- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 21 September 2017 16:47
- Hits: 1960
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily
ภาพตลาดวันวาน
ดัชนีเปิดตลาดอ่อนตัวเล็กน้อย แกว่งตัวแคบ ๆ มีจุดสูงสุดของวันที่ 1675.06 จุด เพิ่มขึ้น 2.47 จุด ก่อนที่จะทิ้งตัวลงเข้าสู่แดนลบ ไหลลงอย่างต่อเนื่อง จากแรงเทขายหลักจากหุ้นในกลุ่มพลังงาน ขนส่ง และแบงก์ ทำจุดต่ำสุดของวันที่ 1664.33 จุด ลดลง 8.26 จุด ก่อนที่จะดีดกลับแกว่งตัวผันผวนที่อยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวทั้งวันที่ 10.73 จุด ทั้งนี้หุ้นที่มี Impact ต่อการปรับตัวลงของดัชนีได้แก่ AOT, KBANK, PTT, BBL, ADVANC, IRPC, DTAC ก่อนดัชนีจะทำปิดที่ 1670.65 จุด ลดลง 1.94 จุด (-0.12%) มูลค่าการซื้อขาย 64,240 ล้านบาท
ภาพตลาดวันนี้
ดัชนีวานนี้ชะลอตัวต่อ เป็นลักษณะแกว่งตัวออกข้างที่ยังไม่ทำ High-Low จากวันก่อนหน้า โดยยังติดแนวต้าน 1675 จุด ขณะเดียวกันยังทรงตัวยืนเส้นค่าเฉลี่ย 5 วันได้ ทำให้การขยับ High ยังคาดหวังได้ แต่อย่างไรก็ตามรูปแบบของกราฟแท่งเทียน 2 วันที่ผ่านมา ทำให้เชื่อว่ายังมีแนวโน้มของการชะลอตัวต่อในลักษณะ sideway ที่ไม่ควรหลุด 1660 จุด ระยะสั้นมีแนวรับ 1660-1665 จุด แนวต้าน 1675-1680 จุด
มีโอกาสการชะลอตัวในลักษณะออกข้างที่ควรยืน 1660 ให้อยู่
Support 1660-1655 จุด Resistance 1690-1700 จุด
พรรณนภา เขมะสุรัตน์ Technical Analyst
เลขทะเบียน : 060110 Tel 02- 6481124
Email: [email protected]
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
'รอดูปฎิกิริยาหลัง Fed ลด QE'
ทิศทางตลาดหุ้นไทย : คาดดัชนีฯ จะผันผวน และยังอยู่ในช่วงของการปรับฐานหลังปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ... ตัวแปรของตลาดที่สำคัญ คือผลประชุม FOMC ออกมาต่างจากที่คาดการณ์กัน แม้จะคงดอกเบี้ย แต่ประกาศเริ่มปรับลด QE ในเดือน ต.ค. (ตลาดคาดไว้ ธ.ค.เป็นอย่างเร็ว) ผลต่อตลาดหุ้นจึงอาจทำให้นักลงทุนต่างประเทศชะลอการซื้อหุ้น ค่าเงินดอลล่าร์ที่สูงขึ้น อาจกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ แต่เป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออก ........
