้ ก่อนที่จะอ่อนตัวลงมาในช่วงท้ายตลาดลงทำ Low 1691 จุด และทำปิดที่ใกล้จุดต่ำสุดของวันที่ 1692 จุด ทำให้มีมุมต่อดัชนีที่น่าจะชะลอตัว หลังจากที่เกิดสัญญาณเตือนในเชิงลบ (Bearish Divergence) ก่อนหน้านี้ บวกกับสัญญาณ RSI ที่ตัดค่าเฉลี่ยลงมา แต่ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ลดลงทำให้น้ำหนักการชะลอตัวน่าจะมีลักษณะแกว่งตัวออกข้างมากกว่าที่จะลงในแนวดิ่ง โดยหากหลุด 1690 จุดลงมาจะมีแนวรับแรก 1686 // 1680 จุด ขณะที่แนวต้าน 1698-1704 จุด
แกว่งตัวผันผวน – มีโอกาสชะลอตัวแกว่งตัวออกข้าง
Support 1680 // 1670 จุด Resistance 1700 //1720 จุด
พรรณนภา เขมะสุรัตน์ Technical Analyst
เลขทะเบียน : 060110 Tel 02- 6481124
Email: [email protected]
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
1700 ยังผ่านไม่ง่าย (รอแรงซื้อรอบใหม่)
ทิศทางตลาดหุ้นไทย : ดัชนีฯ มีแนวโน้มพักตัวต่อ หลังขึ้นทดสอบแนวต้านทางจิตวิทยาที่ 1700 จุด ....... แรงขายหุ้นขนาดใหญ่ที่เคยเป็นตัวนำตลาดวานนี้ และสลับตัวและกลุ่มเล่น เป็นสัญญาณว่าดัชนีฯยังไม่มีแรงหนุนมากพอ จึงมีความเป็นไปได้ว่าดัชนีฯ จะแกว่ง sideway หรือพักตัวอีกรอบหนึ่ง (แต่ระบุวันไม่ได้) ..... ตัวแปรในต่างประเทศ ตลาดสหรัฐฯ นักลงทุนรอดูรายงานประชุม Fed (วันพุธ) การผ่านร่างกฎหมายสำคัญของสหรัฐฯ และเข้าสู่ช่วงของการรายงานผลประกอบการ ด้านยุโรปจะเป็นการเมืองของสเปน ต่อการประกาศเอกราชของ แคว้นกาตาลุญญา และการสนับสุนนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ECB ที่จะให้ปรับลดวงเงิน QE ลงในปีหน้า จะทำให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น.... ตัวแปรในประเทศ การประชุม ครม.วันนี้ อาจยังไม่มีวาระที่มีผลตรงต่อตลาดหุ้น และนักลงทุนจะหันเข้ามาเก็งกำไรหุ้นที่ถูกคาดว่ากำไร 3Q-17 จะออกมาดี
กลยุทธ์การลงทุน : เรามองตลาดเพียงแค่ชะลอตัว เพราะขึ้นมามาก .... คำแนะนำของเราเวลานี้ ยังแนะให้นักลงทุนเลือกที่จะถือหุ้นต่อไปได้ หรือเข้าซื้อเพิ่ม โดยรอในจังหวะที่ราคาอ่อนตัวลงมา ให้ความสนใจกับหุ้นกลุ่มรอง คือ ไม่ใหญ่มาก และราคาขึ้นน้อย หรือเข้าเก็งหุ้นที่ถูกคาดว่างบ 3Q จะออกมาดี และหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ประจำวัน : สำหรับหุ้นที่เราคาดว่าอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุนในวันนี้ อาทิ INTUCH*, JMT*, PTG, BDMS, SENA, HMPRO
หุ้นแนะนำทางเทคนิค: AU, ASIAN, UV
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
บทวิเคราะห์และความเห็นข่าวสำคัญ
(+) HELTH : คาดโรงพยาบาลในเครือประกันสังคมทำกำไรสุทธิ 3Q17 New High
(+) SAWAD :ความร่วมมือระหว่างกันเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนต่อผลการดำเนินงาน
(+) TK : ยอดขายรถจักรยานยนต์ยังเพิ่มขึ้น หนุนผลการดำเนินงาน 3Q17
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (09 ต.ค.) ปิดที่ระดับ 1,692.22 จุด ลดลง -3.75 จุด หรือ -0.22% มูลค่าการซื้อขาย 47,929.95 ล้านบาท ดัชนีผันผวนในระหว่างวัน และมีการขึ้นทดสอบ 1,700 จุดแต่ก็ยังไม่สามารถผ่านได้ มองว่านักงทุนมีการขายทำกำไร และยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ที่มีนัยยะสำคัญเข้ามากระทบตลาด
ตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,761.70 จุด ลดลง 12.60 จุด หรือ -0.06% จากปัจจัยเฉพาะตัว แรงขายหุ้นกลุ่ม Healthcare หลังมีข่าวว่าอเมซอนดอทคอมอิงค์เตรียมการลงทุนในธุรกิจเพื่อสุขภาพ .... ด้านตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นได้จากสถานการณ์ความตึงเครียดในสเปนที่ลดลง ส่งผลให้ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น +0.2% ปิดที่ 390.21 จุด
ปัจจัยต่างประเทศ: เจ้าหน้าที่ ECB ส่งสัญญาณการลดวงเงิน QE, จับตาการคัดเลือกประธาน Fed คนใหม่ ยังไม่มีปัจจัยต่างประเทศใหม่ที่สำคัญมากระทบตลาดในช่วงเวลานี้ โดยปัจจัยต่างประเทศที่ควรติดตามติดตามในช่วงนี้ได้แก่ 1) แม้การประชุม ECB ในสัปดาห์ที่ผ่านมายังไม่มีการพูดถึงกรอบการปรับลดวงเงิน QE ที่แน่ชัด อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ ECB เริ่มมีส่งสัญญาณการลดวงเงิน QE โดยระบุว่าควรปรับลดวงเงินในปีหน้า ต้องติดตามการประกาศอย่างเป็นทางการของ ECB ในวันที่ 26 ต.ค. นี้ และ 2) การคัดเลือกประธาน Fed คนใหม่ มีแนวโน้มจะเป็น Warsh ซึ่งเป็นสายเหยี่ยว (Hawkish) สายนี้จะไม่สนับสนุนนโยบายที่จะก่อให้เกิดเงินเฟ้อ เช่น มาตรการ QE, การลดดอกเบี้ยเป็นเวลานาน ซึ่งหาก Warsh ได้เป็นประธาน Fed คนใหม่ มองว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะเร็วขึ้น (คาดการณ์เดิม คือ ธ.ค.60) และค่าเงินดอลลาร์จะมีโอกาสแข็งค่าต่อ
โอเปกขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิต เป็นบวกต่อราคาน้ำมัน สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้น 29 เซนต์ หรือ +0.6% ปิดที่ 49.58 ดอลลาร์/บาร์เรล ได้แรงหนุนจากการที่สมาชิกกลุ่มโอเปกมีการหารือเกี่ยวกับการขยายเวลาการปรับลดกำลังการผลิตให้เกินกว่าเดือน มี.ค. 2018 เรามองว่าราคาน้ำมันดิบมีโอกาสปรับตัวขึ้นสูงกว่า 50 ดอลลาร์/บาร์เรล เป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน
ปัจจัยในประเทศ: เก็งกำไรสำหรับงบการเงินไตรมาส 3 ยังไม่มีประเด็นสำคัญใหม่มากระทบตลาดในช่วงนี้ เรามองว่าการประชุม ครม. ในวันนี้ยังไม่มีการผลักดันมติสำคัญเข้าที่ประชุม ช่วงนี้ยังเป็นการ เข้ามาเก็งกำไรจากการ preview งบการเงินสำหรับช่วง 3Q17 โดย Bloomberg คาดว่าช่วง 3Q17 การเติบโตจะอยู่ที่ประมาณ +8.46% YoY, +2.47% QoQ โดย TISCO จะส่งงบ 3Q17 เป็นตัวแรก 11 ต.ค. KTBST ประเมินกำไร 1.53 พันลบ. +22.5% YoY และ +1.7% QoQ
การรับซื้อไฟจากโซลาร์รูฟท็อบมีความคืบหน้า รมว. พลังงานเปิดเผยว่า ภายในเดือน ต.ค. นี้จะมีการหารือกับ กบง. สำหรับแผนการรับซื้อไฟจากโครงการโซลาร์รูฟท็อบ และจะนำเสนอแก่ กพช. ในวันที่ 25 ต.ค. นี้ ในระยะเริ่มต้นคาดว่าจะสามารถรับซื้อไฟได้ที่ 300 MGw และจะประกาศรับซื้อไฟได้ภายในปีนี้
Stock in Focus
หุ้น เหตุผล
INTUCH *(ราคาปิด 57.75) มอง INTUCH เป็นหุ้นที่ยัง laggard ในกลุ่มสื่อสารฯ โดย INTUCH มีความน่าสนจจากการปรับโครงสร้างองค์กรในการนำ CSL ไปอยู่ภายใต้ ADVANC ซึ่งจะทำให้เกิด synergy ภายในกลุ่มมากขึ้น นอกจากนี้ INTUCH ยังมีแผนการนำ Wongnai เข้าจดทะเบียนในตลาด MAI อีกด้วย (INTUCH ถือหุ้น 10%) …. Bloomberg คาดกำไรสุทธิปี 2017 อ่อนตัวลง -28% YoY ที่ 11,767 ล้านบาท แต่จะเติบโตได้ในปีหน่าที่ 8% …. (ราคาเหมาะสมโดย Bloomberg ที่ 63.96 บาท)
