- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 14 September 2017 16:12
- Hits: 2291
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
หลังจากดัชนีทำสถิติสูงสุดที่ 1652 จุด นับจากปี 2556 ซึ่งน่าจะเป็นแนวต้านที่มีนัยสำคัญ โอกาสผ่านต้องใช้เวลา การเคลื่อนไหวของหุ้นรายกลุ่มจึงน่าจะสลับจากหุ้นราคาแพง (TOP, BCP, ESSO, AOT, DTAC, RS, BH) มายังหุ้นถูกหรือ Laggards (THCOM, INTUCH, VGI, SCC) ที่มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ยังเลือก THCOM(FV@B24) เป็น Top Picks และวันนี้เพิ่ม INTUCH([email protected]) เนื่องจากถือหุ้น THCOM 41.14% จึงได้ประโยชน์จากการปรับเพิ่มมุมมองเชิงบวกตามได้ด้วย
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย…กลุ่มพลังงานฉุดตลาดลงเล็กน้อย
วานนี้ช่วงเช้า SET Index แรงจัด บวกเกือบ 10 จุด ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ปี 2556 ที่ 1652 จุด แต่ช่วงบ่ายกลายเป็นหนังคนละม้วน โดยมีแรงเทขายเข้ามาจนทำให้ดัชนีปิดในแดนลบที่ 1642.94 จุด ลดลง 0.61 จุด หรือ 0.04% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.36 หมื่นล้านบาท หุ้นในกลุ่มพลังงานเป็นเป็นกลุ่มหลักที่กดดันตลาด โดยเฉพาะ BANPU ราคาลดลงแรงถึง 3.45% จากประเด็นข่าว ที่ว่ากระทรวงพลังงานอินโดนีเซียมีแผนที่จะควบคุมราคาถ่านหินในประเทศที่ขายให้โรงไฟฟ้า ซึ่งนักวิเคราะห์ ASPS ได้สอบถามไปยังผู้บริหาร BANPU ให้ความเห็นว่าประเด็นดังกล่าวยังเป็นเพียงข่าวที่ทางรัฐบาลอินโดนีเซียต้องการที่จะช่วยเหลือโรงไฟฟ้าในประเทศไม่ให้ซื้อถ่านในราคาที่สูงเกินไป ซึ่งอาจเป็นลักษณะ cost plus + margin จากปัจจุบันที่ราคาขายถ่านหินในประเทศอิงกับราคาถ่านหินในตลาดโลก ซึ่งในภาวะที่ราคาถ่านหินในตลาดโลกอยู่ในระดับสูงเช่นในปัจจุบันก็อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า แต่อย่างไรก็ตาม ปริมาณขายถ่านหินที่ BANPU ขายในประเทศคิดเป็นสัดส่วนเพียง 6% ของปริมาณขายถ่านหินในประเทศอินโดนีเซียที่ 25 ล้านตัน สำหรับในปี 2560 (ส่วนที่เหลืออีก 94% ส่งออกไปขายในต่างประเทศ) และถึงแม้หากมีผลบังคับใช้จริงก็ส่งผลกระทบไม่มีนัยฯ ต่อประมาณกำไรของ BANPU
อีกกลุ่มที่ปรับลดลงคือกลุ่มโรงพยาบาล โดยเฉพาะ BH และ CHG ลดลงถึง 2.31% และ 1.61% ตามลำดับ เนื่องจากราคาหุ้นทั้งคู่เกิน Fair Value ของฝ่ายวิจัยไปมากแล้ว จึงเห็นการขายทำกำไรออกมา
ส่วนหุ้นรายตัวที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นวานนี้ เป็นหุ้น top pick ของฝ่ายวิจัย คือ THCOM ปรับขึ้นแรงกว่า 11.69% โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่าธุรกิจหลักกำลังจะดีขึ้นจากจุดต่ำสุด จากเดิมที่คาดว่า THCOM จะหยุดให้บริการดาวเทียมภายใต้สัมปทานทั้งหมด (iPSTAR, ไทยคม 5 และไทยคม 6) หลังสิ้นสุดสัมปทานปี 2564 โดยได้ปรับสมมติฐานให้สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น คือให้ THCOM ยอมให้บริการดาวเทียมใหม่ด้วยต้นทุนใกล้เคียงสัมปทานเดิมที่ 22.5% ภาพรวมจะช่วยให้ประมาณการกำไรระยะยาวของ THCOM ตั้งแต่ปี 2564 จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 109% และได้ปรับคำแนะนำจาก Switch เป็น Buy พร้อมกับ Fair Value ใหม่ที่ 24 บาท
