- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 15 September 2017 16:04
- Hits: 2805
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Technical Daily
ภาพตลาดวันวาน
ดัชนีเปิดตลาดบวกขึ้นเล็กน้อย แกว่งตัวสลับขึ้นลงในกรอบแคบ ๆ ที่มีจุดต่ำสุดของวันที่ 1643.80 จุด เพิ่มขึ้น 0.86 จุด ก่อนที่ช่วงบ่ายมีแรงซื้อจากหุ้นขนาดใหญ่ นำโดย PTT, KBANK, SCC, ADVANC, PTTEP, KCE โดยขึ้นทำจุดสูงสุดของวันที่ 1661.60 จุด เพิ่มขึ้น 18.66 จุด ทำให้มีกรอบการเคลื่อนไหวทั้งวันที่ 17.80 จุด ก่อนดัชนีจะทำปิดที่ 1659.10 จุด เพิ่มขึ้น 16.16 จุด (+0.98%) มูลค่าการซื้อขาย 72,127 ล้านบาท
ภาพตลาดวันนี้
ดัชนีวานนี้ปรับตัวขึ้นแรงเดินหน้าต่อแบบไม่พัก ถึงแม้จะมีสัญญาณเริ่มเตือนในเชิงลบ ด้วยการฝ่า 1650 จุด ขึ้นทำ New High 1661 จุด ก่อนที่จะอ่อนตัวลงมาทำปิดที่ใกล้จุดสูงสุดของวันที่ 1659 จุด ส่งผลให้ Momentum การขยับขึ้นยังมีอยู่ โดยมีเป้าหมายที่คาดหวังการขึ้นทดสอบ 1670-1676 จุด แต่อย่างไรก็ตามต้องระมัดระวังการพักตัวเช่นกัน ควรยืน 1645 จุดให้อยู่เพื่อสำหรับการไปต่อ // แนวต้าน 1665-1670 จุด แนวรับ 1648-1654 จุด
มีโอกาสไปต่อหลังจากฝ่า 1650 จุด // หากเลือกจะพักตัวควรยืน 1645 จุดให้อยู่เพื่อการไปต่อ
Support 1630 // 1600 จุด Resistance 1650-1655 จุด
พรรณนภา เขมะสุรัตน์ Technical Analyst
เลขทะเบียน : 060110 Tel 02- 6481124
Email: [email protected]
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) : Morning Bell
'ดัชนีฯสร้างฐานใหม่ เล่นหุ้นใหญ่ แต่ดูตลาดประกอบด้วย'
ทิศทางตลาดหุ้นไทย : ดัชนีฯมีโอกาสเดินหน้าต่อ ..... การ break กรอบ 1650 จุด และขึ้นมาแตะจุดสูงสุดเดิม ที่ทำไว้เมื่อ 28 ธ.ค.2536 หรือประมาณ 23 ปี ถือว่ามีนัยยะต่อตลาด โอกาสที่ดัชนีฯจะเดินหน้าต่อจะมีอยู่ แต่ข่าวในเชิงลบของตลาดวันนี้ คือ การยิงขีปนาวุธข้ามเกาะของประเทศญี่ปุ่นอีกครั้งของเกาหลีเหนือ หลังขู่ตอบโต้การ Sanction รอบใหม่ด้วยการถล่มเกาะของญี่ปุ่น เช้านี้ตลาดหุ้นเอเซียยังไม่ได้ตอบรับใน แต่เรามองเป็นปัจจัยเสี่ยงของตลาด นักลงทุนต่างประเทศอาจชะลอการซื้อหุ้นและเพิ่มการถือสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ
กลยุทธ์การลงทุน : แม้ดัชนีฯจะผ่าน 1650 จุด ขึ้นมาได้ แต่การเข้าลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่หรือสถาบันฯ ยังคงเน้นเป็นรายตัว หรือเฉพาะกลุ่ม การลงทุนในช่วงนี้ จะควรเน้นไปในหุ้นขนาดใหญ่-กลางที่สภาพคล่องสูง หรือเป็นเป้าหมายของนักลงทุน ..... เรายังคงให้ความสนใจกับหุ้นอิงทิศทางเศรษฐกิจ ที่คาดกำลังซื้อน่าจะฟื้นตัวได้ในอีกไม่ช้า หลังรัฐฯเร่งทำโครงการและการใช้จ่ายซึ่งจะเป็นบวกต่อ หุ้นมีฐานรายได้ในต่างจังหวัด หุ้นค้าปลีก และหุ้นธนาคาร ..... ขณะทีหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ การกลับเข้ามาซื้อหุ้นต่อในกลุ่ม โรงกลั่นน้ำมัน-ปิโตรเคมีขั้นต้น สวนทางกับที่เราคาด น่าจะเป็นเพราะมีการเข้ามาเก็งงบ 3Q และส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ที่ยังสูงไประยะหนึ่ง จึงเป็นหุ้นอีกกลุ่มที่พอจะเล่นเก็งกำไรได้ในสภาวะตลาดแบบนี้
หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ประจำวัน: สำหรับหุ้นที่เราคาดว่าอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุนในวันนี้ อาทิ TMB, HANA, STEC, LPN, MAJOR, SINGER
หุ้นแนะนำทางเทคนิค: TOP, MCS, ASAP
* เป็นหุ้นที่แนะนำเชิงกลยุทธ์ โดย KTBST ไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
บทวิเคราะห์และความเห็นข่าวสำคัญ
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (14 ก.ย.) ปิดที่ระดับ 1,659.10 จุด เพิ่มขึ้น 16.16 จุด หรือ +0.98% มูลค่าการซื้อขาย 72,127.38 ล้านบาท เป็นระดับสูงสุดในรอบ 23 ปี ยังคงมีกระแสเงินจากต่างชาติเข้ามา โดยต่างชาติมีปริมาณการซื้อสุทธิ 3,027.65 ล้านบาท
ตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,203.48 จุด เพิ่มขึ้น 45.30 จุด หรือ +0.20% จากปัจจัยเฉพาะตัวของการเข้าซื้อหุ้นโบอิ้งหลังมีการประกาศแผนเพิ่มการผลิตเครื่องบิน 787 Dreamliner .... เช่นเดียวกับ Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.1% ปิดที่ 381.79 จุด
ปัจจัยต่างประเทศ: ปัจจัยต่างประเทศเป็นลบจากประเด็นเกาหลีเหนือและเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาด เกาหลีเหนือมีการตอบโต้มาตรการ sanction โดยการเจ้าหน้าที่รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่า เกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธลูกหนึ่งในช่วงเช้าวันนี้ โดยยิงข้ามเกาะฮอกไกโด ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิค มองประเด็นดังกล่าวส่งผลลบต่อตลาดหุ้นวันนี้
ตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐฯที่รายงานเมื่อคืนนี้มีตัวเลขเงินเฟ้อและผู้ขอสวัสดิการว่างงาน โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากขยับขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนก.ค. การปรับสูงขึ้นกว่าคาดของเงินเฟ้อส่งผลให้ตลาดคาดว่า Fed จะมีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงขึ้นในปีนี้ .... แต่ด้านตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานเป็นบวก โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 14,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 284,000 ราย สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 300,000 ราย
ราคาน้ำมันเป็นบวก ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้ 50 ดอลลาร์/บาร์เรล สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 59 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 49.89 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ มองว่าเป็นผลบวกต่อเนื่องจากการคาดการณ์ของ EIA ว่าจำนวนอุปสงค์น้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น
ปัจจัยในประเทศ: มีประเด็นเรื่องการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ: คณะกรรมการค่าจ้างกลางระบุว่าจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่เกิน 20 บาท แต่จะแตกต่างกันไปแต่ละพื้นที่ คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนตุลาคมนี้ มองประเด็นดังกล่าวเป็นลบต่อกลุ่มรับเหมาฯเล็กน้อย
หุ้นนำเสนอข้อมูลในงาน Opp Day วันนี้ได้แก่ PPP, ZIGA, PLANB, TRC, BJC, BIGC
Stock in Focus
หุ้น เหตุผล
TMB
