- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 02 October 2017 17:23
- Hits: 9654
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
'ซื้อ/ถือเมื่อ SET เหนือ 1665 จุด'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : PF (จาก Fully Valeud เป็นซื้อ), TASCO (จากถือเป็น Fully Valued)
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index วันศุกร์ (ซื้อขายสุดท้ายของไตรมาส 3) ปิด +6.80 จุดที่ 1673.16 ซึ่งเพิ่มขึ้น 6.2%QTD ส่วนราคาน้ำมันดิบ BRENT ปรับขึ้น 16.4%QTD นับว่าแข็งแกร่งทั้งหุ้นและทั้งน้ำมัน โดยสถาบันในปท.นำซื้อสุทธิ 1.9 พันลบ.
สำหรับปัจจัยภายนอก : ทรัมป์เผยแผนปฎิรูปภาษีต่อสมาคมผู้ผลิตแห่งชาติสหรัฐ โดยจะลดภาษีภาคธุรกิจจาก 35% เป็น 20% ซึ่งทำให้กำไรเพิ่มได้อย่างก้าวกระโดด (จากปกติที่กำไรตลาดหุ้น S&P500 บวกเฉลี่ย 6-7% ต่อปี) ส่วนญี่ปุ่น เศรษฐกิจปีนี้เติบโตดีเกินคาด ความเชื่อมั่นทางธุรกิจของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่น (ทังกัน) ของ 3Q60 อยู่ที่ +22 สูงสุดในรอบ 10 ปี (2Q60 อยู่ที่ +17) สำหรับจีน ภาคบริการโตแกร่ง เห็นได้จากดัชนี PMI ภาคบริการเดือนก.ย.ที่เพิ่มเป็น 55.4 ส่วนภาคผลิตอ่อนเป็น 51.0 (สูงกว่า 50 หมายถึงการขยายตัว)
ปัจจัยในประเทศ : เข้าสู่โหมดของการทำ Preview ผลประกอบการ 3Q60 ในเดือนต.ค. และเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนชาวไทยรอส่งเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 สู่สวรรคาลัยในวันที่ 26 ต.ค.60 อย่างไรก็ตาม คาดว่าบรรยากาศการลงทุนจะไม่ได้ซบเซามาก ถ้าไม่มีปัจจัยลบใหม่รุนแรงคาดว่า SET จะประคองตัวได้ สำหรับบจ.ไทยที่ได้ประโยชน์จากการลดภาษีธุกิจสหรัฐ คือ IVL, TU ผู้บริหาร IVL กล่าวว่าถ้าอัตราภาษีสหรัฐลดจาก 35% เป็น 27.5% (ครึ่งหนึ่ง) อัตราภาษีบริษัทจะลดจาก 20% เป็น 17%
+ TISCO : การรับโอน SCBT จะแล้วเสร็จใน 4Q60 จะช่วยให้สินเชื่อโต 10-15% และมีฐานเงินฝาก & ลูกค้าใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าสินเชื่อที่พักอาศัย รวมทั้งมีธุรกิจบัตรเครดิตเพิ่ม โดยการโอนกระทบกำไร 4Q60 จำกัดเพราะกำไรที่เพิ่มพอๆกับคชจ.จากการซื้อกิจการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว คาดกำไรปี 61 โตดีกว่ากลุ่มเพราะทำงบรวมกับ SCBT เต็มปี คุณภาพสินทรัพย์ดีโดยมี NPL ratio หลังรวมราว 3% และ Coverage ratio ไม่ต่ำกว่า 130-140% ด้าน Yield ปันผลปีนี้คาดไว้ 4.8% (จ่ายปีละ 1 ครั้ง) ให้ TP 82 บาท
กลยุทธ์ลงทุน : เลือกซื้อ/ถือต่อ เมื่อ SET และราคาหุ้นอยู่เหนือ SMA10 สำหรับหุ้นกลยุทธ์พื้นฐานแนะนำรายสัปดาห์ (วันที่ 27 ก.ย.-3 ต.ค.60) ประกอบด้วย KBANK (Value Play) และ PTTGC (Cyclical Play) ส่วนหุ้นแนะนำเดือนต.ค.60 คือ ERW, MTLS, KBANK, PTTGC, TISCO และ Dark Horse เป็น COM7
หุ้นที่มีสัญญาณเทคนิคดี ประกอบด้วย TCAP, TMB, MTLS, MALEE, CPALL, TKN, ROBINS, COM7, TU ส่วนที่แนะนำไปแล้ว คือ SEAFCO, ERW, RJH หาจังหวะขายทำกำไร
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
• สหรัฐ : กรรมการเฟดอาจเปลี่ยนโฉมในปี 2561
# นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้เปิดเผยว่า ตนจะตัดสินใจเสนอชื่อประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนต่อไปในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อเข้าดำรงตำแหน่งต่อจากนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดคนปัจจุบันที่กำลังจะหมดวาระการดำรงตำแหน่งในเดือนก.พ. 2561
# คณะกรรมการสภาผู้ว่าการของสหรัฐมีจำนวน 7 คน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี โดยความเห็นชอบจากวุฒิสภา และประธานาธิบดีจะเป็นผู้แต่งตั้ง 1 ใน 7 คนนั้นเป็นประธานฯ ตามความเห็นชอบของวุฒิสภา ณ ปัจจุบันประกอบด้วย นาง Janet L.Yellen เป็นประธานสภาผู้ว่าการ (จาก San Francisco), นาย Stanley Fischer เป็นรองประธานสภาผู้ว่าการ (จาก New York), นาย Daniel K.Tarullo (จาก Boston), นาย Jerome H.Powell (จาก Philadelphia), นาย Lael Brainard (จาก Richmond) ในขณะที่อีก 2 ตำแหน่งว่าง ทั้งนี้คณะกรรมการ FOMC มีทั้งหมด 12 คน โดย 7 ใน 12 จะมาจากสภาผู้ว่าการโดยตำแหน่ง ส่วนอีก 5 คนมาจากการหมุนเวียนของผู้ว่าการธนาคารกลางของภูมิภาคต่างๆของสหรัฐ (ซึ่งแบ่งเป็น 12 ภูมิภาค)
# การลาออกจากรองประธานสภาผู้ว่าการฯ ของนายสแตนลีย์ ฟิสเชอร์ และการหมดวาระของนางเยลเลน ทำให้มีเก้าอี้ว่างในคณะกรรมการเฟด 4 ตำแหน่ง จากทั้งหมด 7 ตำแหน่ง เปิดทางให้ทรัมป์มีโอกาสเปลี่ยนโฉมเฟดผ่านการแต่งตั้งสมาชิกใหม่เข้าดำรงตำแหน่ง
# ทรัมป์ได้พูดคุยกับนายเควิน วอร์ช ซึ่งเป็นอดีตผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปี 2006-2011 และนายเจอโรม พาวเวลล์ ผู้ว่าการเฟด เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพื่อหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ทั้งสองจะถูกเสนอชื่อ
# ทางด้านหนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัลของสหรัฐระบุว่าบุคคลที่มีโอกาสได้รับการเสนอชื่อจากทรัมป์ยังประกอบไปด้วยจอห์น เทย์เลอร์ นักเศรษฐศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด, จอห์น แอลิสัน อดีตประธานธนาคารบีบีแอนด์ที และนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดคนปัจจุบัน
+ สหรัฐ : ทรัมป์เปิดเผยรายละเอียดแผนปฎิรูปภาษีต่อสมาคมผู้ผลิตแห่งชาติสหรัฐ
# ปธน.ทรัมป์เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับแผนปฏิรูปภาษีต่อสมาคมผู้ผลิตแห่งชาติสหรัฐ (NAM) เมื่อวันศุกร์ 29 ก.ย.60 หลังจากวันพุธที่ผ่านมาได้เสนอให้มีการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ระดับ 35% และลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดลงสู่ระดับ 35% จากปัจจุบันที่ 39.6% โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐ
# ทรัมป์กล่าวกับสมาคมผู้ผลิตฯว่า "ปัจจุบันมีการเก็บภาษีจำนวนมหาศาลจากสินค้าที่ผลิตในอเมริกา ส่งผลให้ประเทศอย่างเยอรมนี แคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และเม็กซิโก รวมถึงประเทศอื่นๆ ก้าวนำอุตสาหกรรมในสหรัฐ" จึงจะเร่งผลักดันการปฎิรูปภาษีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสหรัฐ
• สหรัฐ : ตัวเลขรายได้และค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนส.ค.เพิ่มตามคาด
# กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่ารายได้ส่วนบุคคลของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนส.ค. ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐ ขยับขึ้น 0.1% สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
•/+ จีน : ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนก.ย.อยู่ที่ 50 ต้นๆ ส่วน PMI ภาคบริการเพิ่มเป็น 55.4
# ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตที่มาร์กิตจัดทำร่วมกับไฉซินปรับลงเป็น 51.0 ในเดือนก.ย. จาก 51.6 ในเดือนส.ค. แต่ตัวเลข PMI ภาคผลิตของสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เพิ่มเป็น 52.4 จาก 51.7
# สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนก.ย.ปรับขึ้นเป็น 55.40 จากระดับ 53.40 ในเดือนส.ค.
+ ญี่ปุ่น : ความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ใน Q3 พุ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี
# ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่น (ทังกัน) ประจำไตรมาส 3/60 เช้านี้ว่าดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงบริษัทผลิตรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อยู่ที่ +22 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/60 ที่ +17 ซึ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี และดีกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลล์เกียวโดคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ +18 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มบริษัทนอกภาคการผลิตในไตรมาส 3/60 ซึ่งรวมถึงภาคบริการอยู่ที่ +23 ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาส 2/60
+ ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ทำ New High
# ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮ เพราะได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และหุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นหลังจากมีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้พบปะกับนายเควิน วอร์ช ซึ่งเป็นอดีตผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อปี 2006-2011 เพื่อหารือเกี่ยวกับการแต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งประธานเฟดสืบต่อจากนางเจเน็ต เยลเลน ที่จะหมดวาระในต้นปีหน้า ทั้งนี้นายวอร์ชเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่เฟดที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของเฟด
# ดัชนี DJIA ปิดที่ 22,405.09 จุด เพิ่มขึ้น 23.89 จุด หรือ +0.11% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,519.36 จุด เพิ่มขึ้น 9.30 จุด หรือ +0.37% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,495.96 จุด เพิ่มขึ้น 42.51 จุด หรือ +0.66%
• ภาวะตลาดน้ำมัน : ราคาขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 11 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 51.67 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT เพิ่มขึ้น 13 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 57.54 ดอลลาร์/บาร์เรล
# เมื่อวันจันทร์ชาวเคิร์ดลงคะแนนกว่า 93% สนับสนุนให้มีการตั้งประเทศเคอร์ดิสถานเพื่อแยกตัวจากอิรักรัฐบาลอิรักจึงออกมาเรียกร้องให้นานาประเทศเลิกการสั่งซื้อน้ำมันจากชาวเคิร์ด ด้านปธน.ตุรกีก็ขู่ว่าจะปิดท่อน้ำมันที่ส่งน้ำมันจากอิรักออกสู่ตลาดโลก และยกเลิกทุกเที่ยวบินระหว่างตุรกีไปในภูมิภาคเคอร์ดิสถานทางตอนหนือของอิรัก
# กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) พยายามลดอุปทานน้ำมันโลกลง แต่เบเกอร์ ฮิวจ์ รายงานว่าจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐเพิ่ม 6 แท่น สู่ระดับ 750 แท่นในสัปดาห์ก่อน
- ภาวะตลาดทองคำ : อ่อนตัวลงต่อ
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 3.9 ดอลลาร์ หรือ -0.3% ปิดที่ 1284.8 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่วนตลอดทั้งสัปดาห์สัญญาทองคำ -1.0% เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.60 และมีความเป็นไปได้ที่แผนปฏิรูปภาษีของทรัมป์จะผ่านการรับรองจากสภาคองเกรส
ปัจจัยในประเทศ และหุ้นมีข่าว
+ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง : รฟท.จะทำสัญญารถไฟทางคู่ 5 เส้นในเดือนต.ค.นี้
# นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่าโครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง ที่ได้ดำเนินการประมูลไปแล้ว 9 สัญญา ประกอบด้วย เส้นทางช่วงนครปฐม-หัวหิน หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์
ประจวบคีรีขันธ์ชุมพร ลพบุรี-ปากน้ำโพ มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ วงเงินราคาประมูลรวม 9 สัญญาที่ 70,104 ล้านบาท จะมีการเซ็นสัญญาในเดือนต.ค.60
+ TISCO : การซื้อ SCBT จะแล้วเสร็จใน 4Q60 และทำให้สินเชื่อโต 10-15%
# การซื้อธุรกิจรายย่อย SCBT จะแล้วเสร็จใน 4Q60 ซึ่งคาดว่าจะมีการโอนสินเชื่อเข้ามาประมาณ 3.9 หมื่นล้านบาท โดย 65% เป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย ด้านเงินฝากจะโอนเข้ามา 2-3 หมื่นล้านบาท ซึ่งทำให้ธนาคารมีลูกค้ารายย่อยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าสินเชื่อที่พักอาศัยและบัตรเครดิต สำหรับผลกระทบต่อกำไร 4Q60 คาดว่าจะไม่มากเพราะกำไรจาก SCBT จะใกล้เคียงกับค่าใช้จ่ายในการซื้อกิจการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
# คาดกำไรปี 61 เติบโตดีกว่ากลุ่มเพราะทำงบรวมกับ SCBT เต็มปี ส่วนคุณภาพสินทรัพย์ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักเพราะ SCBT และ TISCO มีระดับ NPL ratio ใกล้เคียงกันที่ประมาณ 3% ส่วน Coverage ratio จะลดลงจากระดับ 172% ในสิ้น 2Q60 เพราะ SCBT มี Coverage ratio ที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะไม่น้อยกว่า 130-140% ที่เป็นค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
# แนะนำซื้อลงทุน TISCO โดยฝ่ายวิจัยฯ DBSV ให้ราคาพื้นฐานไว้ที่ 82 บาท สำหรับปัจจุบันหนุนหลักคือ การเติบโตที่แข็งแกร่งในปี 60 และปี 61 และจ่ายปันผลสูง คาดการณ์ Dividend ปีนี้ 3.75 บาท/หุ้น คิดเป็น Yield 4.9% (จ่ายปีละ 1 ครั้ง)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]