- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 07 September 2017 17:13
- Hits: 2658
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ดัชนีปรับฐานโดยยังมีแนวต้าน 1626 จุด แต่ปัจจัยบ่งชี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ทั้งการลงทุนรัฐและเอกชน และล่าสุด CCI ฟื้นตัว หนุนการบริโภคในช่วงที่เหลือและหนุนเศรษฐกิจไทยเติบโต 3.5% ปีนี้ และ 4% ปีหน้า บวกกับสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัวกันถ้วนหน้า ทั้งราคาน้ำมัน ถ่านหิน เหล็ก ยาง น้ำตาล กลยุทธ์ฯ สะสมหุ้นที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ ยังชอบ WHA([email protected]), SCC(FV@B620) และ UNIQ(FV@B25) และระยะสั้น แนะหุ้นเหล็กที่ยัง Laggards TSTH, BSBM
ย้อนรอยตลาดหุ้นไทย... หุ้นขนส่งและพลังงาน สลับมาหนุนตลาด
วานนี้ ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวแดนลบตลอดวัน โดยทำจุดต่ำสุดที่ 1615.31 จุด แต่สุดท้ายปิดที่ 1621.30 จุด เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.88 จุด คิดเป็น 0.05% มูลค่าการซื้อขาย 4.92 หมื่นล้านบาท นับได้ว่า SET Index ปรับขึ้นมาทีละน้อยติดต่อกัน 5 วันทำการแล้ว กลุ่มที่ช่วยหนุนตลาดคือ กลุ่มขนส่งและพลังงาน โดยกลุ่มขนส่ง หนุนจากหุ้นขนาดใหญ่อย่าง AOT และ BEM เพิ่มขึ้น 0.46% และ 0.64% ตามลำดับ ส่วนหุ้นน้องใหม่ของกลุ่มฯ อย่าง ทริพเพิล ไอ (III) วานนี้ได้หยุดความร้อนแรงไว้ที่ราคา 10.10 บาท ทรงตัวจากวันก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขทุกอย่างเข้าเกณฑ์ติด Cash Balance ของตลาดฯ แล้ว จึงต้องระมัดระวังแรงขายที่อาจจะเกิดตามมาในวันนี้
สำหรับหุ้นพลังงานนำตลาดขึ้น คือโรงไฟฟ้า ได้แก่ EA เพิ่มขึ้น 3.36% ตามด้วย CKP เพิ่มขึ้น 1.14%, GLOW เพิ่มขึ้น 0.29%, RATCH เพิ่มขึ้น 0.45%, TPIPP เพิ่มขึ้น 0.67% ชณะที่ BANPU เพิ่มขึ้น 0.57% แต่ก็ยังเป็นหุ้นที่ Laggard เมื่อเทียบกับราคาถ่านหินโลกที่ปรับตัวขึ้นมาตลอดจนล่าสุดอยู่ที่ 99.77 เหรียญต่อตัน (อ้างอิง BJI) ซึ่งหากราคาถ่านหินยังปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือสมมติฐาน 75-85 เหรียญต่อตัน มีโอกาสปรับสมมติฐานราคาถ่านหินปีนี้และปีหน้าขึ้น เมื่อบวกกับปริมาณขายถ่านที่เพิ่มขึ้นจากเหมืองในอินโดนีเซียที่จะเข้าสู่ช่วงฤดูแล้ง และปีนี้จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าหงสาเพิ่มขึ้น ล้วนมีส่วนหนุนให้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2560-2561
ตรงข้ามกลุ่มที่กดดันตลาดมากที่สุด คือ หุ้นกลุ่มการเงินทั้งธนาคารพาณิชย์และกลุ่มเช่าซื้อ นำโดยหุ้นกลุ่ม ธ.พ. Market Cap ขนาดใหญ่อย่าง SCB ลดลง 0.68% ตามด้วย KBANK ลดลง 0.50% และ BAY ลดลง 0.66% รวมถึงหุ้นเช่าซื้อ ทั้ง THANI และ MTLS ลดลง 1.68% และ 1.46% ตามลำดับ
สำหรับ แนวโน้มตลาดฯ วันนี้ น่าจะยังแกว่งตัวในกรอบไม่ต่างไปจากเดิมนัก โดยมีแนวรับที่ 1617 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1626 จุด ทั้งนี้แม้ว่า Fund Flow จะมีการสลับขายออกเป็นครั้งแรกในรอบ 7 วัน แต่การที่ตลาดหุ้นไทย เป็น 1 ไม่กี่ตลาด (จีน) ที่ underperform จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงขาลงน้อยลง
ECB น่าจะเริ่มตัดลด QE ปีหน้า vs แคนาดาขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ 2 ของปีนี้