การไหลลงของดัชนีวานนี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลเนื่องจากดัชนีที่ขึ้นมาร้อนแรงเกินไป ประกอบกับยังมีแนวต้านสำคัญที่ 1650 จุด สำหรับวันนี้ประเมินแนวรับอยู่ที่ 1634 จุด เป็นจุดที่คาดหวังว่าดัชนีจะรองรับอยู่เพื่อสร้างฐานกลับไปทดสอบแนวต้าน 1650 จุด
BOE น่าจะขึ้นดอกเบี้ยปี 2561 ความเสี่ยง Brexit ยังมีอยู่
ปัจจัยต่างประเทศวันนี้น่าจะมีเพียง ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE)ซึ่งคาดว่ายังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.25% (ต่ำสุดในประวัติการณ์) แต่น่าจะเริ่มขยับขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าตามสหรัฐ เนื่องจากดัชนีชี้นำเศรษฐกิจฯ บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะตลาดแรงงาน พบว่าอัตราว่างงานเดือน ส.ค. ต่ำสุด 4.3% ในรอบ 42 ปี (ตั้งแต่ปี 1975) จากเดิม 4.4% เมื่อเดือน ก.ค. ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเดือนเดียวกันที่พุ่งขึ้น 2.9%yoy จากที่ทรงตัว 2.6% ติดต่อกัน 2 เดือนในช่วงก่อนหน้า เป็นผลจากค่าเงินปอนด์เทียบดอลลาร์อ่อนค่าราว 10.7% นับจากหลังการทำประชามติ (Brexit) เมื่อ 24 มิ.ย.2559 ส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าประเภทเสื้อผ้า, น้ำมัน สูงขึ้นมาก เงินเฟ้ออังกฤษสูงกว่าดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.25% มาก (ดอกเบี้ย – เงินเฟ้อ ติดลบ 2.65%) หนุนให้อังกฤษต้องใช้นโยบายการเงินเข้มงวด
ขณะที่สหรัฐ ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างต่อเนื่องคือ การปฎิรูปโครงสร้างภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ โดยเฉพาะภาษีนิติบุคคลคาดจะลดเหลือ 15% จากเดิม 35% อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการปฎิรูปภาษีอาจไม่ราบรื่นนัก แม้ผู้ได้ประโยชน์คือ ภาคธุรกิจ และชนชั้นกลางซึ่งสอดคล้องกับความเห็น ล่าสุด ของประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐและรัฐมนตรีคลังเชื่อว่าจะสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นก่อนสิ้นปีนี้ แต่โอกาสที่จะลดเหลือตามเป้าที่วางไว้คงเป็นไปได้ยาก โดยมองอัตราภาษีนิติบุคคลที่เหมาะสมเฉลี่ยราว 22.5% โดยรวมเชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐได้ตอบรับประเด็นปฎิรูปภาษี(Tax Reform) ไปมากแล้ว สะท้อนจากการปรับขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ อาทิ 12% นับตั้งแต่ต้นปี และหากพิจารณาความถูก/แพง Expected PE พบว่าสหรัฐ อยู่ที่ 19 เท่า สูงสุดในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งนี้เชื่อว่าเงินทุนจะสลับไหลจากประเทศที่แพงมาถูก และ ประเทศที่ให้ผลตอบแทนต่ำในปีนี้ ดังเช่นประเทศแถบเอเซีย โดยเฉพาะ ไทย และจีน มี Expected PE ต่ำ
ราคาน้ำมันได้รับแรงหนุน จาก IEA ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปีนี้