JMT*(ราคาปิด 32.25) JMT มีผลการดำเนินงานดีขึ้นจากแนวโน้มอัตราความสำเร็จ, อัตราค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น, รายได้จากการบริหารลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามมูลหนี้ที่บริหารสูงขึ้น และอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยที่ลดลง และการย้าย J Fintech ซึ่งมีผลขาดทุนไปอยู่ใต้ JMART จะช่วยให้ JMT มีผลประกอบการที่ดีขึ้นมาก .... Bloomberg คาดผลประกอบการปี 2017 ที่ 386 ล้านบาท (+33% YoY) และคาดจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2018 ที่ 504 ล้านบาท (+30% YoY) .... (ราคาเหมาะสมโดย Bloomberg ที่ 35.36 บาท)
PTG(ราคาปิด 24.10) เรามองช่วง 2H17 บริษัทจะสามารถเติบโตได้ดี หลังผลประกอบการของ PTG มีการอ่อนตัวลงในช่วง 2Q17 ซึ่งเป็นผลจากฝนที่ตกลงมามาก ในขณะที่ค่าการตลาดเฉลี่ยช่วง 3Q17 อ่อนตัวลงจากช่วง 2Q17 ประมาณ -3.5% แต่ได้ผลบวกจากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นมาประมาณ 100 สาขาในช่วง 3Q17…. Bloomberg คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 1,218 ล้านบาท (+13% YoY) .... (ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 28.00 บาท และ Bloomberg ที่ 26.50 บาท)
BDMS(ราคาปิด 20.90) เป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่รายงานกำไร 2Q17 เติบโตดี และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในช่วง 3Q17 โดย BDMS รายงานกำไรสุทธิ 2Q17 อยู่ที่ 3,791 ล้านบาท (+127.1% YoY, +92.1% QoQ) กำไรสุทธิเติบโตมากเนื่องจากมีกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนใน BH จำนวน 2,195 ล้านบาท …. มองว่า 3Q17 นี้ กำไรปกติของ BDMS จะทำจุดสูงสุดของปี เนื่องจากฝนยังคงตกต่อเนื่องและเริ่มมีไข้หวัดใหญ่ระบาดตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายน …. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 19.10 บาท)
SENA(ราคาปิด 3.92) เราเลือก SENA เป็นหุ้นแนะนำในวันนี้จากประเด็นเรื่องที่ รมว. พลังงานระบุว่าภายในเดือน ต.ค.60 นี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) อีกครั้งเพื่อพิจารณารายละเอียดอัตรารับซื้อไฟฟ้าโครงการส่งเสริมผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป) ซึ่ง SENA มีการใช้เทคโนโลยีไฟฟ้าจากแผงโซลาร์ในการช้วยลดค่าใช้จ่ายส่วนกลาง …. KTBST คาดกำไรสุทธิปี 2017 ของ SENA ที่ 780 ล้านบาท (+2% YoY) และปี 2018 ที่ 793 ล้านบาท (+2% YoY) …. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 4.50 บาท)
HMPRO(ราคาปิด 12.10) ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน โดยปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 74.5 สวนทางกับที่เราคาดว่าจะลดลง ซี่งเราคาดว่ากลุ่มค้าปลีกจะพลิกกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง .... ยอดขายของสาขาเดิมพลิกฟื้นขึ้นในเดือนก.ค.-ส.ค. 2017 จากเดิมที่คาดว่าจะอ่อนตัว อีกทั้งใน 4Q17 จะเป็นช่วงที่การบริโภคอยู่ในระดับสูงตามเทศกาลรวมถึงช่วงพระราชพิธีไว้อาลัยผ่านพ้นไป ซึ่งจะทำให้ปริมาณการบริโภคและยอดขายปรับตัวขึ้น บริษัทมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการขยายสาขาโดยจัดสินค้าให้หลากหลายแต่ใช้พื้นที่น้อยลงเสริมด้วยการขายแบบออนไลน์ รวมถึงการเพิ่มสัดส่วนของ private brand ทำให้สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ดี เราคาดว่า กำไรจะเติบโตขึ้น 11% ในปี 2017 และ 13% ในปี 2018 หลังจากผ่านพ้นช่วงการบริโภคที่อ่อนตัวและเข้าสู่ช่วงเทศกาลปลายปี .... (ราคาเหมาะสมโดย KTBST ที่ 11.50 บาท)