วันนี้ช่วงเย็น คาดว่าจะทราบผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป(ECB) (ครั้งที่ 6 จากทั้งหมด 8 ครั้ง ในช่วงที่เหลือของปีนี้) คาดว่าน่าจะส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินตึงตัว หลังเศรษฐกิจของยุโรปเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว โดยเฉพาะอัตราการว่างงานที่ลดลงเหลือ 9.1% (ต่ำสุดในรอบ 9 ปี) และ อัตราเงินเฟ้อ ที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ย (เงินเฟ้อ ส.ค 1.5% yoy และดอกเบี้ย 0%) โดย ECB น่าจะเริ่มจากการ ตัดลด QE เมื่อสิ้นสุดโครงการ (ซื้อสินทรัพย์เดือนละ 6 หมื่นล้านยูโร ช่วงเม.ย.2560 – สิ้นปีนี้) โดยยังคงดอกเบี้ยนโยบายฯ ซึ่งประเทศเหล่านี้ได้หนุนให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าไปกว่า 13% นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน สวนทางกับเงินดอลลาร์ ที่อ่อนค่า 9.4% ช่วงเดียวกัน
ขณะที่การประชุมธนาคารกลางแคนาดา (BOC) วานนี้สรุปว่าปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของแคนาดาล่าสุดเป็น 1.0% เพราะ GDP แคนาดา 2Q60 ขยายตัว 4.3%yoy สูงขึ้นจาก 3.1% ใน 1Q60 และ สูงกว่าที่ธนาคารคาดไว้ สอดคล้องกับสหรัฐที่ได้ขึ้นดอกเบี้ยนำหน้าไปก่อนแล้ว ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 1.2% ซึ่งกระเตื้องขึ้นจาก 1% ในช่วงก่อนหน้านี้
การขึ้นดอกเบี้ยนี้ได้หนุนให้ค่าเงินแคนาดาแข็งค่าราว 12% เมื่อกับสกุลดอลลาร์ นับจากเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามหากพิจารณาตลาดหุ้นแคนาดาก็อยู่ในภาวะปรับฐาน โดยตลอดปีนี้ตลาดหุ้นแคนาดาติดลบ 1.5% นับจากปลายปี 2559 แตกต่างจากตลาดหุ้นสหรัฐ และยุโรป ที่ outperform ตลาดหุ้นโลก ทั้งนี้เชื่อว่าส่วนหนึ่งเกิดจากปี 2559 ตลาดหุ้นแคนาดาให้ผลตอบแทนสูงถึง 18.5% จากปี 2558 ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่สูงสุดแห่งหนึ่ง เป็นการสะท้อนการฟื้นตัวเศรษฐกิจแคนาดาไปล่วงหน้า ทำให้ภาพตลาดหุ้นแคนาดาจะคล้ายกับตลาดหุ้นไทยปี 2559 ให้ผลตอบแทนสูงสุด 19.79% ทำให้ปี 2560 underperform ในลักษณะเดียวกัน
Debts Celling สหรัฐ น่าจะได้รับการขยายช่วงสั้นแก้ปัญหาพายุ Harvey
ขณะที่สหรัฐเชื่อว่าระยะสั้น น่าจะให้น้ำหนักกับเพดานหนี้สาธารณะ(Debt Ceiling) ซึ่งปัจจุบันมี ยอดหนี้ฯ สูง 19.97 ล้านล้านเหรียญฯ ใกล้เคียงกับเกณฑ์ที่กำหนด 19.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยน่าจะมีการพิจารณาขยายเพดานหนี้ เร็วกว่ากำหนดการเดิม 29 ก.ย.2560 เนื่องจากมีปัญหาเฉพาะหน้าที่จะต้องใช้จ่ายชดเชยความเสียหาย ที่เกิดจากพายุฤดูร้อน Harvey เข้าถล่มรัฐเท็กซัส (ราว 1.8 แสนล้านเหรียญฯ) ล่าสุด สส.อนุมัติกฎหมายช่วยเหลือฉุกเฉินผู้ประสบภัยราว 8 พันล้านเหรียญฯ ทั้งนี้เพราะป้องกันปัญหา Government shutdown ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงดังที่เคยเกิดขึ้นในช่วง 1-16 ต.ค. 2556 ราว 16 วัน อย่างไรก็ตาม ผลการเจรจาเบื้องต้นระหว่าง สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร์ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน มีความเห็นตรงกันว่าจะยอมให้ขยายเพดานหนี้ ออกไปถึง 15 ธ.ค. แต่มิได้กำหนดวงเงินที่แน่นอน ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และในที่สุดต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภาอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่เชื่อว่าตลาดได้รับรู้การชะลอขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ของ Fed ไปแล้ว หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อชะลอตัว และยังคงต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (เงินเฟ้อ 1.7%yoy และดอกเบี้ย 1.25%) ประกอบการสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐ น่าจะเริ่มชะลอการร้อนแรง สะท้อนจากอัตราการว่างงานที่ แกว่งตัว 4.3-4.4% (ต่ำสุดในรอบ 10 ปี) มาตั้งแต่ช่วงเดือน เม.ย.-ปัจจุบัน บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐที่เริ่มทรงตัวและเข้าสู่การจ้างงานเต็มที่ (Full employment)