ด้านปัจจัยในประเทศ เราคาดว่า จะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยในวันนี้ คือตัวเลขยอดขายรถยนต์ ส.ค. โตถึง +6.8% YoY วันนี้ จะมีตัวเลขส่งออกของไทย (Bloomberg คาด +5%) รวมทั้งแรงส่งทางด้านเศรษฐกิจหลังรัฐบาลทยอยออกมาตรการที่เพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนออกมา
กลยุทธ์การลงทุน : เราแนะให้รอดูท่าทีของนักลงทุนต่างประเทศ หลัง Fed เตรียมลด QE เดือนหน้า แต่ยังมองว่าการปรับฐานของดัชนีฯเพื่อที่จะเดินหน้าต่อ ยังมีอยู่ ดัชนีฯไม่น่าจะลงต่ำกว่า 1650 จุด (forward P/E ปี '18 ที่ 15.5 เท่า) .... พอร์ตลงทุนระยะยาว อาจพิจารณาลดหุ้นที่ขึ้นมามาก หากดัชนีฯหลุดต่ำกว่า 1670 จุด ขณะที่นักเก็งกำไรช่วงสั้น เราแนะให้รอให้การปรับฐานจบลงก่อน
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ประจำวัน: สำหรับหุ้นที่เราคาดว่าอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุนในวันนี้ อาทิ WHAUP, KKP, HANA, PCSGH*, LH
หุ้นแนะนำทางเทคนิค : EA, VNT, TAKUNI
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
บทวิเคราะห์และความเห็นข่าวสำคัญ
(+) กลุ่มยานยนต์ : ยอดผลิตรถยนต์เดือน ส.ค.2017 กลับมาเติบโตได้ดี
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (20 ก.ย.) ปิดที่ระดับ 1,670.65 จุด ลดลง 1.94 จุด หรือ -0.12% มูลค่าการซื้อขาย 64,239.98 ล้านบาท ตลาดปรับตัวลงในลักษณะเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค จากที่นักลงทุนอยู่ระหว่างการรอผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯถึงการส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย, ลดขนาดงบดุล
ตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,412.59 จุด เพิ่มขึ้น 41.79 จุด หรือ +0.19% ดัชนีดาวโจนส์ยังคงปรับตัวขึ้นทำ New High เป็นวันที่ 7 ติดต่อกัน โดย Fed ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด และส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้ ซึ่งเป็นไปตามคาดเช่นกัน .... เช่นเดียวกับ Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง -0.04% ปิดที่ 381.98 จุด
ปัจจัยต่างประเทศ: ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯเป้นไปตามคาด ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 1.00-1.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ แต่เป็นลบเล็กน้อยจากการประกาศลดงบดุลซึ่งจะเริ่มขึ้นในเดือนตุลาคมปีนี้ นอกจากนี้ Fed ยังส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกหนึ่งครั้งในช่วงปลายปีนี้ตามคาด และคาดจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้งในปีหน้า และ 2 ครั้งในปี 2019
การเลือกตั้งที่เยอรมันจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 ก.ย. เราคาดว่าประเด็นนี้จะเริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้นในช่วงเวลาอันสั้นนี้ เรามองว่าประเด็นนี้จะเป็นบวกต่อตลากเนื่องจากปัจจุบันโอกาสที่พรรค CDU/CSU (นาง Angela Merkel เป็นหัวหน้าพรรค) จะชนะการเลือกตั้งมีสูง โดยโพลปัจจุบันระบุว่า โอกาสที่พรรค CDU/CSU จะชนะอยู่ที่ประมาณ 36-38% ในขณะที่พรรคคู่แข่ง SPD อยู่ที่เพียง 20-24%
ราคาน้ำมันเป็นบวก ปรับตัวขึ้นทะลุ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 93 เซนต์ หรือ +1.9% ปิดที่ 50.41 ดอลลาร์/บาร์เรล แม้ EIA จะรายงานสต็อกน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่ราคาน้ำมันดิบได้แรงหนุนจาก รมว.น้ำมันอิรัก กล่าวว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และผู้ผลิตน้ำมันอีกหลายประเทศ กำลังพิจารณาที่จะขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน
ปัจจัยในประเทศ ติดตามยอดส่งออกวันนี้: ในวันนี้ช่วงเวลาประมาณ 11 โมง จะมีการรายงานตัวเลขส่งออกไทย โดยคาดการณ์ว่าจะเติบโตที่ระกับ +5% YoY …. และช่วงเวลาประมาณ 9 โมง จะมีการประชุมของ รมว.คมนาคม ถึงเรื่องโครงสร้างพื้นฐานไทย คาดจะมีการประกาศโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ออกมา
หุ้นนำเสนอข้อมูลในงาน Opp Day วันนี้ได้แก่ PM
Stock in Focus
หุ้น เหตุผล
WHAUP(ราคาปิด 6.55) เรามอง WHAUP เป็นหุ้นที่จะมีแนวโน้มผลการดำเนินงานสามารถฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่นที่ระดับ 1,989 ล้านบาท (+105.5% YoY) ฟื้นตัวขึ้นจากฐานกำไรที่ต่ำผิดปกติในปีก่อน .... นอกจากนีเบริษัทมีแผนในการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าในปีนี้และปีหน้าอีก 6 โครงการ (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 7.00 บาท)
KKP(ราคาปิด 70.00) เรามอง KKP เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ได้รับผลบวกจากยอดขายรถยนต์ที่ปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งสินเชื่อเดือน ส.ค. 2017 เติบโตได้ 0.9% MoM และ 3.5% YoY หรือ 3.7% YTD ซึ่งเป็นการเติบโตที่สอดคล้องกับยอดขายรถในประเทศ …. เราคาดว่าบริษัทฯจะมีกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 5,679 ล้านบาทขยายตัวจากปีก่อนที่ 2.4% ตามการขยายตัวของสินเชื่อสุทธิที่ 11.3% โดยเฉพาะ High Yield Loan ทั้ง สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อ Micro SMEs
…. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 75.00 บาท)
HANA(ราคาปิด 46.00) เรายังแนะนำ HANA ต่อเนื่องจากวันก่อน โดยเรามีมุมมองในเชิงบวกจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้ HANA จะได้รับผลบวกจากประเด็นดังกล่าว.... ไตรมาส 3 เป็นช่วง High season ของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่า HANA จะมีผลประกอบการ 2H17 สูงกว่า 1H17 คาดกำไรสุทธิทั้งปี 2017 ที่ 2,932 ล้านบาท เติบโต 39.3% YoY
…. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 57.00 บาท)
PCSGH*(ราคาปิด 7.10) แนะนำ PCSGH เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับหุ้นที่ได้รับผลบวกจากยอดขายรถยนต์ที่เติบโต .... Bloomberg คาดกำไรสุทธิปี 2017 เติบโต +24% YoY ที่ 640 ล้านบาท จากปัญหาเตาหลอมที่เกิดขึ้นใรปี 2016 ทำให้บริษัทต้องหยุดการผลิต .... (ราคาที่เหมาะสม โดย Bloomberg ที่ 6.84 บาท)
LH*(ราคาปิด 10.10) มองนักลงทุนจะเข้ามาเก็งกำไรจากการคาดการณ์ว่าช่วงครึ่งปีหลังจะสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง จากการเปิดโครงการใหม่โดยมูลค่า Backlog ปัจจุบันอยู่ที่ 1.47 หมื่นล้านบาท (รองรับรายได้ประมาณ 6 เดือน) .... Bloomberg คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 8,798 ล้านบาท เติบโต +15% YoY (ราคาที่เหมาะสม โดย Bloomberg ที่ 11.43 บาท)
Source: KTBST Research
Sector / Stock Updates
BANPU ลุ้นคำตัดสินของศาลฎีกาในประเทศไทย คดีหงสา (ซึ่งเป็นศาลสุดท้าย) ขณะที่ศาลสูงประเทศมาเลเซีย ยกคำร้องอุทธรณ์ของบริษัทไทย-ลาว ลิกไนต์ (กลุ่มงานทวีเป็นเจ้าของ) เรียกร้องค่าเสียหายหลังจากรัฐบาลลาวยกเลิกสัญญาสัมปทานโรงไฟฟ้าหงสา แล้วเปิดประมูลใหมj
KTBST มีความเห็นต่อข่าวนี้ ว่า ด้วยคดีใหญ่ ที่เกี่ยวกับโรงไฟฟ้าหงสา มีด้วยกัน 2 คดี ที่ถูกฟ้องโดยกลุ่มงานทวี คือ 1.ฟ้อง รัฐบาลลาว ว่า ยกเลิกสัญญาไม่เป็นธรรม และ 2. ฟ้อง BANPU ใช้ข้อมูลภายในและทำให้รัฐบาลลาวยกเลิกสัมปทาน ซึ่งคดีที่สอง นั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับ BANPU ตามข่าวออกมาว่า รัฐบาลลาวชนะในคดีแรก แต่คดีที่ BANPU ถูกฟ้อง ยังคงไม่มีการพิจารณา .... ทาง BANPU ให้ข้อมูลว่า ยังไม่มีนัดคำพิจารณาจากศาล ความเห็นของเรา คือ ผลของคดีแรกนั้นเป็นการพิจารณาในคำฟ้องที่ต่างกันและอยู่คนละประเทศ จึงอาจไม่สามารถอนุมานได้ว่า BANPU จะชนะคดีในไทยด้วย ความเสี่ยงต้อ BANPU จะยังไม่ได้ลดลงไปทั้งหมด .... ราคาเป้าหมายโดย KTBST ที่ 23.00 บาท