(ราคาปิด 2.44 ยังคงแนะนำ TMB ต่อเนื่องจากวันก่อน จากกระแสการเข้าลงทุนในหุ้นอิงเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอีกครั้งของนักลงทุน ..... เรามองว่า TMB จะรายงานตัวเลขสินเชื่อออกมาดี โดยสินเชื่อเดือน ก.ค. ทรงตัวเมื่อเทียบ MoM (ทำได้ดีกว่ากลุ่มที่ -0.9% MoM) และยังเติบโตได้ดีที่ 4.0% YTD ซึ่งเป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อบ้านเป็นหลัก นอกจากนี้ เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ TMB จากกำไรสุทธิในปีนี้และปีหน้าที่จะเติบโตได้ดี 10% YoY เพราะมีรายได้ค่าธรรมเนียมจาก FWD เข้ามาช่วยปีละ 1.3 พันล้านบาท .... คาดกำไรสุทธิปี 2017 ที่ 8,459 ล้านบาท +2.8% YoY .... (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 2.80 บาท)
HANA
(ราคาปิด 44.50) ราคาหุ้นปรับตัวลงไปมากช่วงก่อนหน้านี้ และจากการคาดการณ์ค่าเงินบาทจะไม่แข็งค่าไปกว่านี้ เรามอง HANA จะได้รับผลบวกจากประเด็นดังกล่าว.... ไตรมาส 3 เป็นช่วง High season ของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่า HANA จะมีผลประกอบการ 2H17 สูงกว่า 1H17 คาดกำไรสุทธิทั้งปี 2017 ที่ 2,932 ล้านบาท เติบโต 39.3% YoY …. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 57.00 บาท)
STEC
(ราคาปิด 25.75) เราเลือก STEC เป็น Top Picks ของกลุ่มรับเหมาฯก่อสร้าง ช่วงที่ผ่านมา STEC ได้รับโครงการรถไฟทางคู่รวมจำนวนประมาณ 13,500 ล้านบาท และราคาที่เสนอต่ำกว่าราคากลางเพียง 2% คาดกำไรจากการดำเนินงานปกติปี 2017 จะเติบโตที่ 11.7% แต่จะเติบโตได้สูงมากในปี 2018 ที่ 50% YoY ที่ 1,545 ล้านบาท .... (ราคาที่เหมาะสมโดย KTBST ที่ 35.50 บาท)
LPN
(ราคาปิด 11.40) ราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้หลังปรับตัวลงมามากในช่วงก่อนหน้านี้ .... แม้กำไรสุทธิ 2Q17 ยังคงอยู่ในระดับต่ำ แต่เราคาดว่า 4Q17 เราคาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น เนื่องจากจะมีคอนโดใหม่โอนถึง 4 โครงการ มูลค่ารวม 2,870 ล้าน.... (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 12.60 บาท)
MAJOR
(ราคาปิด 31.25) เรามองว่าช่วง 2H17 ยังคงรักษาผลประกอบการไว้ได้ดีอยู่แม้จะไม่ใช่ช่วงไฮซีซั่น จากไลน์ภาพยนต์ที่น่าสนใจและคาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีเช่น Spider-Man, Star War และ นโยบายการประหยัดค่าใช้จ่าย จากการลดจำนวนพนักงานต่อโรงภาพยนตร์ลง คาดว่าจะช่วยให้บริษัทประหยัดค่าใช้จ่ายประมาณ 100 ล้านบาท โดยเราคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2017 ของ MAJOR ที่ระดับ 1,338 ล้านบาท (+12.6% YoY) .... (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 36.00 บาท)
SINGER
(ราคาปิด 13.00) เศรษฐกิจภูมิภาคที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นผลบวกต่อ SINGER …. แม้จะคาดการณ์กำไรสุทธิ -53% ในปีนี้ แต่คาดจะเติบโตได้ดีมากในปี 2018 ที่ 262% แนวโน้มค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองลดลง, การขยายธุรกิจเข้าสู่สินเชื่ออเนกประสงค์ "รถทำเงิน" คาดปี 2017 ที่ 0.65 พันล้านบาท …. (ราคาที่เหมาะสม โดย KTBST ที่ 13.80 บาท)
Source: KTBST Research