ด้วยเหตุนี้ตลาดหุ้นสหรัฐจึงน่าจะอยู่ในช่วงการปรับฐานช่วงสั้น ๆ เหมือนหลายตลาดที่ปรับตัวขึ้นไปมากในช่วงต้นปี 2560 ถึงปัจจุบัน เช่น อินเดีย ฟิลิปินส์ อินโดนีเซีย ฮ่องกง ไต้หวัน ยกเว้น จีน และไทยที่ยัง underperform จึงทำให้ภาพของ fund flow หมุนจากตลาดที่ outperform มาตลาด underperform ยังมีอยู่
ดัชนี ความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้น หนุนหุ้นค้าปลีก: HMPRO
วานนี้มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค(CCI) เดือน ส.ค. พลิกกลับมาขยายตัวอีกครั้งหลังจากที่ลดลงติดต่อกันในช่วง 4 เดือนก่อนหน้า ล่าสุดอยู่ที่ 74.5 จุด เนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้นหลังจากที่ GDP Growth 2Q60 ขยายตัว 3.7%yoy (สูงสุดในรอบ 17 ไตรมาส) จากภาคส่งออกที่สดใสและการลงทุนเอกชนที่กลับมา ทำให้สำนักเศรษฐกิจหลายๆแห่ง ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปี 2560 เพิ่มขึ้น ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองไทยเริ่มคลายความกังวล
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เป็นดัชนีชี้นำ (Leading Indicator) ที่มักจะสะท้อนในยอดขายสาขาเดิมของกลุ่มค้าปลีกในอีก 3-6 เดือนจากนี้ ซึ่งการเพิ่มขึ้นของ CCI ดังกล่าวจึงเป็น sentiment เชิงบวกต่อกลุ่มฯ โดยตรง บวกกับ ในช่วง 2H60 น่าจะเห็นการกระตุ้นการบริโภคและลงทุนภาครัฐ เช่น โครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยราว 4.2 หมื่นล้านบาท โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 แสนล้านบาท และภาคการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเป็นบวกเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน น่าจะช่วยหนุนให้ยอดขายสาขาเดิมในงวด 2H60 พลิกกลับมาเป็นบวกได้ หลังจากที่หดตัวในงวด 1H60 อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวยอดขายสาขาเดิมยังเป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป โดยในงวด 3Q60 ผู้ประกอบการค้าปลีกรายเล็กมีแนวโน้มฟื้นตัวได้เร็วกว่า คือ COM7 และ BEAUTY จากการขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ส่วนรายใหญ่ที่ฟื้นตัวรายแรก คือ BJC ขณะที่รายใหญ่อื่นๆ อาทิ HMPRO, ROBINS, CPALL และ MAKRO เชื่อว่ายอดขายสาขาเดิมกลับมาเป็นบวกได้ใน 4Q60 ตามแนวโน้มเศรษฐกิจ และต่อเนื่องไปในปี 2561
ในส่วนของหุ้นเด่นกลุ่มค้าปลีก ฝ่ายวิจัยแนะนำหุ้นที่เติบโตดีกว่ากลุ่มและยังมี Upside อย่าง COM7([email protected]) รวมทั้ง HMPRO ([email protected]) และ ROBINS (FV@B63) มีความน่าสนใจเนื่องจากยัง Laggard กลุ่มฯ
ต่างชาติพักเงินในตราสารหนี้ระยะสั้นมากขึ้น
วานนี้ต่างชาติยังคงขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ด้วยมูลค่ากว่า 570 ล้านเหรียญ และเป็นการขายสุทธิทุกประเทศ เริ่มจาก และเกาหลีใต้ถูกขายสุทธิ 270 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) รองลงมาคือไต้หวัน 22 ล้านเหรียญ ตามมาด้วยอินโดนีเซีย 133 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 6), ฟิลิปปินส์ 6 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิเป็นวันที่ 2) และไทย แม้วานต่างชาติสลับมาขายสุทธิเล็กน้อย 15 ล้านเหรียญ หรือ 510 ล้านบาท (หลังจากซื้อสุทธิติดต่อกัน 6 วัน) ต่างกับสถาบันในประเทศที่สลับมาซื้อสุทธิ 1.72 พันล้านบาท (หลังจากขายสุทธิ 5 วัน)