Source: KTBST Research
Sector / Stock Updates
(+) กลุ่มสายการบิน กพท.ตั้งเป้าให้สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ FAA ยกระดับการบินของไทยขึ้นเป็น Category1 หลังจากที่ FAA ลดระดับมาที่ Category 2 ซึ่งทำให้สายการบินของไทยไม่สามารถทำการบินในสหรัฐตั้งแต่เดือน ต.ค.15 โดย กพท.จะเชิญให้ทาง FAA เข้ามา Pre-Audit ภายในสิ้นปีนี้ ... จากกรณีที่ ICAO ปลดธงแดงประเทศไทย แสดงให้เห็นว่ามาตรฐานการบินด้านความปลอดภัยของไทยได้รับการยอมรับ ซึ่งเราคาดว่าหลังจากทาง FAA เข้ามาตรวจสอบจะมีโอกาสปรับมาตรฐานการบินของไทยขึ้นเป็น Category1 ... ซึ่งหาก FAA มีการปรับเพิ่มมาตรฐานการบินของไทยเป็น Category1 จะส่งผลให้ THAI สามารถทำการบินไปยังสหรัฐได้ในตารางบินฤดูหนาวปีหน้าหรือเดือน ต.ค.2018 อย่างไรก็ตาม การเปิดเส้นทางบินดังกล่าวคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ THAI มากนัก โดยในอดีตเส้นทางบินไปยังสหรัฐของ THAI เคยประสบผลขาดทุนจนต้องยกเลิกเส้นทางบินดังกล่าวด้วย เราแนะนำเพียงเก็งกำไร THAI โดยราคาเป้าหมายจาก Bloomberg Consensus อยู่ที่ 18.59 บาท สำหรับกลุ่มสายการบินเรายังเลือก AAV (ราคาเป้าหมาย 7.40 บาท) เป็นหุ้น Top Pick
(+) HELTH: เราคงน้ำหนักการลงทุนของกลุ่มโรงพยาบาลเป็น Overweight เนื่องจากเราคาดกำไรสุทธิใน 3Q17 ของโรงพยาบาลในเครือประกันสังคมจะทำ New High จากการปรับขึ้นค่าบริการของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) โดยเฉพาะในเรื่องของการปรับค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ขึ้นเป็น 12,800 บาท/RW อีกทั้งยังมีโรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ระบาด เลือก Top pick เป็น RJH และ BCH ราคาเหมาะสม 33.00 และ 18.50 บาท ตามลำดับ
(+) SAWAD เราปรับประมาณการขยายตัวของสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากเดิม โดยเฉพาะสินเชื่อเงินให้กู้ยืมจากที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากความร่วมมือของ BFIT และบริษัทศรีสวัสดิ์ 2014 คาดสินเชื่อ BFIT ขยายตัวที่ 248.7% และ 57.2% ในปี 2017-2018 ส่งผลให้เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 2017-2018 อยู่ที่ 2.9 และ 3.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิม 5.3% และ 22.5% ตามลำดับ นอกจากนี้เรามองว่าผลการดำเนินงานใน 3Q17 จะยังคงขยายตัวตามการขยายสาขา และเงินให้กู้ยืมของ BFIT เป็นหลัก คาดกำไรสุทธิ 3Q17 ที่ 630 ล้านบาท (+17.8%YoY และ +1.6%QoQ) คงคำแนะนำ "ซื้อ" ที่ราคาเหมาะสมปี 2018 ใหม่ที่ 70.00 บาท(อิง PBV ที่ 5.7x)
Source: KTBST Research
Analyst : Mongkol Puangpetra
License No: 001937
+662 648 1123
[email protected]
Nontapat Rushtasomboon
License No: 081447
+662 648 1127
[email protected]