Sector / Stock Updates
(-) กลุ่มรับเหมาฯ คณะกรรมการค่าจ้างกลาง จะสรุปค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ เดือน ตุลาคมนี้ โดยแต่ละจังหวัดจะปรับขึ้นไม่เท่ากัน ขึ้นกับสภาพเศรษฐกิจแต่ละพื้นที่ การปรับค่าจ้างขั้นต่ำรอบใหม่ ที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม 2561 อยู่ระหว่างการสรุปมติของอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัด ทั้ง 77 จังหวัด โดยส่งมาให้กระทรวงแรงงานภายในวันที่ 30 กันยายนนี้ โดยค่าจ้างขั้นต่ำที่ฝ่ายแรงงานเสนอมาวันละ 600-700 บาท คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นก้าวกระโดดจาก 310 บาท และอย่างมากปรับขึ้นได้ไม่เกิน 20 บาท
เรามองประเด็นดังกล่าวเป็นลบต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้างเล็กน้อย เนื่องจากการปรับขึ้นในครั้งนี้มีมูลค่าไม่สูง กรณี worst-case จะปรับขึ้นเพียง 20 บาท ต่อวัน ซึ่งหากเป็นกรณีดังกล่าว เรามอง worst-case บริษัทจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นที่ประมาณ 1,800,000 บาทต่อเดือน หรือ 21,600,000 บาทต่อปี (คำนวนจากสมมุติฐานคนงานที่ 3,000 คน) ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของบริษัท คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2018 ของบริษัทรับเหมาฯ ดังนี้ STEC 1,545 ล้านบาท, UNIQ 1,199 ล้านบาท, และ CK 2,371 ล้านบาท โดยเรายังคงให้คำแนะนำ "Overweight" สำหรับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
(+) TCAP สินเชื่อเดือน ส.ค. 17 ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง 0.6% MoM และ 3.1% YoY หรือคิดเป็น 1.6% YTD โดยการเติบโตส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อเช่าซื้อที่เติบโตได้ตามยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น
สำหรับ TCAP เรายังชอบในแง่ของการเติบโตของกำไรสุทธิที่ทำได้โดดเด่นกว่ากลุ่ม ประกอบกับ มีหนี้เสียที่อยู่ในระดับต่ำ แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายในปี 2018 ที่ 56 บาท อิง P/BV ที่ 1x
(0) NOK ที่ประชุมบอร์ดบริษัทฯ เมื่อวันที่ 14 ก.ย.2017 มีมติรับทราบการลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนายพาที สารสิน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย.2017 แต่ยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการของบริษัทเช่นเดิม และมีมติแต่งตั้งนายปิยะ ยอดมณี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มีผลตั้งแต่วันที่ 14 ก.ย.2017 เป็นต้นไป
โดยเบื้องต้นเรายังมองเป็นกลางจากข่าวดังกล่าว โดยยังคงต้องติดตามทิศทางการนโยบายการบริหารของบริษัทต่อไป ขณะที่ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2014 มีผลขาดทุนและสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดมาอย่างต่อเนื่อง เรามองว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีโอกาสเป็นบวกต่อผลการดำเนินงานในอนาคตได้ แนะนำ เก็งกำไร ราคาเป้าหมายเฉลี่ยใน Bloomberg Consensus ที่ 5.39 บาท
Source: KTBST Research
Analyst
Mongkol Puangpetra
+662 648 1123
[email protected]
Nontapat Rushtasomboon
+662 648 1127
[email protected]