แม้วานนี้ทางสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 2 ราว 5.89 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดฯคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.24 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นผลมาจากโรงกลั่นที่หยุดชะงักไป อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบ WTI กลับปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 2.22% มาอยู่ที่ 49.30 เหรียญฯต่อบาร์เรล ขานรับจากรายงานประจำเดือน ก.ย. ของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ที่ระบุว่า ปริมาณน้ำมันส่วนเกินในตลาดโลกกำลังหดตัวลง จากการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์น้ำมันที่แข็งแกร่ง โดยในไตรมาส 2 อุปสงค์น้ำมันโลกเพิ่มขึ้น 2.3 ล้านบาร์เรล/วัน หรือ 2.4% ส่งผลให้ทาง IEA ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปีนี้ ขึ้นอีก 1 แสนบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน (เพิ่มขึ้น 1.7%)
นอกจากนี้ราคาน้ำมันยังได้รับปัจจัยบวกจาก ตัวเลขกำลังการผลิตน้ำมันดิบประจำเดือน ส.ค.2560 ของกลุ่มโอเปกที่ปรับตัวลดลงราว 0.4% มาที่ระดับ 32.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือนที่ผ่านมา โดยลดลงจากประเทศสมาชิก อย่าง ซาอุดิอาระเบีย, แองโกลา และอิรัก หักล้างกับประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไนจีเรีย, คูเวต รวมถึงลิเบีย ที่ล่าสุดแหล่งผลิตน้ำมัน Sharara ของลิเบีย (กำลังการผลิต 2.8 แสนบาร์เรลต่อวัน) เริ่มกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ หลังจากปิดซ่อมแซมท่อขนส่งน้ำมันไปในวันที่ 19 ส.ค.2560 ที่ผ่านมา
ด้วยปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมด ภาพรวมยังส่งผลบวกต่อราคาน้ำมัน อีกทั้งฝ่ายวิจัยฯยังเชื่อว่าราคาน้ำมันในระยะยาวยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น แบบค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้นจึงยังคงแนะนำหาจังหวะเข้าลงทุน เมื่อราคาหุ้นน้ำมันอ่อนตัวสำหรับ PTT (FV@B460) และ PTTEP (FV@B116)
ค่าการกลั่นลดลงต่อเนื่อง หลังจากขึ้นผิดปกติ ขาย TOP, ESSO, BCP
ขณะที่ด้านค่าการกลั่นสิงคโปร์ พบว่าเริ่มปรับตัวลดลงรุนแรง หลังจากขยับขึ้นมาสูงผิดปกติในรอบกว่า 21 เดือน (11 เหรียญ/บาร์เรล) เป็นผลจากพายุ Harvey ที่พัดเข้าถล่มรัฐเท็กซัสในสหรัฐเมื่อปลายเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ทำให้โรงกลั่นหลายแห่งไม่สามารถดำเนินการได้ แต่เมื่อพายุผ่านไปบรรดาโรงกลั่นต่างๆ จึงกลับมาเปิดดำเนินการได้อีกครั้ง และเร่งการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ประโยชน์จากค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ supply น้ำมันสำเร็จรูปออกมามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบที่ขยับขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการกลั่นเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จึงเป็นผลให้ค่าการกลั่นเริ่มขยับลดลงตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา และคาดว่าน่าจะกลับลงสู่ระดับปกติที่บริเวณ 5-7 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งถือเป็น sentiment เชิงลบต่อหุ้นโรงกลั่น ที่ราคาหุ้นขยับขึ้นไปสูงในช่วงก่อนหน้านี้ คือ TOP (สัดส่วนโรงกลั่น 65% ปิโตรเคมี 25%) BCP (สัดส่วนโรงกลั่น 80% โรงไฟฟ้า 20%) และ ESSO (สัดส่วนโรงกลั่น 65% ปิโตรเคมี 35%) จึงแนะนำให้ขาย หรือ switch ออกไปก่อน ขณะที่PTTGC (สัดส่วนกำลังการผลิตปิโตรเคมี 75% โรงกลั่น 25%) และ IRPC (สัดส่วนกำลังการผลิตปิโตรเคมี 70% โรงกลั่น 30%) แม้จะมีสัดส่วนโรงกลั่นที่ไม่สูงมาก แต่ก็อาจได้รับผลกระทบไปด้วย หากราคาปรับลดลงมาถือเป็นการเปิด upside ให้เข้าไปสะสมใหม่ได้ ส่วน IVL เป็นหุ้นปิโตรเคมี 100% จึงไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าว
ต่างชาติขายสุทธิหุ้นในภูมิภาค แต่ยังซื้อไทย
วานนี้ต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 ด้วยมูลค่าราว 236 ล้านเหรียญ แต่เป็นการขายสุทธิตลาดหุ้นแถบเอเชียตะวันออก คือ ไต้หวัน ขายสุทธิกว่า 286 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 3) และเกาหลีใต้ 7 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 4) ส่วนตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP ต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นอินโดนีเซียเพียงแห่งเดียว มูลค่า 36 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 11) ในขณะที่ฟิลิปปินส์กลับมาซื้อสุทธราว 65 ล้านเหรียญ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยซื้อสุทธิราว 29 ล้านเหรียญ หรือ 955 ล้านบาท (ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2) ส่วนด้านสถาบันในประเทศที่สลับมาขายสุทธิ 145 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิเพียงวันเดียว)
สำหรับตลาดตราสารหนี้สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 1.95 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับต่างชาติที่ยังเดินหน้าซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 8.11 พันล้านบาท ทำให้ยอดซื้อสะสมตั้งแต่ต้นปี 2560 (ytd) ทำให้แตะจุดสูงสุดที่ระดับ 3.14 แสนล้านบาท โดยเดือน ก.ย. เพียงเดือนเดียว (mtd) มียอดซื้อสุทธิกว่า 1.04 แสนล้านบาท
ปรับเพิ่มมูลค่า INTUCH สอดคล้องกับการปรับเพิ่ม THCOM
ดังที่นำเสนอไปก่อนหน้าถึง การปรับเพิ่มมูลค่าหุ้น THCOM(FV@B24)เพื่อสะท้อนแนวโน้ม การทำธุรกิจต่อเนื่องในระยะ โดยการที่จะต้องยิงดาวเทียมดวงใหม่ 2 ดวงคือ ไทยคม 5 และ iPSTAR ที่สิ้นสุดอายุใช้งานพร้อมสัมปทานในปี 2564 โดยต้องยอมรับต้นทุน 22.5% เท่ากับการยิงในรอบที่แล้ว ทั้ง 2 ดวง ซึ่งอยู่สัมปทาน รวมถึง ดาวเทียมสัมปทานไทยคม 6 ที่ยังเหลืออายุการใช้งาน 8 ปีจนถึงปี 2572 (แต่จะสิ้นสุดอายุสัมปทาน 2564 เพราะความล่าช้าในการยิงดาวเทียม) แม้รัฐจะยังไม่สรุปจะให้กลับไปใช้ระบบสัมปทานที่มีต้นทุนแพงในระยะยาว (22.5%) เหมือนในอดีต หรือ คิดเป็นส่วนแบ่งรายได้ที่ใช้ในปัจจุบันเพียง 4% (ใช้กับดาวเทียมไทยคม 7 และ 8 เท่านั้น) เพราะด้วยข้อจำกัดเวลาสร้างดาวเทียม 2-3 ปี และเพื่อรักษาฐานลูกค้าบนดาวเทียม ทั้ง 3 ดวงข้างต้น ถึงเวลาที่ THCOM จะตัดสินใจสร้างดาวเทียมใหม่ 2 ดวงก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป นักวิเคราะห์จึงรวมเข้ามาในประมาณการกำไรในปี 2564 โดยให้คิดต้นทุนค่าสัมปทานที่ 22.5% เท่ากับการยิงในครั้งแรกทั้ง 2 ดวงพบว่า ทำให้ช่วยเพิ่มกำไรระยะยาวตั้งแต่ปี 2564 (ปีสิ้นสุดสัมปทาน) ขึ้นเฉลี่ยปีละ 109% และ ได้มูลค่าพื้นฐานใหม่เพิ่มมาอยู่ที่ 24 จากเดิม 17.4 บาท Upside เปิดกว้างจากราคาปัจจุบัน
INTUCH([email protected]) ในฐานะที่ เป็น Holidng Company ปัจจุบันถือหุ้น THCOM 41.14% และ ถือหุ้น ADVANC 40.45% การที่ปรับเพิ่มมูลค่าหุ้น THCOM ดังกล่าวจึงต้องปรับเพิ่มมูลค่าหุ้น INTUCH ขึ้นจากเดิม 71.9 บาท เป็น 72.4 บาท แม้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ด้วยราคาหุ้นปัจจุบันที่ยัง Laggard กลุ่มสื่อสาร ทำให้มี upside สูงถึง 24% จึงแนะนำให้ซื้อลงทุนระยะสั้นเพื่อหวัง capital gain และ เงินปันผลที่คาดว่าราว 2.62 บาทต่อหุ้นหรือ ราว 4.5% ต่อปี
ทั้งนี้ INTUCH ยังไม่ได้รวมประเด็นบวกใหม่ที่ วานนี้ ADVANC รายงานต่อตลาดฯ ว่าอยู่ระหว่างเจรจาขอซื้อหุ้น CSL จาก 2 ผู้ถือหุ้นใหญ่ปัจจุบัน คือ THCOM (ถือหุ้นผ่านบริษัทย่อย DTV (THCOM ถือหุ้น 99.99%) ขณะที่ DTV ถือหุ้น CSL 42%) และ SINGTEL ( ถือหุ้น 14%) มูลค่าเบื้องต้นหุ้นละ 7.8 บาท ส่งผลบวกต่อบริษัทย่อยหลักๆในกลุ่ม INTUCH (ADVANC, THCOM, CSL) ทุกแห่ง โดย THCOM จะได้เงินสดราว 2.0 พันล้านบาท (ราว 1.8 บาทต่อหุ้น) จากการขาย CSL และคาดว่าจะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการขายไม่ต่ำกว่า 1.0 พันล้านบาท (ไม่ต่ำกว่า 0.9 บาทต่อหุ้น โดยฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างสอบถาม THCOM ถึงราคาทุน CSL) ทั้งนี้แม้ปัจจุบัน THCOM จัดทำงบการเงินโดยการรวมงบกับ CSL ซึ่งแต่ละปี CSL มีกำไร 300 ล้านบาท และภายหลังขายหุ้น CSL จะกระทบต่อ กำไร THCOM ราวปีละ 120-130 ล้านบาท แม้คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ย 31% ของคาดการณ์กำไร THCOM นับจากปัจจุบัน แต่ในด้านกระแสเงินสด CSL ที่มีต่อ THCOM ต่อปีที่อยู่ราว 3% ขณะที่ THCOM ยังได้เงินสดจากการขายเข้ามา ในด้านมูลค่าพื้นฐานอิง DCF หลังจากการขายจะยังใกล้เคียงเดิมที่ 24 บาท
ส่วน ADVANC หากซื้อ CSL สำเร็จน่าจะช่วยต่อยอดธุรกิจอินเตอร์เนตเพิ่มเติม เนื่องจาก CSL มีธุรกิจหลัก คือการให้บริการอินเตอร์เนตกับลูกค้าองค์กรที่แข็งแรง ขณะที่ฐานลูกค้าปัจจุบัน ADVANC อยู่ในกลุ่มทั่วไปเป็นหลัก ขณะที่ CSL มีจุดอ่อนที่โครงข่ายไม่ครอบคลุมด้วยข้อจำกัดเงิน้อย โดยภาพรวมในระยะยาวน่าจะดีต่อ ADVANC และ THCOM อย่างไรก็ตาม คงต้องรอผลสรุปการซื้อขาย CSL อย่างเป็นทางการอีกครั้ง
กลยุทธ์ฯ ขายหุ้นแพง ซื้อหุ้น Laggards: THCOM, INTUCH, VGI, UNIQ, GUNKUL