(+) กลุ่มยานยนต์ สถิติอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเดือน ส.ค.2017 ทำได้ดี โดยยอดการผลิตรถยนต์อยู่ที่ 1.77 แสนคัน เพิ่มขึ้น 13.5% YoY ซึ่งเป็นผลจากทั้งยอดขายรถยนต์ในประเทศและยอดส่งออกรถยนต์ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะยอดส่งออกรถยนต์กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY ได้ครั้งแรกในรอบ 14 เดือน รวมเดือน ม.ค.-ส.ค.2017 ยอดการผลิตรถยนต์อยู่ที่ 1.29 ล้านคัน ลดลง 1.2% YoY คิดเป็น 67% ของเป้าหมายยอดผลิตรถยนต์ปีนี้ที่ 1.93 ล้านคัน ในแง่ผลการดำเนินงานกลุ่มยานยนต์เราคาดว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดใน 2Q17 ไปแล้ว และคาดว่ากำไรปกติทั้งปี 2017 จะเติบโตได้ดี 16% YoY จากผลบวกของแผนการลดต้นทุน ส่งผลคาดว่าให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น โดยคาดว่า AH จะเติบโตได้โดดเด่นสุดในกลุ่ม ซึ่งยังได้ผลบวกเพิ่มเติมจากแผนเข้าลงทุนใน SGAH อย่างเต็มที่ต้งแต่ 3Q17 เรายังคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มยานยนต์เป็น Neutral สำหรับหุ้น Top Pick ได้แก่ AH เป้าหมาย 31 บาท และ SAT เป้าหมาย 19 บาท ขณะที่ยอดส่งออกเติบโตดี เรามองเป็นบวกกับ NYT
(0) AOT บอร์ด AOT รับทราบแนวทางปรับค่าเช่าที่ดินกรมธนารักษ์ สรุปจ่ายย้อนหลังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 5 ปี รวม 1.4 พันล้านบาท และตั้งแต่งบปี 2018 จ่ายส่วนแบ่ง ROA เพิ่มปีละ 900 ล้านบาท นอกจากนั้น ผู้บริหาร AOT ยังมีการคาดการณ์งบปี 2018 จำนวนผู้โดยสารเติบโตอย่างน้อย 5% เป็น 135 ล้านคน และคาดรายได้เติบโตมากกว่า 10% ส่วนการประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิคาดจะดำเนินการได้ในเดือน ก.พ.2018 ...
ทั้งนี้ สำหรับข้อสรุปค่าเช่าที่ราชพัสดุดังกล่าวต่ำกว่าที่เราคาดไว้เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม คาดค่าใช้จ่ายย้อนหลังจะมีการบันทึกในงบกำไรขาดทุน ซึ่งจะกระทบกับกำไรสุทธิปี 2017 (ต.ค.2016-ก.ย.2017) ลดลงจากเดิมราว 5% เป็น 2.03 หมื่นล้านบาท ยังเติบโต 4% YoY ส่วนกำไรสุทธิปี 2018 (ต.ค.2017-ก.ย.2018) เรายังคาดการณ์เท่าเดิมที่ 2.5 หมื่นล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 23% YoY ... เราประเมินราคาเป้าหมายที่ 64 บาท ระยะสั้นราคาหุ้นอาจปรับตัวลงจากการ sell on fact แต่ยังเป็นโอกาสเข้าซื้อ จากบวกนักท่องเที่ยวที่กลับมาฟื้นตัวดี และอาจมี upside เพิ่มเติมจากการประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ใหม่ของสนามบินสุวรรณภูมิ
(+) NOK ที่ประชุมผู้ถือหุ้น NOK อนุมัติแผนเพิ่มทุนจดทะเบียน 1,207 ล้านบาท เป็น 2499 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,207 ล้านหุ้น จัดสรให้ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ในอัตรา 1:1 ที่ราคาหุ้น 1.50 บาท (ขึ้น XR 26 ก.ย.) และจัดสรรรองรับการใช้สิทธิ NOK-W1 ด้าน THAI ระบุ THAI พร้อมเพิ่มทุนใน NOK เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้น 21.57% เช่นเดิม เนื่องจากตอนนี้แผนฟื้นฟูและแนวทางบริหารจัดการ NOK มีความชัดเจนแล้ว โดยแผนฟื้นฟูของ NOK จะกลับมามีกำไรได้ในปี 2018 ... เรามองเป็นบวกต่อ NOK ที่คาดว่าแผนฟื้นฟูดังกล่าวอาจทำให้ผลการดำเนินงานกลับมาฟื้นตัวได้ (เรายังไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์ NOK ส่วนราคาเป้าหมายเฉลี่ยใน Bloomberg Consensus อยู่ที่ 4.99 บาท)
Source: KTBST Research
Analyst : Mongkol Puangpetra
+662 648 1123
[email protected]
Nontapat Rushtasomboon
+662 648 1127
[email protected]