ในขณะเดียวกันต่างชาติยังคงเดินหน้าซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยอีก 1.40 หมื่นล้านบาท หนุนให้ยอดซื้อตราสารหนี้รวมตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 2.59 แสนล้านบาท (ytd) และ Bond Yield 10 ปี ปรับตัวสร้างจุดต่ำสุดใหม่ในปีนี้อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดอยู่ที่ 2.403%
อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างชาติให้น้ำหนักไปที่การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นมากกว่า สังเกตได้จากในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา มีแรงซื้อถาโถมเข้ามากว่า 3.2 หมื่นล้านบาท (คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 31.77% ของยอดซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น (TTM<1) ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันที่ 1.01 แสนล้านบาท) สรุปคือ สถานการณ์เช่นนี้น่าจะเป็นการพักเงินในสินทรัพย์ปลอดภัยในระยะสั้น แต่มีโอกาสกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้งหากเหตุการณ์ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีผ่อนคลายลง
ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ขยับขึ้น แนะนำหุ้น Laggards TSTH, BSBM
ระยะสั้นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังคงแกว่งตัวในเชิงบวก ตามเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภครายใหญ่สุดของโลก เช้านี้พบว่าราคาสินแร่เหล็กยังทรงตัวในระดับสูงจากวานนี้ โดยรวมหากนับจาก จุดต่ำสุดในเดือน ก.ค. ขึ้นมาที่ 77.68 เหรียญฯต่อตัน (จุดสูงสุดเมื่อ เม.ย. ที่ผ่านมา) พบว่าเพิ่มขึ้น 40% ในช่วงเพียง 2 เดือน
เช่นเดียวกับราคาถ่านหิน หากพิจารณาจากดัชนี Barlow Jonker Index(BJI) ล่าสุด ขยับขึ้น 12% จาก 87.9 เหรียญฯต่อตัน ในเดือน ก.ค. มาที่ 98.9 เหรียญฯ ในเดือน ส.ค. หรือเพิ่มขึ้น 29.4% จากปลายปี 2559 และราคาน้ำมันดิบโลกที่ขยับขึ้นเหนือ 50 เหรียญฯต่อบาร์เรล ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดที่ระดับ 44 เหรียญฯต่อบาร์เรลเมื่อกลางปี 2560 หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 18% ซึ่งล้วนเป็นเหตุสำคัญหนุนให้ดัชนีค่าระวางเรือเทกอง (PSL ทำธุรกิจเดินเรือเทกอง 100%) ขยับขึ้นกว่า 40% จากกลางปี 2560 จนถึงปัจจุบัน และราคาเหล็กเส้น (Rebar ในตลาด East Asia Import) ที่กระเตื้องขึ้นอย่างต่อเนื่อง กล่าวคือจากระดับ 494 เหรียญฯต่อตัน เดือน ก.ค. เป็น 552 เหรียญฯต่อตัน เป็นต้น หรือเพิ่มขึ้น 11.7% สอดคล้องกับราคาเหล็กเส้นในประเทศเดือน ส.ค. 60 ปรับตัวขึ้น 8.5% MoM มาอยู่ที่ 1.87 หมื่นบาท/ตัน เป็นการปรับขึ้น 4 เดือนติดต่อกัน และเหล็กแผ่นในเดือน ส.ค. มีการเพิ่มขึ้นในลักษณะเดียวกัน คือ ปรับขึ้น 7.7% MoM โดยได้รับแรงหนุนจาก 1) ความต้องการใช้เหล็กในประเทศที่เพิ่มขึ้น ตามการฟื้นตัวของการก่อสร้าง ทั้งซ่อมแซมหลังเหตุการณ์น้ำท่วมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และการลงทุนภาครัฐ และ 2) ราคาต้นทุนวัตถุดิบสินแร่เหล็กเพิ่มขึ้น 3 เดือนติด โดยในเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 16% MoM ซึ่งน่าจะหนุนหุ้นเหล็ก TSTH([email protected]) และ BSBM([email protected]) โดยคาดว่าจะมีผลกำไรที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในงวด 3Q60 ขณะที่ราคาหุ้น TSTH และ BSBM ยัง laggards อยู่มาก แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์มีความผันผวนสูง จะมีผลทำให้ผลการดำเนินงานในงวด 4Q60 มีความผันผวนสูง กลยุทธ์การลงทุนหุ้นเล็กจึงเหมาะสำหรับการลงทุนช่วงเวลาสั้น ๆ มากกว่าลงทุนยาว
ภรณี ทองเย็น เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ภราดร เตียรณปราโมทย์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636