วานนี้ตลาดปรับขึ้นทำสถิติสูงสุด 1652 จุด ซึ่งทะลุแนวต้านปี 2556 (1647 จุด) ถือว่าเป็นแนวต้านใหญ่ และทำให้เห็นการปรับฐานต่อเนื่องตลาดสัปดาห์นี้ แต่เชื่อว่าโอกาสเดินหน้าต่อไปยังมีอยู่จากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวที่ดีขึ้น และตลาดหุ้นไทย ยัง laggard และ มี P/E ต่ำกว่าตลาดภูมิภาค เห็นได้จากที่ต่างทยอยขายหุ้นในตลาดที่ outperform ซื้อตลาดหุ้นไทยและจีน ที่ถือว่า unperfrom ในปีนี้ ทั้งนี้คาดว่าจะมีแรงขายทำกำไรน่รายตัว ที่เกิน Fair Value ได้แก่ AMATA, DTAC, BH, TOP, RS หรือมี Upside จำกัด เช่น SIRI, AOT และหุ้นโรงกลั่น ราคาหุ้นปรับขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมา เพราะค่าการกลั่นที่ปรับตัวขึ้นเร็วเกินไป จึงแนะนำขาย TOP, BCP, ESSO เป็นต้น และให้ switch ไปยัง หุ้น Laggards ได้แก่ THCOM, INTUCH ดังกล่าวข้างต้น และหุ้นอื่น ๆ ได้แก่
TNP([email protected], [email protected]) หุ้นพักฐานมานาน เพราะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นในงวด 2Q60 ซึ่งเป็นผลจากการขยายสาขา ทำให้ต้องจัดจ้างพนักงานใหม่เพิ่มขึ้น และยอดขายสาขาเดิมหดตัว แต่หลังจากนี้คาดว่าจะอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น (อ่านรายละเอียดในบทวิเคราะห์ Company Update: TNP ฉบับวันที่ 12 กันยายน 2560) ราคาปัจจุบันกลับมาอยู่ในจุดที่น่าสนใจ หลังราคาหุ้นปรับลดลงมาสะท้อนประเด็นลบ แม้ราคาปัจจุบันเกินมูลค่าหุ้นปี 2560 แต่โอกาสการฟื้นตัวสูงจึงให้พิจารณามูลค่าพื้นฐานปี 2561 ด้วยวิธี DCF ได้ที่ราคา 3.0 บาท (WACC 13.6%) ยังมี Upside อีกราว 11.1% ยืนยัน “ซื้อ”
UNIQ(FV@B25) มี upside 34% : เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ที่รับงานภาครัฐ จากจุดเด่นเรื่องอัตรากำไรที่สูงสุดในบรรดาบริษัทรับเหมารายใหญ่ บวกกับ Valuation ปัจจุบันที่มี PER ต่ำเพียง 18.6 เท่า ต่ำที่สุดเทียบกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่อื่นๆ คาดปีนี้กำไรโตกว่า 22%
GUNKUL([email protected]) มี upside 27% : ทิศทางกำไรช่วง 2H60 จะปรับตัวสูงขึ้นจากช่วง 1H60 โดยคาด 3Q60 จะเข้าสู่ฤดูกาลลมหนุนกำไรฯ พลิกกลับมาเติบโต QoQ รวมทั้งโครงการโซลาร์จะได้รับอานิสงส์จากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) เต็มไตรมาส คาดปีนี้กำไรโตกว่า 21%
VGI([email protected]) มี upside 20% : ยังสามารถคาดหวังการเติบโตของสื่อโฆษณานอกบ้าน และสื่อออนไลน์ที่เติบโตได้ต่อเนื่อง ตามสังคมเมืองที่ขยายตัวมากขึ้นและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ใช้เวลาอยู่นอกบ้านนานขึ้น สวนทางกับเม็ดเงินโฆษณาโดยภาพรวมที่หดตัวลง คาดการณ์กำไรจากการดำเนินงานปกติจะเพิ่มขึ้น 34.2% YoY
AP([email protected]) มี upside 23% : แผนการเปิดตัวโครงการใหม่เชิงรุกใน 2H60 โดยเฉพาะแนวราบ คาดจะสนับสนุนต่อยอดโอนฯ แนวราบตั้งแต่ 3Q60 ต่อเนื่อง 4Q60 โดยทั้งปี 2560 คาดกำไรปกติเติบโต 15% yoy
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636