- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 15 September 2017 16:01
- Hits: 2599
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ทะลุแนวต้าน 1648 จุด เร็วกว่าคาด ทำให้มีโอกาสทดสอบแนวต้านปี 2536 ก่อนเกินวิกฤติต้มยำกุ้งที่ 1688 จุด โดยมี Fund Flow ช่วยหนุน หลังจากที่ได้ทยอยสะสมในช่วง 2 สัปดาห์ผ่านมา ด้วยเหตุผลที่หุ้นไทยถูกในเชิง P/E และเศรษฐกิจที่มีสัญญาณฟื้นตัวตามลำดับ จึงให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนจาก 50% ของเงินลงทุนเป็น 60% ถือว่าเป็นการเพิ่มน้ำหนักรอบ 2 ของปีนี้ หุ้น Top picks ยังชอบหุ้น Laggards THCOM(FV@B24), INTUCH([email protected]) และเพิ่ม PTTEP(FV@B116) เพราะน่าจะขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่มีโอกาสแตะ 55 เหรียญฯ ตามสมมติฐาน
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย.....แรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ดันดัชนีปิดบวกกว่า 16 จุด
วานนี้ตลาดหุ้นไทยปิดบวกร้อนแรงสวนทางตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง โดยระหว่างวัน SET Index แกว่งตัวในทิศทางขาขึ้นตลอดวันและขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ของปีที่ 1661 จุด ก่อนจะปิดที่ 1659.10 จุด เพิ่มขึ้นถึง 16.16 จุด หรือ 0.98% ด้วยมูลค่าการซื้อขายหนาแน่นกว่า 7.21 หมื่นล้านบาท แทบทุกกลุ่มฯ ปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานเด่นมาก ทั้ง IRPC, PTTEP และ PTT เพิ่มขึ้น 3.28, 2.59 และ1.49% ตามลำดับ กลุ่มปิโตรฯ ทั้ง IVL และ PTTGC เพิ่มขึ้น 3.68% และ 0.97% เช่นเดียวกับ หุ้นกลุ่มธนาคาร นำโดย KBANK เพิ่มขึ้น 3.32%, TMB เพิ่มขึ้น 2.52%, KTB เพิ่มขึ้น 1.60%, BBL เพิ่มขึ้น 1.06% และ SCB เพิ่มขึ้น 0.99%
กลุ่มอื่นๆ ที่ปรับตัวขึ้นคือกลุ่มขนส่ง โดยหุ้นน้องใหม่ที่เพิ่งเข้าซื้อขายในตลาดฯ เป็นวันแรกอย่าง PRM ปิดที่ 11.40 บาท ปรับตัวขึ้นสูงกว่า 42.50% จากราคา IPO ที่ 8 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขายหนาแน่นกว่า 9 พันล้านบาท (คิดเป็น 13.74% ของมูลค่าตลาดฯ) ส่วนหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มฯ ที่ปรับขึ้นแรงเช่นกัน คือ JWD ขยับขึ้นถึง 4.72% ปิดที่ 11.10 บาท ซึ่งเกิน Fair Value ของฝ่ายวิจัยที่ 11 บาทไปแล้ว จึงแนะนำให้รอให้ราคาอ่อนตัวลงมาก่อน อีกกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นคือ กลุ่ม ICT นำโดย CSL ปรับขึ้นถึง 4.08% หลังจากประกาศข่าว ADVANC ขอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นใหญ่ในราคา 7.80 บาท ขณะที่ ADVANC เพิ่มขึ้น 2.09% รวมถึงหุ้น top pick ของฝ่ายวิจัยอย่าง INTUCH ปรับขึ้น 1.28% ซึ่งได้นักวิเคราะห์ได้ปรับเพิ่ม fair value จาก 71.9 บาท เป็น 72.4 บาทเพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเพิ่ม fair value ของ THCOM ไปก่อนหน้านี้ (INTUCH ถือหุ้น THCOM 41.14%) รวมถึงราคาหุ้นของ INTUCH ยัง Laggard กลุ่มฯ อยู่มาก ในขณะมี upside กว่า 21%
แนวโน้มตลาดฯ วันนี้ SET มีโอกาสทดสอบแนวต้านที่ 1670 จุด และ 1688 จุด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในปี 2536 ก่อนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ขณะที่แนวรับคือ 1650 จุด กรณีที่มีการปรับฐานระหว่างวัน
BOE ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้เดิมในปี 2561
ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) วานนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ยังคงมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.25% รวมถึงยังคงไว้ซึ่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ เช่นการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลราว 4.35 แสนล้านปอนด์ แต่อย่างไรก็ตาม ได้ส่งสัญญาณว่าอาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด เนื่องจากดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนอัตราว่างงานเดือน ส.ค. ต่ำสุด 4.3% ในรอบกว่า 40 ปี และอัตราเงินเฟ้อเดือนเดียวกันที่เพิ่มขึ้น 2.9%yoy จากที่ทรงตัว 2.6% ติดต่อกัน 2 เดือน เทียบกับดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% ทำให้เงินเฟ้อสูงกว่าดอกเบี้ยฯ กว่า 2.65 หนุนให้เงินปอนด์แข็งค่า 1.44% ในวันเดียวกัน หรือแข็งค่า 8.53%ytd หากนับตั้งแต่ต้นปี
ทางฝั่งสหรัฐ ล่าสุดพบว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐงวดเดือน ส.ค. ฟื้นตัวเป็นเดือนที่ 2 โดยเพิ่มขึ้น 1.9%yoy สูงกว่าเดือน ก.ค. 1.7% สาเหตุหลักมาจากราคาน้ำมันและค่าเช่าปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคน Harvey ที่สร้างความเสียหายในช่วงปลายเดือน ส.ค. ส่งผลให้โรงกลั่นหยุดผลิตชั่วคราว ล้วนกดดันให้เงินเฟ้อเดือน ก.ย. ปรับเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า Fed น่าจะยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในปีนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นมาจากราคาน้ำมันเป็นหลัก ซึ่ง Fed มองว่าเป็นเพียงแค่ปัจจัยชั่วคราว สอดคล้องกับผลสำรวจโอกาสขึ้นดอกเบี้ยของ Bloomberg ที่พบว่า โอกาสขึ้นดอกเบี้ยเป็น 0.0% 2.8% และ 43.4% ในรอบการประชุม ก.ย. พ.ย. และ ธ.ค. ตามลำดับ ซึ่งเชื่อว่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวได้สะท้อนการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว แต่น่าจะมีแนวโน้มแข็งค่าหลังจากนี้ ขึ้นกับการขึ้นดอกเบี้ย และภาวะเศรษฐกิจในระยะถัดไป
ต่างชาติยังให้น้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากสุดในภูมิภาค
แม้วานนี้ต่างชาติสลับมาซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเล็กน้อยราว 31 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิติดต่อกัน 7 วัน) แต่เป็นการขายสุทธิถึง 3 ประเทศ คือ ไต้หวันถูกขายสุทธิ 79 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4), อินโดนีเซีย 12 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 12) และฟิลิปปินส์ 2 ล้านเหรียญ ยกเว้นเกาหลีใต้ที่สลับมาซื้อสุทธิ 32 ล้านเหรียญ (หลังจากขายสุทธิ 4 วัน) และไทยที่ต่างชาติยังคงให้น้ำหนักการลงทุนมากสุดในภูมิภาคกว่า 92 ล้านเหรียญ หรือ 3.03 พันล้านบาท (ซื้อสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 3) เช่นเดียวกับสถาบันในประเทศที่สลับมาซื้อสุทธิ 1.06 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิเพียงวันเดียว)
Fund Flow ที่ไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนให้ SET Index พุ่งขึ้นสร้างจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 23 ปี ล่าสุดอยู่ที่ 1659.10 จุด รวมทั้งช่วยสร้างผลตอบแทนในเดือน ก.ย. 60 สูงสุดในภูมิภาคกว่า 2.66% (mtd) และเชื่อว่า Fund Flow ยังมี Momentum ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากในเดือน ก.ย. ต่างชาติกลับมาสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค
ราคาน้ำมันแกร่งหนุน PTT, PTTEP และหุ้นปิโตรเคมี IRPC
ราคาน้ำมันดิบดูไบยังคงฟื้นตัวต่อเนื่อง ล่าสุดอยู่ที่ 53.87 เหรียญฯต่อบาร์เรล หรือขึ้นจากจุดต่ำสุด 43.59 เหรียญฯต่อบาร์เรล เมื่อกลางปี 2560 หรือขึ้นมา 23% โดยมีเหตุผลหลัก จากที่ทบวงพลังงานสากล (IEA) ประเมินว่าปริมาณน้ำมันส่วนเกินกำลังลดน้อยลง จากการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์น้ำมันที่แข็งแกร่ง โดยในไตรมาส 2 อุปสงค์น้ำมันโลกเพิ่มขึ้น 2.3 ล้านบาร์เรล/วัน หรือ 2.4% ส่งผลให้ทาง IEA ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปีนี้ ขึ้นอีก 1 แสนบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน (เพิ่มขึ้น 1.7%)
นอกจากนี้กำลังการผลิตน้ำมันดิบประจำเดือน ส.ค.2560 ของกลุ่มโอเปกที่ปรับตัวลดลงราว 0.4% มาที่ระดับ 32.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือนที่ผ่านมา โดยลดลงจากประเทศสมาชิก อย่าง ซาอุดิอาระเบีย, แองโกลา และอิรัก หักล้างกับประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไนจีเรีย, คูเวต รวมถึงลิเบีย ที่ล่าสุดแหล่งผลิตน้ำมัน Sharara ของลิเบีย (กำลังการผลิต 2.8 แสนบาร์เรลต่อวัน) เริ่มกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ หลังจากปิดซ่อมแซมท่อขนส่งน้ำมันไปในวันที่ 19 ส.ค.2560 ที่ผ่านมา
โดยรวมราคาน้ำมันดิบดูไบจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน เฉลี่ย 50.75 เหรียญฯต่อบาร์เรล ต่ำกว่าสมมติฐาน ปี 2560 ของ ASP ที่ 55 เหรียญฯต่อบาร์เรล แต่คาดว่าราคาน้ำมันยังมีโอกาสฟื้นตัวต่อในช่วงที่เหลือ และ มีโอกาสบันทึกกำไรจาก stock น้ำมันในอีก 2 ไตรมาสข้างหน้า ส่วนปี สมมติฐานราคาน้ำมัน 60 เหรียญ ฯ มีความเป็นไปได้สูง จึงยังแนะนำ ซื้อ PTT (FV@B460) และ PTTEP (FV@B116)
เช่นเดียวกับราคาถ่านหินเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 2560 ถึงปัจจุบันอยู่ที่ 85.53 เหรียญฯต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 30.1%yoy ขณะที่ราคาหุ้น BANPU(FV@B24) ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันลดลงไปแล้วเกือบ 11% สวนทางกับทิศทางกำไรปีนี้ที่จะกลับมา turnaround และยัง laggard กว่าราคาถ่านหินมาก จึงเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุน
ตรงข้ามค่าการกลั่นสิงคโปร์ พบว่า ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังจากค่าการกลั่นสิงคโปร์ขยับขึ้นมาสูงผิดปกติในรอบกว่า 21 เดือน (11 เหรียญ/บาร์เรล) เป็นผลจากพายุ Harvey ที่พัดเข้าถล่มรัฐเท็กซัสในสหรัฐเมื่อปลายเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ทำให้โรงกลั่นหลายแห่งไม่สามารถดำเนินการได้ แต่เมื่อพายุผ่านไปบรรดาโรงกลั่นต่างๆ จึงกลับมาเปิดดำเนินการได้อีกครั้ง และเร่งการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ประโยชน์จากค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ supply น้ำมันสำเร็จรูปออกมามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบที่ขยับขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการกลั่นเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จึงเป็นผลให้ค่าการกลั่นเริ่มขยับลดลงตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา และคาดว่าน่าจะกลับลงสู่ระดับปกติที่บริเวณ 5-7 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งถือเป็น sentiment เชิงลบต่อหุ้นโรงกลั่น ที่ราคาหุ้นขยับขึ้นไปสูงในช่วงก่อนหน้านี้ คือ TOP (สัดส่วนโรงกลั่น 65% ปิโตรเคมี 25%) BCP (สัดส่วนโรงกลั่น 80% โรงไฟฟ้า 20%) และ ESSO (สัดส่วนโรงกลั่น 65% ปิโตรเคมี 35%) จึงแนะนำให้ขาย หรือ switch ออกไปก่อน ขณะที่PTTGC (สัดส่วนกำลังการผลิตปิโตรเคมี 75% โรงกลั่น 25%) และ IRPC (สัดส่วนกำลังการผลิตปิโตรเคมี 70% โรงกลั่น 30%) แม้จะมีสัดส่วนโรงกลั่นที่ไม่สูงมาก แต่ก็อาจได้รับผลกระทบไปด้วย หากราคาปรับลดลงมาถือเป็นการเปิด upside ให้เข้าไปสะสมใหม่ได้ ส่วน IVL เป็นหุ้นปิโตรเคมี 100% จึงไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว
กลยุทธ์ฯ ยังเน้นขายหุ้นแพงซื้อ Laggards: THCOM, INTUCH, VGI, UNIQ
วานนี้ตลาดปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 4 ปี โดยขึ้นไปสูงสุด 1661.60 ซึ่งทะลุแนวต้านปี 2556 1649 จุด และน่าจะทำให้ดัชนีเดินหน้าต่อไปแตะ 1700 จุดในไม่ช้า กลยุทธ์การลงทุนให้สลับขายหุ้น รายตัว ที่เกิน Fair Value ได้แก่ AMATA, DTAC, BH, TOP, RS หรือมี Upside จำกัด เช่น SIRI, AOT และหุ้นโรงกลั่น ราคาหุ้นปรับขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมา เพราะค่าการกลั่นที่ปรับตัวขึ้นเร็วเกินไป จึงแนะนำขาย TOP, BCP, ESSO เป็นต้น และให้ switch ไปยัง หุ้น Laggards ได้แก่ THCOM, INTUCH ดังกล่าวข้างต้น และหุ้นอื่น ๆ ได้แก่
TNP([email protected], [email protected]) หุ้นพักฐานมานาน เพราะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นในงวด 2Q60 ซึ่งเป็นผลจากการขยายสาขา ทำให้ต้องจัดจ้างพนักงานใหม่เพิ่มขึ้น และยอดขายสาขาเดิมหดตัว แต่หลังจากนี้คาดว่าจะอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น (อ่านรายละเอียดในบทวิเคราะห์ Company Update: TNP ฉบับวันที่ 12 กันยายน 2560) ราคาปัจจุบันกลับมาอยู่ในจุดที่น่าสนใจ หลังราคาหุ้นปรับลดลงมาสะท้อนประเด็นลบ แม้ราคาปัจจุบันเกินมูลค่าหุ้นปี 2560 แต่โอกาสการฟื้นตัวสูงจึงให้พิจารณามูลค่าพื้นฐานปี 2561 ด้วยวิธี DCF ได้ที่ราคา 3.0 บาท (WACC 13.6%) ยังมี Upside อีกราว 11.1% ยืนยัน “ซื้อ”
UNIQ(FV@B25) มี upside 33.7% : เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ที่รับงานภาครัฐ จากจุดเด่นเรื่องอัตรากำไรที่สูงสุดในบรรดาบริษัทรับเหมารายใหญ่ บวกกับ Valuation ปัจจุบันที่มี PER ต่ำเพียง 18.6 เท่า ต่ำที่สุดเทียบกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่อื่นๆ คาดปีนี้กำไรโตกว่า 22%
GUNKUL([email protected]) มี upside 28.1% : ทิศทางกำไรช่วง 2H60 จะปรับตัวสูงขึ้นจากช่วง 1H60 โดยคาด 3Q60 จะเข้าสู่ฤดูกาลลมหนุนกำไรฯ พลิกกลับมาเติบโต QoQ รวมทั้งโครงการโซลาร์จะได้รับอานิสงส์จากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) เต็มไตรมาส คาดปีนี้กำไรโตกว่า 21%
VGI([email protected]) มี upside 21.4% : ยังสามารถคาดหวังการเติบโตของสื่อโฆษณานอกบ้าน และสื่อออนไลน์ที่เติบโตได้ต่อเนื่อง ตามสังคมเมืองที่ขยายตัวมากขึ้นและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ใช้เวลาอยู่นอกบ้านนานขึ้น สวนทางกับเม็ดเงินโฆษณาโดยภาพรวมที่หดตัวลง คาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานปกติจะเพิ่มขึ้น 34.2% YoY
AP([email protected]) มี upside 22.3% : แผนการเปิดตัวโครงการใหม่เชิงรุกใน 2H60 โดยเฉพาะแนวราบ คาดจะสนับสนุนต่อยอดโอนฯ แนวราบตั้งแต่ 3Q60 ต่อเนื่อง 4Q60 โดยทั้งปี 2560 คาดกำไรปกติเติบโต 15% yoy
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636