- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 29 September 2017 17:11
- Hits: 2269
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
'ซื้อ/ถือเมื่อดัชนี&ราคาหุ้นเหนือ SMA10'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้ปิดที่ 1666.36 (-3.91 จุด) โดยหลักมาจากการขายทำกำไร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเงินบาทกลับมาอ่อนทำให้ต่างชาติทยอยขายเพื่อล็อก Profit บางส่วนเอาไว้ก่อน ทั้งนี้นลท.ต่างชาติขายสุทธิ 2.8 พันลบ. สถาบันในปท.ขายสุทธิ 1.2 พันลบ. พอร์ตบล.และรายย่อยซื้อสุทธิ
ปัจจัยภายนอก : ที่ติดตาม คือ 1. ร่างกม.ประกันสุขภาพฉบับใหม่ (คาสซิดี-เกรแฮม) จะมีโหวตวันที่ 30 ก.ย.ตามแผนหรือไม่ เพราะมีข่าวว่า 3 เสียงของวุฒิสมาชิกรีพับลิกันคัดค้าน (รีพับลิกันมี 52 เสียงจาก 100 เสียงในวุฒิสภา) 2. การเดินหน้าแผนปฎิรูปภาษีของทรัมป์ 3. สถานการณ์ในตะวันออกกลาง (ตุรกี อิรัก อิหร่าน ซีเรีย ต่อต้านการที่ชาวเคิร์ดลงประชามติ 93% แยกตัวออกจากอิรัก)
ปัจจัยในประเทศ : วันนี้ซื้อขายวันสุดท้ายของ 3Q60 ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่ SET จะสูงกว่าสิ้นไตรมาสก่อน (ระดับปิดเมื่อวาน +5.8%QTD) ส่วนเงินบาทที่อ่อนค่าลงหนุน Sentiment หุ้นกลุ่มส่งออก โดยเฉพาะอิเลคทรอนิกส์ ซึ่งหุ้นเด่นในกลุ่มที่ยังมี Upside คือ HANA ทั้งนี้บริษัทได้ประโยชน์จากเซมิคอนดัคเตอร์โลกที่ฟื้นตัวแกร่งในปีนี้ ส่งผลให้ยอดขายบริษัทโตดีตามไปด้วย ราคาหุ้นปัจจุบันมี P/E 14 เท่าต่ำกว่ากลุ่มที่ 16-17 เท่า ฐานะเป็นเงินสดสุทธิที่ 12 บาทกว่า/หุ้น จ่ายปันผลดี ให้ Yield ราว 4.5-5% ต่อปี แนะนำซื้อ ให้ TP 55 บาท
ส่วนหุ้นปันผลสูงที่น่าสนใจ คือ DIF ทั้งนี้กองทุนฯจะซื้อสินทรัพย์เข้ามาเพิ่มในปลายปี 60 และปี 61 โดยในการซื้อรอบแรกปลายปีนี้ไม่เกิน 1.4 หมื่นลบ.จะใช้การกู้ยืมทั้งหมด ส่วนการซื้อในปี 61 ไม่เกิน 5.8 หมื่นลบ.จะใช้ทั้งการเพิ่มทุนและกู้ยืม โดยรวมแล้วคาดว่าสินทรัพย์ที่เข้ามาใหม่จะให้ Yield สูงกว่าปัจจุบันที่ 7% โดยคาดไว้ที่กว่า 7.5% และสิทธิบริหารสินทรัพย์ของกองทุนฯก็ยาวขึ้นด้วย แนะนำซื้อ ให้ TP 16.2 บาท (ยังไม่รวมการซื้อสินทรัพย์ใหม่)
กลยุทธ์ลงทุน : เลือกซื้อ/ถือต่อ เมื่อ SET และราคาหุ้นอยู่เหนือ SMA10 สำหรับหุ้นกลยุทธ์พื้นฐานแนะนำรายสัปดาห์ (วันที่ 27 ก.ย.-3 ต.ค.60) ประกอบด้วย KBANK (Value Play) และ PTTGC (Cyclical Play)
การ SCAN หุ้นทางเทคนิค : หุ้นที่คาดว่าราคาจะทำ New High ได้ที่เข้ามาใหม่เป็น CSP, TIPCO, ERW, TOP หุ้นยังอยู่ใน List คือ LOXLEY, TMB, MINT, GLOBAL, SINGER, RJH หุ้นหลุด List คือ PTTGC ส่วนหุ้นแนะนำไปแล้วและให้หาจังหวะขายทำกำไรเป็น TCAP, SAWAD, SYNTEC, TICON, BJC, SEAFCO, PLAT, GLOW
ปัจจัยต่างประเทศ & ในประเทศที่สำคัญ
ปัจจัยต่างประเทศ ตลาดหุ้น ตลาดน้ำมันและทองคำ
-/• อังกฤษ : BOE ยอมรับว่าประชาชนอังกฤษได้รับผลกระทบจาก Brexit
# นายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน "Independence 20 years on" ว่าการถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของประชาชนชาวอังกฤษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ BoE ก็จะพยายามลดอัตราการว่างงาน และผลักดันเงินเฟ้อขึ้นสู่ระดับเป้าหมายอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะอัตราเงินเฟ้อที่ไม่สูงจนเกินไปจะทำหน้าที่เหมือนกับน้ำมันที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภาวะตลาดหุ้นสหรัฐ : ได้รับปัจจัยหนุนจากแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ของทรัมป์
# ดัชนี DJIA ปิด +40.49 จุด หรือ +0.18% ดัชนี S&P500 ปิด +3.02 จุด หรือ +0.12% และดัชนี Nasdaq ปิด +0.19 จุด โดยได้รับปัจจัยหนุนจากแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ของทรัมป์ รวมทั้งความคาดหวังว่าคณะทำงานของปธน.ทรัมป์จะสามารถผลักดันแผนปฏิรูปภาษีฉบับนี้ให้ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสได้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงบวกจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มสุขภาพ และราคาหุ้นแมคโดนัลด์ที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบกว่า 2 เดือนภาวะตลาดน้ำมัน
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 58 เซนต์ หรือ 1.1% ปิดที่ 51.56 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้าน BRENT ลดลง 49 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 57.41 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาน้ำมันพุ่งขึ้นแข็งแกร่งก่อนหน้านี้ ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางหลังจากรัฐบาลตุรกีได้แสดงความไม่พอใจต่อชาวเคิร์ดที่ลงมติแยกตัวเป็นอิสระจากอิรัก
ภาวะตลาดทองคำ
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ขยับขึ้น 90 เซนต์ หรือ 0.07% ปิดที่ระดับ 1,288.70 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากราคาทองร่วงลงอย่างหนักก่อนหน้านี้
ปัจจัยในประเทศ และหุ้นมีข่าว
+ สนช.รับหลักการร่างพ.ร.บ. EEC เป็นแม่แบบพัฒนาพื้นที่ยุทธศาสตร์
# ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ...ด้วยเสียงเอกฉันท์ 175 คะแนน พร้อมตั้งคณะกรรมาธิการสามัญจำนวน 30 คน กำหนดกรอบเวลาทำงานต้องให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันก่อนส่งกลับมาให้สนช.ลงมติอีกครั้ง (ประมาณต้นธ.ค.60)
# รัฐบาลเลือกพัฒนาพื้นที่ภาคตะวันออกเพราะอะไร? คณะทำงานของรัฐบาลให้เหตุผลว่า 1. EEC เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบคมนาคมในระบบที่สามารถต่อยอดการพัฒนาได้ทันที และ 2. มีอุตสาหกรรมหลักที่เป็นฐานอุตสาหกรรมอื่นตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก
# ความเห็น DBS : นับเป็นบวกกับกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยคาดว่าจะมีการลงทุนในสาธารณูปโภคต่างๆ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในพื้นที่ EEC จำนวนมาก ทั้งท่าเรือ สนามบิน รถไฟรางคู่ทางหลวงพิเศษ ระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ระบบโลจิสติกส์ ฯลฯ โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิกส์ และอุปโภคบริโภคต่างๆ มูลค่าเงินลงทุนราว 1.5 ล้านล้านบาท สำหรับหุ้นเด่นในหมวดนิคมอุตสาหกรรมเป็น AMATA (ราคาพื้นฐาน 22 บาท – อยู่ระหว่างปรับขึ้น โดยเลื่อนเป็นเป้าหมายปี 61) ส่วนหมวดรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่เป็น CK (ราคาพื้นฐาน 37 บาท), STEC (ราคาพื้นฐาน 30 บาท)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค – [email protected]